บทนำ (2)

2461 คำ
เสียงรถยนต์ของบ้านแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ทำให้บุปผาและเพลงขวัญรีบนำอาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ออกไปตั้งโต๊ะ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ภูริต นุชรีและพิมพ์พลอยก็เข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอเหลือบมาเห็นน้องสาวต่างแม่ รอยยิ้มนั้นก็พลันหายไปในพริบตา “ยัยขวัญ นี่แกยังอยู่อีกเหรอ คิดว่าเรียนจบแล้วพ่อจะไล่มันออกจากบ้านเสียอีก” “จะไล่ไปได้ยังไงล่ะ มันต้องอยู่ทำงานให้คุ้มกับเงินที่ส่งเสียเลี้ยงดูก่อนสิ” ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบพลางประคองโอบกอดลูกสาวไว้ “นี่แสดงว่าจะให้มันลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านต่อไปเหรอคะ พิมพ์เกลียดมันค่ะคุณแม่” “ไม่เอาน่าพิมพ์ ถึงยังไงขวัญก็เป็นน้องเรานะ” ภูริตเข้ามาสมทบในภายหลังเอ่ยขึ้น “ไม่ค่ะพ่อ พิมพ์บอกแล้วไงว่าไม่มีทางยอมรับมันเป็นน้อง แล้วก็ห้ามพ่อยอมรับมันเป็นลูกด้วย แค่เราสองคนแม่ลูกยอมให้มันซุกหัวอยู่ในบ้านก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว พิมพ์ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคุณพ่อถึงส่งมันเรียนจนจบปริญญาตรีด้วย” “ก็เพราะว่าพ่ออยากจะให้ขวัญเขามาช่วยงานที่บริษัทเราไง” ผู้เป็นพ่ออธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะปรายตามองเพียงขวัญ ลูกสาวอีกคน “ตำแหน่งอะไรคะ อย่าลืมนะว่าตำแหน่งประธานบริษัทต้องเป็นของพิมพ์” “พ่อรู้แล้วน่า อุตส่าห์ส่งไปเรียนจนจบโทจะไม่ให้นั่งตำแหน่งประธานได้ยังไงล่ะ” ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะเล็กของพิมพ์พลอยด้วยความรักก่อนจะเชื้อเชิญให้ทานอาหารพร้อมกันทั้งสามคน เป็นภาพครอบครัวที่ดูแล้วทำให้เพลงขวัญแอบจุกอยู่ลึกๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาผู้เป็นพ่อไม่เคยแสดงความรักกับเธอเลยสักครั้ง “เอ่อ...พ่อคะ คืนนี้พิมพ์ขอยืมรถหน่อยนะคะ” ในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่นั้น พิมพ์พลอยก็เอ่ยขึ้นพลางหันไปสะกิดภูริตด้วยสีหน้าออดอ้อน “จะออกไปไหนเหรอ เพิ่งจะบินมาถึง ไม่พักผ่อนก่อนหรือไง” “พิมพ์นอนในเครื่องมาจนหลับไม่ลงแล้วล่ะค่ะ พอดีว่าเพื่อนเก่าที่มหา’ลัยเขาอยากเจอพิมพ์น่ะค่ะ เลยว่าจะออกสังสรรค์กันนิดหน่อย” “พ่อว่าเราพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่าไหม พรุ่งนี้พ่อจะพาเรากับขวัญเข้าไปที่บริษัทด้วย” “จะให้เริ่มงานเลยเหรอคะ ให้พิมพ์พักให้หายเหนื่อยก่อนไม่ได้เหรอ” หญิงสาวกะพริบตาถี่ทำท่าออดอ้อนจนภูริตนึกขำ “จะพักผ่อนแต่ออกไปสังสรรค์นี่อ่านะ” “ให้ลูกออกไปเถอะคุณ โตขนาดนี้แล้ว จะหวงอะไรขนาดนั้นคะ เดี๋ยวลูกก็หาสามีไม่ได้พอดี” นุชรีออกโรงเข้าข้าง ทำให้อีกฝ่ายต้องยอมใจอ่อนไปด้วย “อืมก็ได้ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะพาขวัญเขาไปก่อนละกัน” ครั้งนี้ภูริตหันไปมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง ถึงจะเป็นลูกที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ลงว่าแอบภูมิใจในตัวเพลงขวัญอยู่ไม่น้อย นอกจากจะขยันแล้ว ยังตั้งใจเรียนจนได้เกรดนิยมอีกด้วย ถ้าไม่ติดที่นุชรี เขาก็อาจจะส่งเธอไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยอีกคน “ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อ” พิมพ์พลอยคลี่ยิ้มอย่างพอใจ หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงเสร็จ เธอก็ขอตัวขึ้นไปนอนพักโดยที่เพลงขวัญยังต้องตามขึ้นไปช่วยจัดเสื้อผ้าจากกระเป๋าเดินทางด้วย “ระวังเสื้อผ้าฉันด้วยล่ะ ได้ข่าวว่าทำเสื้อผ้าคุณแม่พังไปไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวเน้นย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นตัวเล็กกำลังจะเปิดกระเป๋าเดินทางออก “ได้ค่ะ” “ได้ยินคุณพ่อบอกจะพาแกเข้าบริษัทด้วยนี่ แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครต่อใครเขาล่ะว่าแกเป็นลูกอีกคนของคุณพ่อ” พิมพ์พลอยปรายตามองน้องสาวต่างแม่ด้วยสีหน้าที่แสนจะรังเกียจ “ค่ะ พี่พิมพ์...” “อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่ใช่พี่แก ลืมไปแล้วหรือไงว่าแกอยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้” อีกฝ่ายเน้นย้ำคำว่าคนใช้ทำให้เพลงขวัญต้องก้มหน้ายอมรับแต่ก็แอบเจ็บอยู่ในใจลึก ๆ ที่เธอไม่สามารถเลือกเกิดได้ พอจัดเสื้อผ้าเสร็จ เธอจึงรีบลงไปช่วยบุปผาทำงานบ้านต่อที่ชั้นล่างทันที เสียงฟ้าร้องสลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะจนเกิดแสงสว่างวาบทำให้เพลงขวัญรีบเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่ตากไว้ตั้งแต่ตอนสายเข้าไปในห้องที่อยู่ทางหลังบ้านก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะสาดเทลงมาในตอนค่ำพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำของพิมพ์พลอยที่กำลังจะออกไปข้างนอกตามที่นัดกับเพื่อนเอาไว้ “ฝนบ้า จะมาตกอะไรตอนนี้เนี่ย” “อ้าว พิมพ์ จะไปแล้วเหรอลูก ฝนยังตกอยู่เลย” นุชรีเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวลงมาจากชั้นบน “ขืนรอให้ฝนหยุด คงไม่ได้ไปหรอกค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ” พิมพ์พลอยตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะออกขึ้นรถที่ให้คนขับรถประจำบ้านขับมาจอดไว้ให้แล้วขับออกไปด้วยความเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานบันเทิงใจกลางกรุง “คัท! โอเค เลิกกองได้” เสียงผู้กำกับดังขึ้นหลังจากที่ถ่ายทำฉากสุดท้ายของวันเสร็จ ทำให้โฉมสุดา ผู้จัดการสาวรีบนำผ้าห่มไปคลุมไหล่เปลือยเปล่าของนักแสดงในสังกัดที่สวมชุดเข้าฉากเป็นชุดไทยกระโจมอกไว้ “เก่งมากเลยค่ะคุณน้อง” “ขวัญไม่สบายใจเลยค่ะพี่โฉม ตอนพี่เห็นในกล้อง ท้องขวัญไม่ได้ใหญ่มากใช่ไหมคะ” ขวัญชีวา นางเอกดาวรุ่งของช่องหันมากระซิบถามในขณะที่ปลีกตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า “ท้องแค่สองเดือน มันมองไม่เห็นหรอกจ่ะ ยิ่งท้องสาวท้องแรกยิ่งมองไม่ออกเลย” “กว่าจะถ่ายเสร็จ ตอนนั้นท้องของขวัญก็ต้องโตจนผิดสังเกตแล้วแน่ ๆ ” หญิงสาวก้มมองเรือนร่างของตัวเองด้วยสีหน้าตึงเครียดทำให้โฉมสุดาต้องปลอบใจอีกครั้ง “อีกแค่เดือนกว่า ๆ ก็เสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นก็น่าจะสามเดือน ขวัญตัวเล็กแบบนี้ยังไงก็มองไม่ออกหรอก” “ขวัญกังวลไปหมดเลยค่ะพี่ กลัวว่าถ้าแถลงข่าวออกไปว่าขวัญท้องแล้วแฟนคลับเขารับไม่ได้ ขวัญคง...” “อย่าคิดมากสิ แฟนคลับสมัยนี้เขาเปิดกว้าง เสพแต่ผลงานกัน ไม่ใช่ยุคก่อน ๆ กันแล้วนะ” อีกฝ่ายยังคงให้คำปลอบใจในขณะที่ช่วยถอดเครื่องประดับออกให้จนเหลือแค่เสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยน “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก” “ไม่เป็นไรค่ะพี่โฉม ขวัญว่าขับรถกลับเองน่ะค่ะ จะไปรับเมศร์ด้วย เห็นว่ามาไฟลต์ดึก” “อ้าวนี่คุณราเมศร์มากรุงเทพฯ เหรอ” โฉมสุดาดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “ค่ะ เรามีนัดไปฝากท้องด้วยกัน รอให้ทุกอย่างลงตัวก็จะจัดงานแต่งเลยค่ะ” “โอเค พี่คงไม่ต้องไปเป็นก้างขวางคอหรอกใช่ไหม งั้นพี่กลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ตอนบ่าย อย่าหวานจนลืมนัดล่ะ” “ค่ะพี่ ขวัญไม่ลืมหรอก” ขวัญชีวารับปาก พออีกฝ่ายออกไปเธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกลาทีมงานเพื่อเดินทางไปรับราเมศร์ แฟนหนุ่มที่คบหากันมาสามปีแต่ยังไม่ได้เปิดตัวออกสื่ออย่างเป็นทางการ คิดเอาไว้ว่าถ้าถ่ายละครเสร็จก็จะจัดแถลงข่าวเคลียร์ทุกประเด็นพร้อมกันทีเดียวทั้งเรื่องท้องและเรื่องแฟน ซ่า... ยังไม่ทันได้สตาร์ตรถ อยู่ ๆ ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดเอาไว้ว่าจะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยไป แต่พอเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว เธอจึงต้องขับรถฝ่าสายฝนมุ่งหน้าไปยังสนามบินทันที “ป่านนี้พี่เมศร์คงจะรอแย่แล้ว” ขวัญชีวาบ่นพึมพำ เมื่อขับรถออกมาถึงถนนใหญ่เธอก็รีบต่อสายหาราเมศร์ด้วยกลัวว่าเขาจะรอนาน (ว่าไงครับผม) “พี่เมศร์มาถึงนานหรือยังคะ” (เครื่องเพิ่งแลนด์ดิ้งน่ะครับ) อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี “แย่จัง ขวัญขอโทษด้วยนะคะ เลิกกองซะดึกเลย” (ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวพี่ให้คนมารับดีกว่า เจอกันที่บ้านเลยนะ หนูจะได้ไม่ต้องขับรถไกลด้วย) “เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พี่เมศร์หิวไหมคะ ขวัญจะได้แวะซื้ออะไรไปกินกัน” เธอถามต่อ สายตายังจับจ้องไปยังท้องถนนเบื้องหน้า เป็นเพราะฝนที่ตกลงมาค่อนข้างหนาจึงทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่มองอะไรแทบไม่เห็นเลยสักนิด (พี่ว่าหนูน่าจะหิวมากกว่านะ ไม่ใช่พี่) “ไม่ต้องมาแซวเลยค่ะ ก็ขวัญท้องอยู่นี่คะ มันก็ต้องหิวบ่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” (งั้นหนูอยากกินอะไรก็ซื้อมาเถอะค่ะ พี่กินอะไรก็ได้) “ได้ค่ะ...งั้นเดี๋ยวจะซื้อข้าวหน้าเป็ดเจ้าโปรดของพี่เมศร์ไปให้นะคะ” (ค่ะ ขับรถดี ๆ นะ) ราเมศร์เน้นย้ำด้วยความเป็นห่วงเพราะขวัญชีวาไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ยังอุ้มท้องลูกในท้องของเขาด้วย “ค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะวางสายไปแล้วเปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวสู่ถนนอีกสายเพื่อแวะซื้อข้าวหน้าเป็ดที่รับปากเอาไว้ พอมาถึง ฝนก็เริ่มขาดเม็ดพอดีแต่คนค่อนข้างเยอะ เธอจึงต้องวนหาที่จอดรถค่อนข้างไกลจากร้านแล้วอาศัยเดินข้ามถนนเอา ครืด... เสียงมือถือดังขึ้นอีกครั้งในตอนที่ขวัญชีวากำลังจะเปิดประตูรถออกไป เธอมองหาร้านขายอาหารโต้รุ่งข้างทางที่จำได้ว่าเคยมากับราเมศร์ครู่หนึ่งแล้วรีบสวมมาสก์ปิดบังใบหน้าไว้เพราะไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นก่อนจะกดรับสายเขาที่โทรเข้ามา “ค่ะพี่เมศร์” (พี่มาถึงบ้านแล้วนะ หนูอยู่ไหนแล้วคะ) ปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ขวัญมาซื้อข้าวน่ะค่ะ พอดีว่าคนเยอะเลยหาที่จอดนานหน่อย” (สั่งเอาก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากเลย) “ไม่ทันแล้วค่ะ ขวัญมาถึงหน้าร้านแล้วเนี่ย” เธอว่าก่อนจะวิ่งข้ามถนนไปอีกฟาก พอสั่งข้าวเสร็จก็กลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทั้งที่ยังไม่วางสาย (กลับมาได้แล้ว คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย) “กำลังจะกลับแล้วค่ะ กรี๊ด!” โครม! ในขณะที่กำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลายอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีรถฝ่าไฟแดงจากทางข้างหน้าขับมาด้วยความเร็วเพราะคนขับกำลังเมาได้ที่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนข้ามถนน พอเห็นว่าไฟเขียวกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็รีบขับฝ่ามาจนชนเข้ากับร่างของขวัญชีวาเข้าอย่างจัง สมาร์ตโฟนที่เธอถืออยู่กระเด็นตกลงพื้นจนหน้าจอแตกได้ยินเสียงราเมศร์แว่วมาจากปลายสายแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบกลับ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ท้อง รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมมาตลอดกำลังจะจากไป (ขวัญ เกิดอะไรขึ้นขวัญ) “ฮือ...พี่เมศร์” ดวงตาคู่สวยพร่าเลือน เพราะมีเลือดมากมายไหลปรกลงมา มือเรียวพยายามเอื้อมไปหยิบมือถือเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากปลายสายก่อนที่ดวงตาของเธอจะเหลือบไปเห็นคนขับชะโงกหน้าออกมาผ่านกระจกรถ “ตายแล้ว นี่ฉันขับรถชนคนเหรอเนี่ย” พิมพ์พลอย ซึ่งอยู่ในสภาพที่เมาได้ที่เพราะเพิ่งกลับออกมาจากผับกำลังจะกลับบ้านอุทานลั่นด้วยความตกใจจนแทบจะสร่างเมา "ตายหรือเปล่าล่ะนั่น" (ขวัญ ตอบพี่หน่อยสิ) เสียงราเมศร์ตะโกนถามมาจากปลายสายด้วยความร้อนใจ แต่ขวัญชีวากลับไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัวไปหยิบมันขึ้นมา “ฮือ...พี่เมศร์ ขวัญเจ็บ...” “เอายังไงดีวะเนี่ย” คนขับครุ่นคิด เหลือบไปเห็นคนกำลังข้ามถนนมาดูยังต้นเสียงก็รู้สึกกลัว “ช่วยไม่ได้ เธอข้ามถนนไม่ดูเองนะ” พิมพ์พลอยโบ้ยความผิดให้ขวัญชีวาซึ่งราเมศร์ที่อยู่ในสายก็ยังได้ยิน ถึงจะฟังไม่ชัดแต่ก็พอจะจับใจความได้ (ขวัญ ขวัญถูกรถชนเหรอขวัญ เป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอบพี่หน่อยสิ) “มีคนถูกรถชนมาช่วยหน่อยเร็ว” เสียงพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์หันไปตะโกนบอกคนอื่น ๆ ให้มาช่วยทำให้คนขับยิ่งกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข “ทำยังไงดีเนี่ย” พิมพ์พลอยเหลือบมองร่างบางที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนในสภาพที่เลือดไหลนองอาบกายก่อนจะตัดสินใจถอยรถเพื่อจะขับหนี แต่เป็นเพราะว่าสติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้ไม่ทันระวังขับรถพุ่งทับร่างนั้นซ้ำอีกครั้ง “โอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย เพิ่งจะกลับมาก็ซวยตั้งแต่วันแรกเลย” หญิงสาวบ่นพึมพำอย่างคนหัวเสีย รีบถอยรถอีกครั้งแล้วหมุนพวงมาลัยขับออกไป ทำให้คนที่วิ่งจะมาช่วยรีบขวางรถเอาไว้ “ชนแล้วจะหนีเหรอ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ” “จอดให้โง่น่ะสิ” คนขับรีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกระจกหลัง เห็นร่างของขวัญชีวายังนอนอาบกองเลือดอยู่ที่เดิม “ถือซะว่าถึงคราวของเธอก็แล้วกันนะ ช่วยไม่ได้ อยากข้ามถนนไม่ดูเอง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม