หลังจากร่ำลากันเพียงไม่นานเพลงขวัญก็ต้องหิ้วกระเป๋าออกไปจากบ้านหลังใหญ่ เธอตัดสินใจนั่งรถไปหากอหญ้า เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่อาศัยเช่าห้องอยู่เพียงลำพังที่หอพักแห่งหนึ่ง
เมื่อมาถึง หญิงสาวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟังทำให้กอหญ้าเองก็ถึงกับหน้าเหวอ ไม่รู้ว่าจะตกใจอะไรก่อนดี
“เดี๋ยวนะ นี่สรุปแกไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าใครเป็นพ่อเด็ก” อีกฝ่ายเอ่ยถามทันทีที่เพลงขวัญเล่าจบ
“ตอนแรก ฉันก็คิดว่าเป็นคุณราเมศร์นั่นแหละ เพราะคืนนั้นเขาเป็นคนช่วยฉันเอาไว้ แต่พอมาเจอเขาอีกครั้ง เห็นเขาทำเหมือนเรื่องคืนนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ฉันเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าใช่เขาหรือเปล่า” เธอตอบด้วยสีหน้าที่ดูเหม่อลอย “บางทีเขาอาจจะพาฉันไปส่งที่โรงแรม แล้วฉันก็ถูกผู้ชายอีกคนหิ้วขึ้นห้องไปเพราะฉันจำอะไรไม่ได้เลย ตอนตื่นมาฉันก็เห็นแค่ด้านหลัง เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“เป็นเพราะยัยพิมพ์บ้านั่นคนเดียวเลย” กอหญ้ากำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจไปอีกคนที่รู้ว่าเพื่อนถูกรังแก “แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ แกจะเลี้ยงไหวเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้มันมืดไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย”
“ไปทำแท้งไหม เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”
“จะบ้าเหรอ ชีวิตคนทั้งคนเลยนะ อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้อะไรด้วยเลย ฉันฆ่าเขาไม่ลงหรอก” เพลงขวัญตอบกลับในทันที เธอไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้เลยสักนิด
“แล้วแกจะอยู่ให้คนเขาตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อแบบนี้เหรอ”
“ถูกไล่ออกมาจากบ้านขนาดนี้ ฉันไม่สนใจใครอีกแล้วล่ะ แกจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอมาอยู่ด้วยสักพักน่ะ”
“จะอยู่ตลอดไปฉันก็ไม่ว่าหรอก ถึงยังไงเราก็เพื่อนกัน ฉันเองก็อยู่คนเดียว ในเมื่อแกยืนยันว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ ฉันก็จะช่วยแกเลี้ยงด้วยอีกคนก็แล้วกัน” กอหญ้าจับมือบางไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจ “เลี้ยงเด็กคนนึงมันจะไปยากแค่ไหนกันเนอะ”
“ขอบใจมากนะหญ้า ไม่มีแก...ฉันก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วจริง ๆ ” คนตัวเล็กยิ้มตอบทั้งน้ำตา ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเธอก็มีแค่กอหญ้าเป็นเพื่อนสนิทแค่คนเดียวเท่านั้น แต่พอเรียนจบไปด้วยภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่มีเวลาได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรหรอก ห้องตั้งกว้างขวาง อยู่หลายคนก็อบอุ่นดีเหมือนกัน”
“ขอเวลาตั้งหลักอีกสักพัก เดี๋ยวฉันจะออกไปหางานทำ”
“ที่ไหนเขาจะรับคนท้องกันล่ะ” กอหญ้าว่าพลางลุกไปจัดที่นอนให้เพื่อน “ถ้าแกทำไหว ฉันจะหิ้วงานที่บริษัทมาให้สนใจหรือเปล่า”
“งานอะไรเหรอ”
“งานแปลเอกสารน่ะ ช่วงนี้ลูกค้าที่บริษัทเป็นต่างชาติเสียส่วนใหญ่ แกสนใจไหมล่ะ เงินดีด้วยนะจะบอกให้”
“สนใจสิ จะงานอะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ ขอบใจแกจริง ๆ นะหญ้า” เพลงขวัญยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง อย่างน้อยการแยกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียวมันก็ไม่ทำให้เธออดตาย
“แกจะขอบใจอีกกี่ครั้งเนี่ย มา ๆ ดึกแล้ว มานอนได้แล้ว”
“นอนก่อนเลย ฉันขอออกไปตากลมหน้าระเบียงแป๊บนึงนะ รู้สึกอยากจะอาเจียนอีกแล้ว”
“แพ้หนักเลยล่ะสิ ออกไปเถอะ แต่แค่ตากลมนะ อย่าคิดสั้นล่ะ ห้องฉันอยู่ชั้นสอง กระโดดลงไปก็ไม่ตายหรอก” กอหญ้าเอ่ยแซวก่อนจะทิ้งตัวลงนอน เพลงขวัญจึงหอบร่างกายและหัวใจที่แตกสลายออกไปนั่งตากลมที่หน้าระเบียง มือเรียวลูบไล้บนหน้าท้องที่ยังแบนราบด้วยความสับสน
“ถึงแม้ว่าแม่จะยังไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูก แต่ยังไงหนูก็เป็นลูกแม่ เราคงมีบุญต่อกัน หนูถึงได้มาเกิดในท้องของแม่...แม่สัญญาว่าแม่จะเลี้ยงดูหนูให้ดีที่สุด จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ แบบที่หนูจะไม่รู้สึกว่าขาดอะไรเลย”
เธอให้สัญญากับสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ในท้อง ดวงตาคู่เศร้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังมืดมิดเหมือนชีวิตเธอในตอนนี้ก่อนที่น้ำตาหยดใสจะไหลออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ข่าวลือเรื่องที่เพลงขวัญตัดสินใจลาออกจากงานแพร่สะพัดไปทั้งโรงแรมแต่ก็ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงเพราะภูริตสั่งไม่ให้พิมพ์พลอยประกาศออกไปด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของครอบครัวโยธาพิพัฒน์
“ทำไมขวัญถึงลาออกไปแบบนั้นกันนะ เห็นแผนกบุคคลบอกว่าไม่ได้เข้ามาเขียนใบลาออกด้วย อยู่ ๆ ก็หายไปเลย” ชุติมาบ่นอุบเพราะพนักงานในแผนกลดลง ภาระงานก็ต้องเพิ่มมากขึ้น แต่คนที่เหมือนจะเสียใจกว่าใครก็คงจะเป็นวาโยที่แอบชอบเพลงขวัญตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน
“นั่นน่ะสิครับ นึกจะไปก็ไป ผมยังไม่ได้สารภาพเลยว่าชอบเธอ”
“อะไรนะ นี่พี่โยชอบยัยนั่นเหรอ” ณัชชาได้ยินก็ถึงกลับอ้าปากเหวอ “ถึงว่าเวลาทำงานชอบเสนอช่วยยัยนั่นบ่อย ๆ ”
“ก็ขวัญเขาน่ารักนี่ ไม่เหมือนใครบางคน ปากจัดยิ่งกว่าอะไร”
“พี่โยว่าใครคะ” คนถูกพูดถึงร้อนตัวขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันที่วาโยจะได้ตอบโต้ ร่างบางระหงของพิมพ์พลอยก็เดินออกมาจากลิฟต์โดยสารทำให้บทสนทนาสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้นเพราะไม่มีใครอยากโดนตำหนิว่าจับกลุ่มคุยกันในเวลาทำงาน
หญิงสาวก้มลงจัดเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้งแล้วจึงประคองตัวบนรองเท้าส้นสูงน่าหวาดเสียวเพื่อออกไปต้อนรับผู้มาเยือนที่เหมือนจะเข้าออกที่นี่บ่อยมากขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณราเมศร์ เพิ่งจะเช็กเอาท์ออกไปไม่กี่วัน วันนี้ติดใจอยากจะมาเข้าพักอีกแล้วเหรอคะ”
“เปล่าหรอกครับ วันนี้คุณภูริตเขานัดผมมาทานอาหารด้วยกันที่นี่น่ะครับ” คนมาใหม่ตอบพลางกระชับถุงกระดาษที่หอบหิ้วมา แล้วปรายตามองไปรอบกายเหมือนกำลังหาใครบางคน
“จริง ๆ คุณเมศร์ไม่น่าลำบากเลยนะคะ ตอนนี้คุณก็ถือหุ้นบริษัทเกือบครึ่งแล้ว คราวหลังมาเยี่ยมไม่ต้องหิ้วอะไรมาด้วยหรอกค่ะ พิมพ์เกรงใจ” พิมพ์พลอยคลี่ยิ้มพลางเอื้อมมือไปจะรับของที่อยู่ในมือเขา แต่อีกฝ่ายกลับดึงมันหนีแล้วเอ่ยถามถึงใครอีกคนแทน
“จริง ๆ ผมซื้อมาให้คุณเพลงขวัญน่ะครับ เป็นพวกยาบำรุง ยาหอม เห็นคุณเพลงขวัญเขาไม่ค่อยแข็งแรง จะได้ถือโอกาสขอบคุณที่เขาพาเที่ยวชมรอบโรงแรมวันก่อนด้วย”
“คะ!?” คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกตกใจไม่น้อย ถึงจะเจ็บแค้นอยู่ลึก ๆ ที่ถูกน้องสาวปาดหน้าเค้กไปอีกครั้งแต่เธอก็ต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มต่อไป
“ว่าแต่คุณเพลงขวัญไม่มาทำงานเหรอครับ วันก่อนตอนผมเช็กเอาต์ก็ไม่เจอเขา”
“ขวัญเขาไม่มาทำงานที่นี่แล้วล่ะค่ะ” อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“เธอลาออกไปแล้วค่ะ” พิมพ์พลอยได้ทีจึงรีบใส่ไฟ “จริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูก ขวัญเขาหนีตามผู้ชายไปน่ะค่ะ”
“ตามผู้ชายงั้นเหรอครับ” ราเมศร์ทวนคำด้วยความแปลกใจ ถึงจะรู้จักกันเพียงไม่นานแต่เขาก็มองออกว่าเพลงขวัญค่อนข้างซื่อ แล้วอีกอย่างวาโยเองก็ยังทำงานอยู่ที่นี่แล้วเธอจะหนีตามใครไปอีกล่ะ “ผมคิดว่าแฟนเขาทำงานอยู่ที่นี่ซะอีก”
“คุณเมศร์หมายถึงคนไหนเหรอคะ”
“ก็ผู้ชายที่ทำงานแผนกต้อนรับไงครับ เห็นเขาสนิทกันผมคิดว่าเขาคบกันซะอีก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ พิมพ์เองก็ไม่รู้หรอกว่ายัยขวัญเขาคบกับใคร แล้วอีกอย่างที่เธอหนีไปแบบนั้นเพราะว่ายัยขวัญเธอทะ...”
“คุณราเมศร์สวัสดีครับ” ยังไม่ทันที่พิมพ์พลอยจะบอกว่าเพลงขวัญท้อง ภูริตก็เข้ามาแทรกบทสนทนาเสียก่อน เธอจึงต้องกลืนมันลงไปเพราะบิดาสั่งห้ามไว้ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร “มาถึงนานแล้วเหรอครับ”
“เพิ่งมาถึงไม่นานนี่เองครับ”
“ผมจองโต๊ะไว้แล้ว งั้นเชิญที่ร้านอาหารดีกว่า" ภูริตผายมือไปทางร้านอาหารของโรงแรมทำให้พิมพ์พลอยต้องตามไปด้วย แอบขัดใจนิด ๆ ที่ถูกพ่อขัดจังหวะ “เชิญครับ ผมสั่งอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ไว้แล้ว คุณราเมศร์อยากทานอะไรก็สั่งเพิ่มได้เลยนะครับ”
“แค่นี้ก็เยอะแล้วล่ะครับ หรือว่านายอยากจะสั่งอะไรเพิ่มไหม” เขาตอบคำถามคนสูงวัยกว่าแล้วหันไปถามณภัทรต่อ
“ไม่ล่ะครับ”
“งั้นทานกันเลยดีกว่านะครับ กำลังร้อน ๆ เลย” ภูริตว่าพลางเอาใจอีกฝ่ายด้วยการตักอาหารใส่จานเขา พิมพ์พลอยจึงเริ่มชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย เอ่ยถามถึงเรื่องที่เธออยากรู้โดยเฉพาะสิ่งที่เพลงขวัญบอกเธอไว้เมื่อหลายวันก่อน
“คุณราเมศร์ยังดูเด็กอยู่เลยนะคะเนี่ย ไม่บอกไม่รู้เลยว่าสามสิบเจ็ดแล้ว”
“คุณพิมพ์ชมผมแบบนี้ผมก็เขินแย่สิครับ” ราเมศร์คลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์มากจนอีกฝ่ายแทบไม่อยากจะละสายตาและปล่อยให้เขาหลุดมือไปไหน “คุณพิมพ์ก็สวยไม่แพ้กันหรอกครับ”
“แหม...คุณก็ปากหวานเหมือนกันนะคะ” พิมพ์พลอยเหนียมอายก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ “แล้วนี่...อายุขนาดนี้แล้ว คุณเมศร์ยังไม่เจอใครที่ถูกใจบ้างเหรอคะ”
“ยังหรอกครับ พอดีผมยังลบคนเก่าออกจากใจไม่ได้เลย”
“งั้นก็แสดงว่าข่าวลือที่พิมพ์ได้ยินมาก็จริงน่ะสิคะ”
“ข่าวลืออะไรยัยพิมพ์” ภูริตหันมาถามลูกสาว เธอจึงตอบแบบอ้อม ๆ เพราะไม่อยากจะเอ่ยถึงเพลงขวัญให้ผู้เป็นพ่อได้ยิน
“พิมพ์ได้ยินมาว่าคุณเมศร์เขามีภรรยาอยู่แล้วน่ะค่ะ แถมยังมีลูกแล้วด้วย”
“ใช่ครับ ผมมีภรรยาอยู่แล้ว เรากำลังจะแต่งงานกันปลายปีนี้แหละครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา ทำให้พิมพ์พลอยหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด