เจติยายิ้มก่อนจะตัดสินใจบอกแค่เพียงบางส่วนให้กับอีกคนรับรู้เพราะยังไงถ้าหากวันข้างหน้าเกิดมีมือดีได้ภาพเธอกับปรางวรัญไปเผยแพร่ขึ้นมาทิวาเองก็ต้องคอยแก้ปัญหากับผู้ใหญ่ช่วยเธอด้วยเหมือนกัน
"ที่จริงเจกะจะเอาไว้เซอร์ไพร้ส์พี่ทิวาในวันหมั้นนะคะ"
อ๊ายยย!!
"น้องเจ นี่ถึงขั้นจะหมั้นกันเลยเหรอคะ โอยๆ พี่ตื่นเต้นค่ะ อยากๆอยากเผือกขออนุญาตเถอะค่ะวันนี้ อยากรู้มากๆเลย ใครกันที่มาจับจองเอานางเอกของพี่ไปเป็นว่าที่ศรีภรรยาเนี่ย"
ทิวาเอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้นทั้งตกใจไม่น้อย ก็อยู่ๆเจติยามาบอกแบบนี้ทั้งที่ดูแลกันมาร่วมหกเจ็ดปีนางเอกหน้าหวานไม่เคยคบใครนอกจากข่าวจับคู่กับดารานักแสดงที่เล่นละครด้วยกันเท่านั้น
เจติยาหัวเราะขำคนที่เธอก็นับถือเหมือนเป็นพี่คนหนึ่งเพราะทิวานั้นดูแลเธอกับพิชญากรเพื่อนสนิทอีกคนที่ถูกชักชวนเข้าวงการตามเธอมา และไม่ใช่มีเพียงแค่เธอกับเพื่อนทิวายังมีดาราในสังกัดอีกหลายคนซึ่งแต่ละคนก็ถือว่ากำลังเป็นที่รู้จักในวงการทีเดียว
"พี่ทิวารู้จักบริษัทอสังหาที่ชื่อ พิพัฒนากรุ๊ป ไหมคะ"
เจติยายังไม่ยอมเฉลยง่ายๆยังเล่นต่อคำถามกับผู้จัดการอย่างนึกสนุกให้อีกฝ่ายตาโตอีกครั้ง
"บริษัทนี้ทำไมพี่จะไม่รู้จักล่ะคุณน้องเจ้าของโครงการหมู่บ้านตั้งสี่ห้าโครงการนะคะ โอย ตายๆนี่อย่าบอกนะว่าคู่หมั้นน้องเจคือคนของตระกูลนั้นน่ะ"
ทิวาถามด้วยความตื่นเต้น ที่ต้องใช้คำว่าตระกูลเพราะนามสกุลของเจ้าของบริษัทที่เขาพอจะรู้มาเป็นตระกูลผู้ดีเก่าที่ต้นตระกูลเคยเป็นข้าราชการรับใช้แผ่นดินมาก่อนแต่มารุ่นหลังๆที่ลูกหลานหันมาทำธุรกิจกันแต่ก็ยังมีบางคนที่เป็นข้าราชการอยู่บ้าง แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีตั้งสามครอบครัวใหญ่แล้วนางเอกของเราไปปิ๊งรักกับคนไหนล่ะ
"น้องเจคะ ตระกูลนั้นมีตั้งสามครอบครัวใหญ่ คุณน้องเฉลยมาเถอะคะพี่ชักจะมึนคิดไม่ออกแล้วว่าครอบครัวไหนได้คุณน้องไปเป็นสะใภ้คะ"
ทิวาทำท่าบีบขมับให้นางเอกสาวหัวเราะขำอีกคนก่อนจะยอมบอกใบ้อีกที
"ครอบครัวที่มีลูกสามคนค่ะพี่ทิวา"
ทิวาส่งค้อนให้นางเอกสาวที่ยิ้มขำชอบใจ ก่อนจะพยายามนึกว่าครอบครัวตระกูลพิพัฒน์บดินทร์ที่พอจะรู้มามีลูกหลานกันกี่คน ไม่นานผู้จัดการร่างใหญ่ก็ยิ้มออกมาเหมือนคิดได้ว่ามีเพียงครอบครัวเดียวที่มีลูกสามคนนี่ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลนี้ก็คงไม่มีใครรู้เท่าไหร่เพราะครอบครัวนี้ไม่ค่อยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนอีกสองครอบครัวที่ผู้ชายเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ส่วนอีกครอบครัวมีสามีเป็นนักการเมืองเก่าเหลือครอบครัวสุดท้ายคงไม่พ้นครอบครัวนักธุรกิจเต็มตัวที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายแต่ก็ยังพอจะเห็นหน้าเห็นตากันบ้างตามงานสังคม
"น้องเจ"
"ขา"
ทิวาอยากจะบิดแก้มขาวๆนั่นด้วยความมันเขี้ยวเจ้าตัวจริงๆดูสิยิ้มขำถูกอกถูกใจ
"ไปรู้จักกันได้ยังไงคะ เท่าที่รู้พี่ก็ไม่ค่อยเห็นครอบครัวนี้เป็นข่าวนะ"
ทิวาเอ่ยถามนางเอกสาว
"บุพเพอาละวาดมั้งคะ"
คิกๆ
เมื่อได้แกล้งอีกฝ่ายที่ส่งค้อนประหลับประเหลือกมาให้จนพอใจเจติยาถึงยอมเอ่ยเล่าที่มาที่ไปของว่าที่คู่หมั้นให้ทิวาได้รับรู้
"หูย ยังกับละครแหน่ะคุณน้อง พี่เชื่อแล้วล่ะว่าบุพเพอาละวาดคงจะจริง แหมพลัดพรากจากกันไปตั้งหลายปีพอกลับมาเจอปุ๊ปก็จุดติดปั๊ปเลยนะคะ" คริๆ
คราวนี้ถึงครานางเอกคนสวยโดนล้อให้ได้อายบ้าง
"บ้า มันเหตุสุดวิสัยหรอกค่ะพี่ทิวา"
ทิวาหัวเราะขำเมื่อได้เห็นคนหน้าหวานตอนนี้ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ
"ว่าแต่ชื่ออะไรคะ พี่รู้แค่ว่าบ้านนี้มีลูกชายสองคนกับลูกสาวคนหนึ่งนะ"
"ปรางค่ะ ปรางวรัญ"
เจติยาตอบออกไปพลางยิ้มเขินๆให้คนที่ส่งยิ้มล้อเลียนเธออยู่ตอนนี้ ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อเสียงดังเตือนข้อความจากมือถือของนางเอกสาวก็ดังขึ้นเบาๆพร้อมแอปยอดฮิตสีเขียวที่เด้งตามมาให้เห็นแวบๆ
เจติยาหยิบขึ้นมาเปิดอ่านก่อนเรียวปากสวยจะแต้มยิ้มกว้างขึ้นจนได้ยินเสียงกระแอมเบาๆของผู้จัดการที่มองมาอย่างล้อเลียนมากกว่าเดิมอีก
(พี่ปรางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแล้วนะคะน้องน้ำฟ้า จุฟๆ)
ข้อความที่แสนทะเล้นตบท้ายมาด้วยสติกเกอร์รูปหัวใจและหมีน้อยกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนคนอ่านอดขำไม่ได้
"เฮ้อ อิจๆอิจฉาคนมีความรัก"
"บ้า พี่ทิวาก็ ยังไม่รักสักหน่อยหรอก"
คนโดนแซวได้แต่บอกไปอย่างอายๆ
"ต๊าย! น้องเจขา ถ้าอาการขนาดนี้ยังไม่เรียกว่ารักก็คงชอบไปแล้ว99.99% แล้วละคะคุณน้องขา"
คำพูดของพี่ผู้จัดการก็ทำเอาเจติยาทั้งเขินทั้งขำไปด้วย
"แล้วนี่เพื่อนสนิทเรารู้เรื่องนี้หรือยังคะน้องเจ"
ทิวาหมายถึงพิชญากรเพื่อนรักของเจติยาที่เป็นดาราในความดูแลอีกคน
"ยังหรอกค่ะ เจบอกพี่ทิวาเป็นคนแรกเลยนะคะเนี่ย เจกะรอให้ทางผู้ใหญ่คุยอะไรกันให้เรียบร้อยก่อนถึงจะบอกพายทีเดียวค่ะ"
"พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆนะคะน้องเจ ชีวิตยังกะละครแหน่ะ แต่เห็นน้องสาวมีความสุขและคนรักแบบนี้พี่ก็ดีใจด้วยค่ะ ถ้าได้หมั้นหมายกันจนผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ขนาดนั้นพี่ก็ไม่ห่วงเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะทางผู้ใหญ่ต้นสังกัดเราเขาคงเข้าใจแหล่ะ"
"เจก็หวังอย่างนั้นแหล่ะพี่ทิวา ถึงตอนนี้คนอื่นยังไม่รู้แต่อีกหน่อยก็คงรู้เรื่องจนได้แหล่ะค่ะ ถ้าหากว่าอนาคตงานของเจน้อยลงคงจะไม่กระทบรายได้พี่ทิวานะคะ" คิกๆ
"ดูพูดเข้า เงินไม่สำคัญเท่าความสุขของน้องสาวหรอกค่ะ ไม่แน่นะคะพอเป็นข่าวขึ้นมาจริงๆแทนที่งานจะลดพี่กลัวงานจะเพิ่มมากกว่าอย่าลืมว่าสมัยนี้คนเขาก็เปิดรับเรื่องรักแบบนี้กันมากขึ้นแล้วนะคะคุณน้อง"
"สาธุๆค่ะพี่ทิวา ถ้าเป็นอย่างนั้นเจก็สบายใจเป็นห่วงปรางเขาไม่ค่อยชอบความวุ่นวายเท่าไหร่"
"แหมๆ เป็นห่วงขนาดนี้ยังบอกไม่รักอีกเหรอคะน้องเจขา"
ทิวาเอ่ยแซวนางเอกคนสวยอีกรอบให้เจ้าตัวถึงกับหน้าเหวอจนต้องขำออกมา โธ่เอ๊ย นี่แหล่ะน๊าคนไม่เคยมีความรัก ตกหลุมเขาไปแล้วยังไม่รู้ตัวเองอีก หวงเนื้อหวงตัวแบบเจติยาน่ะเหรอจะยอมให้ใครได้แตะเนื้อต้องตัวถึงขั้นเกิดเรื่องยี่สิบห้าบวกแบบนั้นขึ้นได้หากเจ้าตัวไม่มีใจน่ะ
ฟากฝั่งของคนจะมีคู่หมั้นตอนนี้ก็กำลังนั่งทานอาหารค่ำกับครอบครัวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งที่มีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองรับรู้ในวันนี้
"ยัยปรางแล้วรถหนูเจล่ะลูกเอาไปเข้าศูนย์ซ่อมให้เขาแล้วเหรอถึงได้นั่งแท๊กซี่กลับบ้านน่ะ"
"ค่ะคุณแม่ โทรให้ศูนย์เขาเอาไปจัดการแล้ว"
คนจัดการก็ว่าที่สะใภ้คุณแม่นั่นแหล่ะค่ะ คนเป็นลูกคิดในใจห่วงจังนางเอกในดวงใจเนี่ย
"ค่าซ่อมเท่าไหร่ล่ะลูกรถราคาแพงขนาดนั้นอ่ะไหล่คงจะแพงไปด้วยแน่ๆ"
ปรเมศร์สอบถามลูกสาวบ้าง
"แพงจนปรางกระเป๋าฉีกเลยละค่ะคุณพ่อ ดีนะที่ครอบครัวเราไม่ได้ซื้อรถหรูแบบนั้นมาใช้น่ะ เสียดายตังค์ค่าซ่อมค่ะแต่อย่างว่าแหล่ะนางเอกของคุณแม่หาเงินเก่ง เห็นบอกว่ารถเขาทางผู้จัดละครเช่าไปเข้าฉากหลายครั้งอยู่นะคะ"
"เหรอลูก แบบนี้หนูเจเขาก็มีรายได้จากค่าเช่าตรงนี้ด้วยนะสิ อืมเข้าใจหาเงินเหมือนกันนะเนี่ย"
นั่นไง ทั้งปลื้มทั้งชื่นชมทุกอย่างเลยคุณแม่ฉ้าน
หลังมื้ออาหารค่ำผ่านไปทั้งหมดก็มารวมตัวหน้าจอสี่เหลี่ยมในห้องนั่งเล่น ปรางวรัญปล่อยเวลาผ่านสักพักถึงได้พูดขึ้นมา
"คุณพ่อคุณแม่คะ ปรางมีเรื่องสำคัญจะบอกค่ะ"
ปรเมศร์กับเปรมสินีหันมองลูกสาวที่นานๆจะเห็นเจ้าตัวแสบทำสีหน้าจริงจังแบบนี้กับชาวบ้านเขายกเว้นในเวลางานนะ
"มีอะไรลูกทำไมดูหน้าตาจริงจังนะเราฮึ"
ปรเมศร์เอ่ยเย้าลูกสาวพลางยิ้ม
"ต้องจริงจังสิคะคุณพ่อ มันเกี่ยวกับชีวิตที่เหลือของปรางเชียวนะ"
"เรื่องอะไรยัยปรางพูดวกไปวนมาลูกคนนี้นี่"
คิกๆ
นั่นไงจริงจังได้นานที่ไหนล่ะปรเมศร์ส่ายหัวกับความทะเล้นเกินพี่น้องก็ลูกสาวนี่ล่ะ
"คุณพ่อคุณแม่ช่วยไปขอสาวให้ปรางหน่อยค่ะ"
"ห๊ะ! อะ อะไรนะยัยปราง"
"ช่วยไปสู่ขอสาวให้ลูกหน่อยค๊า"
ผู้ให้กำเนิดทั้งสองหันมองหน้ากันอีกครั้ง
"นี่พูดจริงหรือมาอำพ่อกับแม่เล่นเนี่ยยัยปรางลูกไปรักชอบผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮึ"
"เมื่อคืนนี้เองแหล่ะคุณพ่อ"
เพี๊ยะ โอ๊ย!
"ตีปรางทำไมล่ะคุณแม่ อูย แสบนะนี่"
"มันน่าตีไหมล่ะ พ่อแม่ซีเรียสยังจะมาพูดเล่นอยู่ได้ สรุปมันยังไงเรื่องจริงหรือไม่จริง"
"จริงๆค่ะ คนที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ไปสู่ขอให้ก็เจติยานางเอกของคุณแม่นั่นแหล่ะค่ะ"
"ห๋า!? หนูเจนี่นะ มันเกิดอะไรขึ้นยัยปรางเล่ามาเดี๋ยวนี้ทำไมจู่ๆถึงจะให้พ่อแม่ไปขอเขาน่ะ"
เปรมสินีทั้งแปลกใจตกใจและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ลูกสาวตัวดีบอกออกมา ก็หลายวันก่อนยังโวยวายใส่เธออยู่เลยว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิงน่ะ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นถึงได้มาบอกให้ไปสู่ขอฝ่ายนั้นให้
สุดท้ายปรางวรัญเลยต้องเล่ารายละเอียดไม่มีปิดบังให้ผู้บังเกิดเกล้าได้รับรู้ และก็ได้รับฝ่ามือหนักของมารดาป๊าบเข้าให้หลังจากเล่าจบ
"โอ๊ยๆคุณแม่ ตีอีกแล้วนะคะเจ็บนะเนี่ย"
"มันสมควรโดนหนักกว่านี้ ทำไมไปข่มเหงเขาแบบนั้นฮึ ไหนบอกไม่ชอบผู้หญิงแล้วทำไมถึงจะไปปล้ำหนูเจเขาแบบนั้น"
"โถ่คุณแม่คนมันไม่มีสตินี่คะ ปรางก็คิดว่าตัวเองฝันน่ะ แต่ปรางก็ยินยอมรับผิดชอบทุกการกระทำของตัวเองนี่ไง"
"ก็ลองไม่รับผิดชอบเขาสิแม่จะตีให้หัวแบะเลย แล้วผู้ใหญ่ทางนั้นเขาว่ายังไงบ้าง"
"คุณแม่ของเจท่านก็เสนอให้หมั้นนั่นแหล่ะค่ะ ปรางก็ตกลงไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้มาบอกคุณพ่อคุณแม่นี่แหล่ะ"
"หึๆ สรุปแล้วนี่เราชอบผู้หญิงเหรอยัยปราง"
ปรเมศร์ที่ได้รับรู้ก็ตกใจไม่น้อยที่ลูกสาวตัวเองเมาแล้วถึงขั้นไปปลุกปล้ำผู้หญิงด้วยกัน แต่ยังดีหน่อยที่เจ้าตัวกล้าแสดงความรับผิดชอบอีกฝ่ายแบบนี้
คำถามของบิดาทำให้ลูกสาวยิ้มแหยส่งให้ก่อนจะตอบออกไป
"ก็ไม่เคยคิดจะชอบหรอกค่ะคุณพ่อ แต่ถ้าเป็นคนนี้ปรางโอเคค่ะ"
คำตอบของลูกสาวก็ทำให้บิดาถึงกับขำออกมาก่อนจะหันไปแซวภรรยาคู่ชีวิต
"ถูกใจคุณไหมคุณเปรม ได้นางเอกดังมาเป็นลูกสะใภ้แบบนี้น่ะ"
"มันก็ถูกใจอยู่หรอกค่ะ แต่จะไปจีบเขาดีๆหน่อยก็ไม่ได้หรือไงต้องปลุกปล้ำเขาให้เสียหายแบบนั้นน่ะ"
"แบบนี้แหล่ะค่ะคุณแม่ เร็วดีไม่ต้องจีบให้เสียเวลาค่ะ"
ฮ่าๆ ปรเมศร์หัวเราะขำเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวเข้า
"โอย มันได้เชื้อกะล่อนจากใครนะเนี่ยคุณ ผมก็ว่าผมไม่ได้มือไวใจเร็วนะ"
"ไปได้มาจากใครถ้าไม่ใช่ลุงเขาน่ะ ถึงได้มีสองบ้านแบบนั้นน่ะ"
เปรมสินีเปรยพาดพิงไปถึงพี่ชายคนโตของสามีที่มีภรรยาถึงสองคน แต่ดีหน่อยที่ทั้งสองบ้านไม่มีปัญหากันเหมือนละครหลังข่าวน่ะ
"คุณแม่ก็พูดไป ปรางไม่ได้เจ้าชู้สักหน่อยนะคะ ถ้ามีก็จะมีแค่เขาคนเดียวนี่แหล่ะ"
ปรางวรัญเอ่ยออกไปจริงจัง ถึงเธอจะไม่เคยคบหาใครถึงขั้นเรียกแฟนแต่ถ้าจะมีใครสักคนขึ้นมาเธอก็ไม่คิดจะนอกใจนอกกายอีกฝ่ายแน่ๆ
"อืม ดีแล้วลูกทำให้มันได้ล่ะ แล้วทางนั้นเขาให้พ่อกับแม่เข้าไปเจอได้เมื่อไหร่"
ปรเมศร์ถามลูกสาว
"คุณพ่อคุณแม่พร้อมวันไหนละคะ ปรางจะได้แจ้งท่านไป เพราะปรางบอกว่าจะรีบให้ผู้ใหญ่จัดการเร็วที่สุดค่ะ"
"อืมถ้างั้นเป็นวันอาทิตย์หน้านี่ไหม ลองถามทางนั้นดูว่าสะดวกหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็เอาวันนั้นแหล่ะ"
"ได้ค่ะคุณพ่อเดี๋ยวปรางจะบอกกับเจให้เรียนคุณพ่อคุณแม่เขาอีกที"
เมื่อได้คุยตกลงกันกับบิดามารดาเรียบร้อยปรางวรัญก็กลับขึ้นมายังห้องตัวเอง มองดูเวลาตอนนี้เพิ่งสองทุ่มเศษคนที่ไปทำงานไม่รู้ว่าเสร็จจากภารกิจตัวเองแล้วหรือยัง ไปอาบน้ำจัดการตัวเองก่อนดีกว่าสักสามทุ่มค่อยโทรไปแล้วกัน
ส่วนฟากนางเอกสาวหลังจากที่หมดหน้าที่ตัวเองบนเวทีก็ต้องมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวต่อตามธรรมเนียมเช่นเคย
"เป็นยังไงบ้างคะน้องเจ ละครปิดกล้องไปแล้วกระแสตอบรับเป็นไปตามที่คาดไว้หรือเปล่าคะ"
"ก็ถือว่ากระแสตอบรับค่อนข้างดีพอสมควรนะคะ นึกว่าแฟนละครของเจกับพี่อ๊าตจะเบื่อกันไปแล้วเพราะนี่ก็เรื่องที่สามแล้วที่ได้กลับมาร่วมงานกับพี่เขาอีกครั้งค่ะ"
"คงไม่มีใครเบื่อหรอกค่ะน้องเจเพราะเห็นเล่นคู่กันทีไรก็ทำเอาคนดูอินจิ้นกันไปทั้งประเทศทุกเรื่องแหล่ะค่ะ ว่าแต่สนิทกันขนาดนี้เห็นมุ้งมิ้งกันบ่อยๆไม่หวั่นไหวบ้างเหรอคะน้องเจ"
นี่แหล่ะคือคำถามยอดฮิตที่ไม่ว่าเมื่อไหร่นักข่าวจะต้องถามเหมือนกับว่านี่คือคำถามที่ขาดไม่ได้หรือยังไงก็ไม่รู้ นางเอกสาวยิ้มออกมาบางๆก่อนจะตอบ
"ไม่มีหรอกค่ะ ก็อย่างที่เจเคยบอกไปนั่นแหล่ะว่าเจกับพี่อ๊าตเหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เพราะจบมาจากสถาบันเดียวกันด้วย ความสนิทก็เลยอาจจะมีมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นแค่นั้นเองค่ะ"
พอพูดถึงนักแสดงชายอย่างอ๊าต อัฐวิทย์ พระเอกละครคู่ขวัญของตัวเองก็อดที่จะยิ้มขำออกมาไม่ได้เมื่อนึกไปถึงคนเมาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ภาคินในละครที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คืออัฐวิทย์นั่นล่ะ
"สรุปแล้วก็คือตอนนี้น้องเจก็ยังโสดยังไม่มีใครมาจับจองเป็นเจ้าของหัวใจใช่ไหมครับ"
คำถามของนักข่าวชายเรียกรอยยิ้มของนางเอกสาวออกมาอีกครั้ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอก็คงตอบไปสั้นๆว่า ใช่ค่ะ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกกรุ่นๆในอกและภาพของใครบางคนทำให้คำตอบของนางเอกดังสร้างความแปลกใจกับนักข่าวไม่น้อย
"เอาเป็นว่าถ้าเจมีคนนั้นเมื่อไหร่เดี๋ยวพวกพี่ๆก็คงเห็นเองแหล่ะค่ะ"
"แหม เข้าใจตอบเปิดทางเผื่ออนาคตนะคะคุณน้อง พี่นึกว่าจะได้ยินว่า ค่ะตอนนี้เจก็ยังไม่มีใครขอทำงานไปก่อนดีกว่า"
ทิวาเอ่ยแซวนางเอกในสังกัดที่เดินออกมาจากจุดให้สัมภาษณ์เรียบร้อย เจติยาหัวเราะเบาๆขำท่าทางน้ำเสียงที่คนตัวใหญ่เลียนแบบคำตอบที่เธอเคยใช้ประจำ
"แล้วพี่ทิวาเห็นด้วยหรือเปล่าละคะที่เจตอบไปแบบนั้นน่ะ"
เจติยาถามกลับพร้อมยิ้มสวย
"ก็โอแล้วละคะน้องเจ มันเป็นคำตอบที่ไม่เปิดและก็ไม่ปิด แต่ถ้าคิดดีๆเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่นะคะ"
หึๆ
"ก็มีจริงๆนี่คะ แต่จะถูกเปิดเผยวันไหนนี่แหล่ะที่เจต้องเตรียมรับมือ"
"จ้า ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะยังไงพี่ก็อยู่ข้างน้องสาวตลอดนั่นแหล่ะ ป่ะกลับบ้านไปพักผ่อนกันดีกว่าคนบางคนจะได้มีเวลาให้หัวใจตัวเอง" คิกๆ
ทิวาเอ่ยล้อออกมาอีกครั้ง เห็นโมเม้นท์เขินจริงจังของน้องเข้ามันน่าแกล้งให้อายบ่อยๆเหมือนกัน
เสียงเรียกเข้าจากมือถือที่วางอยู่เบาะข้างคนขับดังขึ้นมาเจติยากดปุ่มเชื่อมต่อลำโพงรถทันทีโดยไม่ได้ดูว่าใครโทรเข้ามาเพราะสายตาจดจ้องอยู่กับถนนเบื้องหน้า
"ฮัลโหลค่ะ"
"คุณ กลับหรือยังคะ?"
น้ำเสียงที่เริ่มคุ้นหูดังมาให้รอยยิ้มหวานปรากฏขึันแต้มใบหน้าสวย
"กำลังกลับค่ะ ปรางจะนอนแล้วเหรอคะ"
"ยังหรอก แล้วนี่คุณขับรถอยู่หรือเปล่า เอาไว้ถึงที่พักค่อยคุยกันก็ได้อันตราย"
"อือใกล้ถึงคอนโดแล้วล่ะ ไว้เจโทรกลับนะคะ"
"ค่ะ ขับรถระวังด้วยคุณน่ะ"
"ค่า"