หลังมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ของทั้งคู่ผ่านไปทั้งสองก็มานั่งหน้าจอทีวีอีกครั้ง
"เออคุณ แล้วรถคุณล่ะเมื่อคืนขับคันไหนกลับมา"
ปรางวรัญถามเมื่อนึกขึ้นได้
"เออฉันก็ลืมไปเลยว่าจะบอกให้พี่ปองไปขับมาจากร้าน แต่คงไม่ว่างแล้วล่ะคงพาคุณแม่ไปทำธุระแล้ว"
"ปอง ผู้ชายที่ขับรถไปส่งฉันนะเหรอ?"
"ค่ะคนนั้นแหล่ะ ที่จริงพี่ปองเป็นลูกชายแม่นมที่เลี้ยงฉันกับพี่ชายมาน่ะ เราก็เลยไม่คิดว่าพี่เขาเป็นคนรับใช้ในบ้านก็โตมาด้วยกันทุกวันนี้พี่ปองก็ได้ไปช่วยงานเป็นผู้ช่วยพี่ชายฉันที่บริษัทด้วยค่ะ"
"อือหึ แล้วจะให้ใครไปเอามาให้ละทีนี้ เดี๋ยวฉันแวะไปเอาก็ได้จะได้กลับบ้านเลย"
"นี่คุณโทรเช็ครถหรือเปล่าเขาซ่อมเสร็จหรือยัง"
"จริงสิอาทิตย์นี้ฉันมัวยุ่งๆเลยไม่ได้โทรตาม ว่าแล้วโทรถามเลยดีกว่า อ้าว แล้วโทรศัพท์ฉันอยู่ไหนเนี่ย เมื่อคืนคุณหยิบมาด้วยหรือเปล่า"
"วางอยู่หัวเตียงในห้องน่ะแหล่ะ ฉันรอบคอบพอหรอกน่ะ"
"แหมว่าที่ภรรยาน่ารักจังเลย" ฟอดดจมูกโด่งโฉบเข้าหาแก้มนุ่มอย่างไวก่อนจะลุกพรวดออกจากโซฟาไป
"ปราง!"
เจติยาส่งเสียงดุให้คนที่ไวปานลิงที่ฉวยโอกาสเอากับเธอหลายรอบแล้ว ทำไมกะล่อนเจ้าเล่ห์แบบนี้ก็ไม่รู้เนี่ย
จอมเจ้าเล่ห์หันมายิ้มทะเล้นให้ก่อนเปิดประตูห้องนอนเข้าไปเอาสิ่งที่จะใช้งาน
ดีนะที่แบตยังเหลือเนี่ย เอ แปลกทำไมไม่มีใครโทรตามหว่า ปกติถ้าเธอไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านก็ต้องมีคุณหญิงแม่โทรถามแล้ว แต่พี่ชายคงจะบอกอยู่หรอกเพราะเมื่อวานก่อนแยกกันเธอบอกมีนัดกับเพื่อน คิดได้แบบนั้นร่างสูงก็เลื่อนหาเบอร์ของอู่ซ่อมทันที
เจติยาหันไปมองคนที่เดินยิ้มออกมาจากห้องนอนก็ให้นึกสงสัยว่าเป็นอะไรขึ้นมาอีก
"รถซ่อมเสร็จแล้วค่ะ"
ร่างสูงมานั่งลงข้างๆก่อนเอ่ยบอกคนที่ทำหน้าสงสัย
"ขอบคุณนะที่ส่งข้อความไปบอกที่บ้านให้เมื่อคืนน่ะ"
เจติยาก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาจะว่าไปเมื่อคืนเธอก็ถือวิสาสะใช้มือถือเจ้าตัวส่งข้อความกลับไปบอกทางบ้านว่าอีกคนค้างกับเพื่อน
"เอ่อ คุณไม่โกรธนะที่ฉันใช้มือถือคุณโดยพลการแบบนั้นน่ะ ก็แค่กลัวทางบ้านคุณเป็นห่วงน่ะ"
นางเอกสาวบอกออกไปให้อีกฝ่ายยิ้มส่ายหน้า
"จะโกรธทำไมล่ะคุณก็ทำถูกแล้ว ไม่งั้นคุณแม่คงโทรมาตามแล้วล่ะหายมาไม่แจ้งแบบนั้นน่ะ"
"อือ แล้วนี่คุณจะไปเอารถเองหรือให้ที่อู่เขาเอาไปส่งบ้านคะ"
"บอกให้เขาเอาไปส่งที่บ้านแล้วล่ะขี้เกียจไป แล้วคันที่ทิ้งไว้ที่ผับล่ะเอาไงเรียกอู่ไปเอาเลยได้ไหม เออแต่เขาไม่มีกุญแจนี่เน๊าะ"
ร่างสูงพูดไปคิดไปสงสัยเธอคงต้องย้อนกลับไปเอาอยู่ดีนั่นล่ะ
"ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันโทรแจ้งศูนย์ของเขาโดยตรงไปเอามาซ่อมเลยเขามีกุญแจอยู่แล้วแค่เราอนุญาต ว่าแต่คุณไม่ได้มีของสำคัญทิ้งไว้ในรถนะ"
"ไม่มีค่ะ"
เจติยาจัดการโทรแจ้งศูนย์ที่ดูแลรับผิดชอบทั้งตรวจซ่อมและเช็คสภาพรถให้ไปจัดการให้ แต่พอจะหันมาบอกคนข้างๆก็เห็นอีกฝ่ายนั่งมองเธอนิ่งๆ แต่ทำไมแววตาเหมือนกำลังยิ้มอยู่ก็ไม่รู้หรือเธอคิดไปเอง
"มีอะไรหรือเปล่าคุณ?"
ปรางวรัญไม่ตอบแต่ยื่นมือไปคว้าแขนขาวมาพลิกไปมาเหมือนต้องการจะหาตำหนิอะไรสักอย่างเมื่อไม่เห็นก็เลยมองจ้องไปที่ต้นขาขาวของอีกคนที่มันโผล่พ้นกางเกงขาสั้นสีขาวออกมา คิ้วสวยขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อมองหาไม่เจอร่องรอยแผลเป็น
เจติยาที่มึนงงกับอีกคนไปด้วยอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามออกมา
"เป็นอะไรของคุณอีกฮึ อยู่ๆมานั่งสำรวจกันเนี่ย"
แทนที่อีกฝ่ายจะตอบคำถามเธอแต่กลับยิ่งทำให้นางเอกสาวทั้งงงทั้งอึ้งเข้าไปอีก จู่ๆร่างสูงก็ทิ้งศรีษะลงมาหนุนตักกันหน้าตาเฉย
"ไม่มีแผลเป็นแสดงว่าล้างแผลบ่อยอย่างที่บอกไปใช่ไหม"
อึ้ง ใบ้รับประทานค่ะ แต่หัวใจนี่สิจะเต้นรัวเร็วไปไหนไม่บอกก็รู้ว่าเลือดในกายกำลังถูกปั้มและสูบฉีดกระจายไปทั่วร่างอย่างมากมายโดยเฉพาะใบหน้าที่ตอนนี้ร้อนผ่าวไปถึงลำคอ
ปรางวรัญอมยิ้มเมื่อเห็นอีกคนนิ่งอึ้งเงียบเป็นเป่าสากแต่ใบหน้าขาวที่มันแดงเรื่อนี่ก็มากพอที่จะยืนยันสิ่งที่เพิ่งเห็นมานี่แหล่ะ ในห้องนอนของอีกคนที่เธอเพิ่งสังเกตุเห็นรูปภาพเด็กผู้หญิงผิวขาวผมยาวหน้าตาน่ารักยืนถ่ายรูปคู่กับจักรยาน และมันจะมีสักกี่คันกันจักรยานสีชมพูกับเด็กผู้หญิงหน้าตาแบบนั้นน่ะ เธอก็เพิ่งจะถึงบางอ้อเมื่อนึกได้ว่าทำไมเจติยาถึงรู้ชื่อนามสกุลเธอ และคำพูดทิ้งท้ายเมื่อหลายวันก่อนนั้นอีก คำว่าฝันดีที่มีชื่อเล่นของเธอพ่วงท้ายอย่างหวาน
"เจ จำปรางได้ตั้งแต่วันแรกที่เจอเลยเหรอหืม"
น้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยถามออกมา ทำให้คนที่เขินจนทำอะไรไม่ถูกต้องกัดเม้มริมฝีปากบางพยักหน้าให้แทน
"เป็นเพราะจำได้เหรอคะถึงได้เอารถราคาแพงมาให้ใช้น่ะฮึ"
"เปล่าสักหน่อยค่ะ ก็ที่บ้านมีรถอยู่แค่นั้นจะให้เอาคันไหนมาล่ะ คันที่เจขับแพงกว่าคันที่ให้ปรางมาขับอีกนะจะบอกให้"
"เหรอ นึกว่าให้มาเพราะเสน่หากันซะอีก"
คำพูดล้อแถมสายตาหวานกรุ้มกริ่มนั่นช่างน่าหมั่นไส้นัก
"บ้าสิ ใครเขาจะไปคิดอะไรกับตัวเองเหอะ"
หึๆ
"แล้วทำไมต้องหลบตาล่ะหึ ไม่คิดอะไรจริงๆเหรอ"
มือเรียวยื่นไปประคองแก้มนุ่มที่ทำทีสนใจแต่หน้าจอสี่เหลี่ยมให้มองมาที่เธอ
เจติยาจำยอมมองสบตาคนที่หนุนตักเธออยู่ อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนี้เลยปราง แค่นี้หัวใจเจก็เต้นแทบจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว
"สงสัยเราจะเป็นเนื้อคู่กันนะ ฮึๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้มาเจอกันอีกแถมยังเจอแบบไม่คาดฝันอีกต่างหาก นี่ถ้าคุณแม่รู้เรื่องคงจะดีใจที่จู่ๆก็จะได้นางเอกในดวงใจมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆน่ะ รู้ไหมคุณแม่น่ะเป็นแฟนคลับละครคุณเลยนะ"
"คุณป้าสบายดีหรือเปล่าคะ"
เมื่ออีกคนพูดถึงมารดาทำให้เจติยายิ้มออกมานึกไปถึงผู้หญิงสวยใจดีที่เคยช่วยทำแผลให้เธอเมื่อตอนเด็ก
"อือก็สบายดีเมื่อหลายวันก่อนยังแซวปรางให้จีบคุณไปเป็นลูกสะใภ้อยู่เลย วันนี้คงสมใจคุณแม่ล่ะ"
"จริงเหรอคะ ทำไมคุณป้าถึงแซวแบบนั้นล่ะ"
เจติยาขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมท่านถึงแซวลูกสาวแบบนั้นถ้าปรางวรัญเป็นผู้ชายก็ว่าไปอย่าง
"ก็ท่านเป็นแฟนคลับคุณไง รู้กระทั่งว่าคุณไม่ชอบผู้ชายน่ะ ใช่ไหม?"
เมื่อได้ฟังคำตอบเจติยาก็ยิ้มขำออกมาทันที สงสัยท่านจะสนใจข่าวสารเกี่ยวกับเธอพอสมควรถึงได้รู้ขนาดนั้น ถึงเธอไม่เคยปิดบังเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้แสดงออกจนใครๆก็รู้จะมีเพียงบทสัมภาษณ์บางครั้งที่โดนจี้คำถามจริงๆนั่นล่ะเธอถึงจะพูดออกสื่อไป
"คุณป้านี่น่ารักจังเลยนะคะ เจชักอยากไปเจอท่านแล้วสิ"
"ไปไหมล่ะ ไปด้วยกันเย็นนี้เลยไปเปิดตัวกัน"
"เปิดตงเปิดตัวอะไรไปขอเจกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนเหอะ เย็นนี้เจมีงานด้วยค่ะ แล้วดูสิคุณทำผลงานไว้แบบนี้น่ะต้องมานั่งกลบรองพื้นปกปิดเนี่ย"
ใบหน้าสวยค้อนส่งให้คนที่ยิ้มขำออกมาอย่างนึกโมโห
"โอ๋ๆ ปรางขอโทษนะก็เมื่อคืนนึกว่าขนมหวานเลยดูดไปเต็มแรงเลย"
เพี้ยะ โอ๊ย เสียงฝ่ามือกระทบที่แขนให้คนพูดรู้สึกแสบๆคันๆแต่ก็ยังหัวเราะขำ
"ขนมหวานบ้านปรางสิ ดูดมาได้ เมาแล้วทำไมถึงเป็นคนแบบนี้คะ"
"หึๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันเกิดมาเพิ่งเคยเมาไวน์น่ะ"
"ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ต้องดื่มแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ไปทำอะไรชาวบ้านเขาไปทั่วน่ะ"
น้ำเสียงที่บ่นแกมเป็นห่วงก็เรียกรอยยิ้มของคนเมาแล้วไม่เหมือนชาวบ้าน
"สัญญาค่ะ ถ้าไม่ได้อยู่กับคุณรับรองจะไม่ดื่มแบบนั้นเด็ดขาด"
"ฮึ ทำให้ได้เหอะ ถ้ามีเรื่องอนาจารแบบนี้กับคนอื่นขึ้นมาเจจะทุบให้น่วมเลยคอยดู"
"หว๋า ว่าที่ภรรยาเค้าทำไมโหดจังเนี่ย"
คำล้อเลียนที่มาพร้อมรอยยิ้มและสายตากรุ้มกริ่มก็ทำให้นางเอกคนสวยทั้งเขินทั้งขำไปด้วย คนอะไรทั้งทะเล้นทั้งเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้
"ลุกนอนดีๆไหมคะ เจเริ่มเมื่อยขาแล้วนะ"
"อือ ง่วงจัง ไปนอนกันเถอะ"
คนเริ่มง่วงเอ่ยชวนขึ้นมา แต่คนถูกชวนนี่สิไม่ค่อยจะไว้ใจจอมเจ้าเล่ห์สักเท่าไหร่
"ง่วงก็เข้าไปนอนค่ะ ไว้เดี๋ยวเจไปปลุกจะได้ออกไปพร้อมกัน"
"ไม่นอนด้วยกันเหรอคะ"
เจติยาส่ายหน้าอมยิ้มอย่างรู้ทัน แค่หนึ่งคืนกับครึ่งวันเธอก็แทบจะตกเป็นของอีกคนอยู่แล้ว ขืนตามใจมากๆคงได้เป็นภรรยาก่อนแต่งแน่ๆ
"ไม่ง่วงค่ะ ไปนอนได้แล้วค่ะ อีกสองชั่วโมงเดี๋ยวเจไปปลุกนะ"
"เฮ้อ จะนอนหลับไหมนี่ไม่มีน้องน้ำฟ้าให้กอดเนี่ย"
คนเจ้าเล่ห์ยังมิวายเอ่ยเย้าให้อีกคนได้เขินเล่น ก่อนจะยอมลุกเข้าไปนอนในห้องโดยดีเพราะรู้สึกง่วงจนตาจะปิดแล้วจริงๆ
เจติยาคว้าเอาหมอนอิงมากอดสายตาจ้องไปที่หน้าจอเบื้องหน้าแต่สมองกลับมีแต่เรื่องราวของคนที่หายเข้าไปยังห้องนอนนั่น เรียวปากสวยที่แต้มยิ้มจนรู้สึกเมื่อยแก้ม ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไงรู้แต่ว่ามันสุขมันอบอุ่นเหมือนชีวิตได้ถูกเติมเต็มจากสิ่งที่รอคอยมานานอย่างนั้นแหล่ะ
หลังจากงีบหลับไปจนนางเอกสาวเข้ามาปลุกนั่นล่ะร่างสูงจึงได้ตื่น
"ปรางจะอาบน้ำอีกรอบหรือเปล่า"
ร่างบางเอ่ยถามคนที่ทำตัวขี้เซาไม่ยอมลุกจากที่นอน
"ขี้เกียจค่ะไม่อาบได้ไหม"
"ตามใจค่ะ งั้นเจอาบน้ำก่อนนะ"
"อืม"
"อย่าหลับต่อนะปรางเดี๋ยวก็ปวดหัวหรอกจะสี่โมงเย็นแล้วนะคะ"
"คร้าบ"
เจติยาส่ายหน้าแต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้อายุตั้งเท่าไหร่แล้วดูทำตัวเข้า ท่าตะแคงนอนกอดก่ายผ้าห่มนี่ไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสิบขวบเลย
นางเอกสาวหายเข้าไปในห้องน้ำร่วมยี่สิบนาทีพอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นอีกคนนั่งพิงหัวเตียงมองมาที่ตนอยู่แล้ว
"ไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วค่ะถ้าไม่อาบน่ะ"
ร่างสูงลุกลงมาจากเตียงเดินเอื่อยๆเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ
"จะเปลี่ยนชุดไหมคะหรือจะกลับชุดนี้ เสื้อผ้าปรางไว้เดี๋ยวเจส่งซักให้"
เมื่ออีกคนออกมาจากห้องน้ำแล้ว เจติยาที่กำลังนั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้งก็เอ่ยถาม ปรางวรัญก้มตรวจดูสภาพตนเองเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขาสั้นสีครีมที่มันก็ไม่ได้สั้นน่าเกลียด
"กลับชุดนี้ก็ได้ค่ะ มีงานอะไรเหรอคะวันนี้"
ร่างสูงเดินกลับไปนั่งลงปลายเตียงแล้วเอ่ยถามอีกคนบ้าง
"งานเปิดตัวเครื่องสำอางค์ตัวใหม่ที่เจเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์นั่นแหล่ะค่ะ"
"ที่ไหนคะ?"
เจติยาหันมามองคนถามนิดนึงก่อนจะบอกไป
"ที่ห้างลากูลตอนหกโมงเย็นค่ะ ถามนี่จะไปดูเจเหรอคะ"
"ไม่ไหวคะปรางไม่ชอบเจอคนเยอะๆอึดอัด"
ปรางวรัญบอกก่อนจะลุกมายืนซ้อนด้านหลังร่างบาง ให้เจติยามองอีกคนผ่านกระจกนิ้วอุ่นแตะลงมาที่คอไล้เบาๆบริเวณรอยแดงที่เธอยังไม่ได้จัดการกลบรองพื้น แค่เพียงสัมผัสอ่อนโยนที่ส่งผ่านปลายนิ้วก็ทำเอาหัวใจเธอวูบไหวไม่น้อย
"ถ้ามีคนภายนอกรู้เรื่องของเรา เจจะไม่มีปัญหากับอาชีพเหรอคะ"
เจติยายิ้มออกมากับคำถามเหมือนห่วงใยกันของอีกคนมือบางเลื่อนขึ้นมาจับกุมมืออุ่นที่วางอยู่บนบ่าเธอบีบกระชับเบาๆ
"ข่าวกับดารามันเป็นเรื่องปกติค่ะเพียงแต่ข่าวไหนคือเรื่องจริงเรื่องไม่จริงเท่านั้นเอง และเจก็ไม่คิดจะปิดหากว่าวันหนึ่งเกิดมีใครเอาเรื่องของเราไปออกสื่อเพราะยังไงความลับมันไม่มีในโลกสักวันก็คงเป็นข่าวจนได้ ว่าแต่ปรางเถอะจะอึดอัดหรือเปล่าที่จะต้องติดร่างแหไปด้วยน่ะ"
ปรางวรัญยิ้มตอบออกมาพลางส่ายหน้าก่อนจะโน้มลงกระซิบบอกข้างใบหูบางให้อีกคนได้ฟัง
"ปรางอึดอัดเวลาอยู่ในคนหมู่มากก็จริงแต่ไม่ได้อึดอัดที่ต้องเป็นคู่หมั้นเจนะคะ"
น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มที่ส่งมาผ่านเงาสะท้อนของกระจกทำให้หัวใจคนฟังอุ่นซ่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่เรียวปากบางจะเผยยิ้มส่งให้คนที่โน้มกอดเธอไว้หลวมๆ ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวานที่มันกระจายอยู่รอบตัวนี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าโลกสีชมพูน่ะ
"เดี๋ยวเจจอดให้ปรางลงแถวรถไฟฟ้าก็ได้ค่ะ ค่อยไปต่อแท๊กซี่เข้าบ้าน"
ปรางวรัญบอกอีกคนหลังจากที่พากันออกมาจากคอนโดของนางเอกสาวแล้ว เจติยาขับรถเข้าเลนซ้ายเมื่อใกล้ถึงสถานีรถไฟฟ้าอีกไม่กี่ร้อยเมตรข้างหน้า
"งานเลิกกี่ทุ่มคะ?"
"ก็น่าจะประมาณสองทุ่มกว่านะคะ"
"อือ ไว้ปรางโทรหานะถ้าไม่เผลอหลับไปก่อนน่ะ"
"ค่ะ ถึงบ้านแล้วข้อความบอกเจด้วยล่ะห้ามแวะเถลไถลที่ไหนนะคะ"
"หึๆ ชุดนี้จะให้ปรางไปแวะไหนได้คะนอกจากเซเว่นหน้าหมู่บ้านน่ะ"
คนร่างสูงบอกออกไปขำๆ มันก็รู้สึกแปลกดีเหมือนกันทั้งที่พวกเธอก็เพิ่งเจอกันถึงจะเคยมีอดีตวัยเด็กด้วยกันแต่นั่นมันก็นานสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ทำไมแค่เพียงรู้ว่าอีกคนคือคนในความทรงจำความคุ้นเคยความสนิทใจมันถึงได้มีมากจนเหมือนกับว่ารู้จักกันมาเนิ่นนาน และที่แสนจะประหลาดก็คือตัวเธอนี่ล่ะเมื่อสามสัปดาห์ก่อนยังโวยวายมารดาตัวเองเหยงๆอยู่เลยว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง แล้วนี่มันคืออะไรล่ะแค่เพียงคืนเดียวเธอเกือบจะได้อีกคนมาเป็นภรรยาซะแล้ว
ทิวายืนกอดอกยิ้มมองไปยังนางเอกสาวในสังกัดตัวเองที่กำลังเดินเข้ามายังสถานที่จัดงานเปิดตัวเครื่องสำอางค์ยี่ห้อหนึ่ง
"ได้พักผ่อนเต็มที่ดูหน้าตาสดใสมากนะคะคุณน้อง หรือว่ามีอะไรดีๆคะรู้สึกว่าพักนี้สวยขึ้นนะยิ่งแววตานี่เป็นประกายวิ้งๆเลยนะคะน้องเจ"
เสียงทักทายของผู้จัดการร่างใหญ่ทำให้นางเอกคนสวยอมยิ้มก่อนจะตอบออกไปกวนๆ
"คนมีความสุขก็ต้องดูมีออร่าเปล่งประกายเป็นธรรมดาแหล่ะค่ะพี่ทิวา"
"แหม พี่ชักอยากรู้จริงจริ๊งว่าอะไรที่ทำให้นางเอกของพี่แผ่ออร่าแห่งความสุขกระจัดกระจายขนาดนี้คะ นี่ถ้าไม่รู้ๆกันอยู่พี่จะคิดว่าคุณน้องกำลังมีความรักอยู่นะคะเนี่ย เอ๊ะ อุ๊ย! ตายแล้ว พี่ลืมไปได้ยังไงเนี่ยอย่าบอกนะคะว่าที่พูดกับพี่ตอนนั้นว่าคุณน้องเจอเนื้อคู่แล้วตอนนี้กำลังปิ๊งๆกันอยู่น่ะ"
คำเอ่ยแซวและท่าทางตื่นเต้นตาโตของผู้จัดการร่างใหญ่ใจหญิงก็ทำให้คนที่แอบมีความลับแต่ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรักด้วยหรือเปล่าอดที่จะขำออกมาไม่ได้ก่อนจะแกล้งย้อนถามอีกคนด้วยรอยยิ้มให้ผู้จัดการยกมือขึ้นปิดปากตาเบิกกว้างขึ้นอีกเท่าตัว
"แล้วพี่ทิวาคิดว่ายังไงละคะ?"
กรี๊ด
"น้องเจ นี่เรื่องจริงหรืออำพี่เล่นคะ มานี่ๆเลยค่ะ ตรงนี้คนเยอะเดี๋ยวจะเป็นเรื่องขึ้นมา"
ทิวาดึงแขนนางเอกคนสวยที่หัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเขาทำท่ากรี๊ดแต่ไร้เสียงออกไปเมื่อครู่ พานางเอกคนสวยเดินหลบเข้าไปยังอีกมุมที่จัดไว้ให้แขกรับเชิญพิเศษนั่งพักผ่อนในช่วงที่รอขึ้นบนเวทีและตอนนี้มันยังไม่ค่อยมีใครส่วนมากทีมงานก็จะวุ่นวายกันอยู่ด้านนอกเพราะเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่างานจะเริ่ม
"เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ มาทำให้พี่เกิดความอยากแล้วจะชิ่งจากไปครั้งนี้ไม่ยอมนะคะน้องเจ สรุปแล้วนี่ยังไงคะเรื่องจริงใช่ไหม"
ทิวาเมื่อเห็นว่าทางสะดวกปลอดคนจึงได้เอ่ยถามนางเอกสาวแบบจริงจัง ไม่ใช่ว่าอยากรู้อยากเห็นเรื่องส่วนตัวของคนที่ตนต้องดูแลหรอกแต่การเป็นดาราบางครั้งก็ใช่ว่าจะเปิดเผยอะไรๆแก่สาธารณะชนได้ทุกเรื่อง เขาจึงจำเป็นต้องรู้เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาภายหลังด้วย