พิมพ์พลอยกลับมาถึงบ้านในสภาพที่ยังตื่นตกใจ แต่เพราะความเมาจึงทำให้เธอเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนที่หัวถึงหมอน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงนุชรีเคาะประตูเรียกในเช้าของอีกวัน
“พิมพ์ ตื่นหรือยังลูก พิมพ์”
เสียงนั้นปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้สนใจจะเปิดประตูออกไปเพราะยังนอนหลับสบาย ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเป็นฝ่ายเปิดประตูเข้ามาแทน
“พิมพ์ ตื่นเถอะลูกเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อือ...เรื่องอะไรคะแม่” พิมพ์พลอยขยับพลิกตัวทั้งที่ตาสองข้างยังปิดสนิทแต่พอได้ยินคำตอบจากปากนุชรีเธอก็ลุกพรวดขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ
“ตำรวจบอกว่าเมื่อคืนลูกไปขับรถชนคนตาย จริงหรือเปล่าพิมพ์”
“ว่าไงนะคะแม่” หญิงสาวตัวชาหนึบ รีบเด้งตัวลุกนั่ง พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนจำได้ว่าตัวเองขับรถไปชนคนมาจริง ๆ “จริงด้วย ผู้หญิงคนนั้นตายเลยเหรอคะแม่ ตอนหนูชนหนูยังจำได้เลยว่าเธอยังขยับตัวได้”
“ในข่าวบอกว่าเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นี่คุณพ่อก็กำลังเคลียร์กับตำรวจอยู่ เห็นว่าเธอ...เป็นดาราดังด้วยนะลูก”
“ไม่นะคะแม่ แม่กับพ่อห้ามให้หนูติดคุกนะคะ หนูไม่อยากติดคุก แม่ต้องช่วยหนูนะแม่” หญิงสาวโอดครวญ พยายามร้องขอผู้เป็นแม่
“แม่ไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ หนูไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“พิมพ์ไม่กล้าลงไปหรอกค่ะ แม่กับพ่อจัดการให้หนูหน่อยนะคะ ทำยังไงก็ได้ หนูไม่อยากติดคุก”
“ก็บอกแล้วไงว่าแม่เองก็ไม่ยอมหรอก งั้นพิมพ์รออยู่นี่นะ เดี๋ยวแม่จะลงไปหาคุณพ่อเอง” นุชรีพยายามปลอบใจลูกสาวก่อนจะลงไปหาภูริตที่กำลังรับหน้าตำรวจอยู่ที่ชั้นล่าง สีหน้าดูเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นยังไงบ้างคุณ ลูกไม่ยอมลงมาเหรอ”
“ยัยพิมพ์เธอยังตกใจอยู่เลย อันที่จริงเมื่อคืนเธอไม่ได้ตั้งใจหนีมาหรอกนะคะ แต่ลูกสาวดิฉันเธอเป็นโรคหัวใจน่ะค่ะ พอตกใจมากอาการก็จะกำเริบ” นุชรีตอบคำถามสามีด้วยการโกหกแล้วหันไปบีบน้ำตาแสดงละครฉากใหญ่กับตำรวจต่อ
“แต่ยังไงทางเราก็ต้องเชิญตัวไปสอบปากคำที่โรงพักนะครับ”
“ก็บอกแล้วไงว่าลูกสาวผมเธอไม่สบาย ผมยินดีจ่ายเงินเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตนะครับแล้วก็จะตอบแทนให้คุณตำรวจด้วย ถ้าคุณตำรวจเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้วก็ยุติคดีซะ” ภูริตยื่นข้อเสนอให้ พอเห็นตำรวจทั้งสองคนดูลังเลเล็กน้อยเขาจึงรีบโน้มน้าวต่อ “ผมรู้จักกับนายตำรวจใหญ่ ๆ หลายคนอยู่นะ ผมว่าคุณตำรวจคงไม่อยากเอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงหรอกใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...” ตำรวจนายหนึ่งเริ่มนั่งไม่ติด ภูริตจึงหันไปออกคำสั่งกับภรรยา
“ไปเอาเงินมาสิคุณ”
“ได้ค่ะ” นุชรีรับปาก รีบขึ้นไปนำเงินสดจำนวนหนึ่งลงมาให้ ทันทีที่เห็นเงินมากมายกองอยู่ตรงหน้า ตำรวจทั้งสองนายก็รีบพยักหน้ารับปากทันที
“ก็ได้ครับ งั้นเราสองคนจะรีบทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดก็แล้วกันครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ” ภูริตคลี่ยิ้มอย่างพอใจก่อนที่เขาจะหันไปหยิบเช็คเงินสดมาจรดปากกาลงบนนั้นแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายด้วย “ส่วนนี่เงินเยียวยาสำหรับครอบครัวผู้เสียชีวิต ฝากจัดการให้หน่อยน่ะครับ”
“ครับ เดี๋ยวจะรีบจัดการให้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตำรวจทั้งสองนายก็ขอตัวกลับไปแต่ถึงกระนั้นภูริตก็ยังไม่วางใจ เขารีบขับรถตามไปด้วยเพื่อจะขอคุยกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่รู้จักกันเพื่อหาทางช่วยพิมพ์พลอยให้รอดพ้นจากคดี
“ตำรวจกลับไปแล้วเหรอคะแม่” พิมพ์พลอยเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงรถขับออกไปเธอจึงลงมาจากชั้นบนของบ้านด้วยความร้อนใจ
“กลับไปแล้วจ่ะ”
“แล้วพ่อล่ะคะ พ่อออกไปไหน”
“พ่อไปคุยกับผู้การอีกทีน่ะ แต่ดูแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก สมัยนี้อำนาจเงินมันดีจะตาย เงินถึงขนาดนี้เดี๋ยวทุกอย่างก็เงียบ” นุชรียิ้มตอบ ได้ยินว่าตำรวจทั้งสองนายรับปากขนาดนั้นเธอก็ใจชื้นขึ้นมาทันที
“ยังไงพิมพ์ก็ไม่สบายใจหรอกค่ะ รอให้พ่อกลับมาก่อนดีกว่า”
“ก็ตามใจ งั้นเดี๋ยวแม่จะนั่งรอเป็นเพื่อนก็แล้วกัน” พูดจบเธอก็หันไปเรียกเพลงขวัญที่กำลังช่วยงานอยู่ในครัวทั้งที่ยังสวมชุดทำงานเพื่อเตรียมจะเข้าบริษัทกับภูริตตั้งแต่เช้าแต่ก็ดันมาเกิดเรื่องซะก่อน “ยัยขวัญ เอาข้าวต้มมาเสิร์ฟหน่อยสิ”
“ค่ะคุณป้า” อีกฝ่ายรับคำแล้วรีบนำข้าวต้มร้อน ๆ มาเสิร์ฟให้ โดยที่พิมพ์พลอยเองก็อดที่จะหมั่นไส้เสียไม่ได้
“นี่คงจะเตรียมตัวจะเข้าบริษัทแล้วสินะ”
“ค่ะ เห็นว่าคุณพ่อจะพาเข้าไปวันนี้”
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ฉันว่าวันนี้ยังไงเธอก็คงไม่ได้ไป กลับไปเปลี่ยนชุดเถอะ” หญิงสาวเบ้ปากใส่ด้วยความรังเกียจ เพลงขวัญไม่ได้ตอบโต้อะไรจึงปลีกตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำสั่งนั้นแล้วทำงานบ้านต่อจนกระทั่งภูริตกลับมาอีกครั้ง นุชรีจึงรีบเอ่ยถามถึงเรื่องคดีทันทีด้วยความร้อนใจ
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ ได้เรื่องไหม”
“ผมอุดเงินไปแล้ว ท่านผู้การก็รับปากว่าจะจัดการให้ แต่ระหว่างนี้คงต้องให้ยัยพิมพ์ออกนอกประเทศไปก่อน รอให้เรื่องเงียบแล้วค่อยกลับมา” เขาตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจที่ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปได้ด้วยอำนาจของเงินตรา “ส่วนเรื่องงานที่จะให้ลูกเข้าไปทำ ก็คงต้องเลื่อนไปก่อน”
“พ่อก็มียัยขวัญอยู่แล้วนี่คะ แต่ระหว่างที่พิมพ์ไม่อยู่ พ่อห้ามให้มันมาแย่งตำแหน่งพิมพ์เด็ดขาด” พิมพ์พลอยอดไม่ได้ที่จะกำชับกับบิดาอีกครั้ง
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก รีบขึ้นไปเตรียมตัวเถอะ ไปเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี”
“งั้นก็บินคืนนี้เลยละกัน ไปเถอะ เดี๋ยวแม่ไปช่วยเก็บกระเป๋า” นุชรีขันอาสา รีบพาลูกสาวกลับขึ้นไปบนห้องเพื่อเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าหนีไปซ่อนตัวที่ต่างประเทศ
“นี่แหละนะ ที่เขาว่าพ่อแม่รังแกฉัน เข้าข้างลูกในทางที่ผิด” บุปผากระซิบกระซาบกับคนรับใช้ภายในห้องครัว ซึ่งเพลงขวัญเองก็ยังอยู่ร่วมวงสนทนาด้วย
“คนมีเงินก็อย่างนี้แหละป้า” ทับทิม สาวใช้วัยสามสิบกระซิบตอบพลางชะเง้อมองออกไปข้างนอกเพราะกลัวว่าเจ้านายจะผ่านมาได้ยินเข้า "ลองเป็นพวกฉันดูสิ ไม่มีเงินก็ต้องติดคุกแน่ ๆ "
“นั่นน่ะสิ เพิ่งจะบินกลับมาเมื่อวานก็ก่อเรื่องซะแล้ว คุณภูริตก็ให้ท้ายซะเหลือเกิน ชีวิตคนทั้งคน”
“จะทำไงได้ล่ะป้าก็ลูกสาวคนเดียวนี่นา” ทับทิมแบะปากมองบนด้วยความไม่ชอบใจทำให้บุปผารีบสวนกลับทันควัน
“ใครบอก อย่าลืมสิว่าคุณภูริตยังมีลูกสาวอีกคน”
“ถึงจะเป็นสายเลือดแท้ ๆ แต่บอกใครไม่ได้มันจะไปต่างกันตรงไหนล่ะป้า”
“แกก็พูดตรงไปนังทับทิม” คนสูงวัยกว่ารีบยกไม้ยกมือห้ามเพราะกลัวว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะไปกระทบกระเทือนจิตใจของเพลงขวัญ
“ตายแล้ว ฉันลืมไปเลยว่าขวัญอยู่ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ทับทิม ที่พี่พูดมันก็ถูก ยังไงหนูไม่เคยอยู่ในหัวใจของพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้หนูชินแล้วล่ะค่ะ” คนถูกพูดถึงยิ้มตอบจาง ๆ อย่างน้อยตอนนี้พิมพ์พลอยก็กำลังจะจากไปอีกครั้ง นั่นก็หมายความว่าเธอเองก็จะไม่ต้องอยู่เป็นที่รองมือรองเท้าของพี่สาวเช่นกัน
งานศพของขวัญชีวา ดาราสาวถูกจัดขึ้นในวันถัดมาท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของคนในและนอกวงการที่เดินทางมาร่วมงานกันไม่ขาดสาย
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คงจะเป็นเรื่องคดีที่เหมือนจะยังไม่คืบหน้าทั้งที่มีหลักฐานเป็นภาพกล้องวงจรปิด ถึงจะมองไม่เห็นคนขับแต่ป้ายทะเบียนรถเด่นชัดขนาดนั้นแต่ก็ยังจับตัวไม่ได้สักที
ราเมศร์ นักธุรกิจหนุ่มวัยสามสิบเจ็ดปียังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจอย่างหนักเพราะเขาต้องเสียคนรักไปพร้อมกับลูกในท้องทั้งที่กำลังจะวางแผนแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันอีกไม่นาน
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไม...” ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น เขาพยายามถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น มันผิดที่เขาโทรหาเธอ หรือผิดที่คนขับ ที่ตั้งใจถอยรถชนร่างขวัญชีวาซ้ำจนเธอเสียชีวิตคาที่
ดวงตาคมกริบจ้องมองโลงศพที่มีรูปหญิงสาววางไว้ด้านหน้าพร้อมกับดอกไม้สีชมพูแบบที่เธอชอบ นักข่าวหลายสำนักต่างมาเฝ้ารอสัมภาษณ์ทันทีที่รู้ว่าเขาคือแฟนที่ขวัญชีวากำลังซุ่มปลูกต้นรัก แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาทำใจไม่ได้จึงไม่พร้อมจะให้สัมภาษณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังจากกลับมาถึงบ้านหลังใหญ่ที่เขาตั้งใจซื้อไว้เป็นเรือนหอ ราเมศร์ก็เอาแต่ดื่มหนักจนเมาเพื่อจะข่มตาให้หลับลงได้ในตอนเช้าของทุก ๆ วัน
จนถึงวันที่ต้องเผาร่างของขวัญชีวาเพื่อจะส่งดวงวิญญาณเธอขึ้นสู่สรวงสวรรค์ คดีที่มอบหมายไว้ให้กับตำรวจก็เหมือนจะยังไม่มีความคืบหน้าแม้จะส่งคนไปเฝ้าติดตามแต่ก็ยังไม่ได้รับข่าวใด ๆ นอกจากเงินเยียวยาแค่สิบล้านบาทเท่านั้น
ถึงตอนนี้เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าคู่กรณีคงจะใช้เงินเปลี่ยนดำให้เป็นขาว ทุกอย่างมันจึงล่องลอยหายไปในสายลมในเวลาอันสั้นแบบนี้
“ไม่ต้องห่วงนะขวัญ ในเมื่อกฎหมายจัดการเอาผิดพวกมันไม่ได้ พี่นี่แหละจะเป็นคนพิพากษาพวกมันเอง” ชายหนุ่มขบกรามแน่น เขาให้คำมั่นสัญญาพร้อมกับวางดอกไม้สีชมพูไว้หน้าเจดีย์ที่เก็บกระดูก ปาดเช็ดน้ำหยดใสที่คลอคลึงอยู่ตรงกระบอกตาก่อนจะหมุนตัวกลับไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า
“ได้เรื่องยังไงบ้าง” เมื่อรถแล่นออกมาจากวัด มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ เขาก็เอ่ยถาม ณภัทรคนขับซึ่งพ่วงตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวถึงเรื่องที่ให้ไปตามสืบทันทีด้วยความร้อนใจ
“รถคันที่เกิดเหตุเป็นของคุณภูริต โยธาพิพัฒน์ แต่คืนนั้นคนขับเป็นผู้หญิงน่าจะเป็นลูกสาวครับ”
“ลูกสาวงั้นเหรอ...ชื่ออะไร” ชายหนุ่มถามต่อ เพราะถ้ารู้ตัวคนทำผิด เขาก็จะจัดการได้ถูกคนเร็วยิ่งขึ้น
“เท่าที่ผมสืบทราบมา เธอชื่อพิมพ์พลอย โยธาพิพัฒน์ครับ เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณภูริต”
“ถึงว่า ทำไมถึงได้ออกโรงปกป้องซะขนาดนั้น” ราเมศร์กำฝ่ามือเข้าหากันแน่น เห็นดวงตาวาวโรจน์ของผู้เป็นเจ้านายผ่านเงาสะท้อนจากมองกระจกหลัง ณภัทรก็อดเอ่ยถามเสียไม่ได้
“คุณราเมศร์จะทำยังไงต่อครับ”
“ฉันก็จะคิดบัญชีกับพวกมันทั้งครอบครัวไงล่ะ ฉันจะทำให้พวกมันเจ็บกว่าฉันและครอบครัวของขวัญเป็นร้อยเท่าพันเท่า ให้มันรู้เสียบ้าง ว่าความสูญเสียมันเป็นยังไง”
เขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเองและดวงวิญญาณของขวัญชีวา ดวงตาวาวโรจน์ที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและความเคียดแค้นจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เฝ้ารอวันที่ครอบครัวของภูริตจะได้รับบทเรียนอย่างสาสม