สองเดือนผ่านไป นับตั้งแต่วันที่กลับจากฝรั่งเศส เพลงขวัญก็ยังคงทำงานที่โรงแรมต่อ ส่วนพิมพ์พลอยก็เข้ามารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการหลังจากที่คดีเงียบหายไป
“นี่ยัยพิมพ์ยังไม่ลงมาอีกเหรอ” ภูริตเอ่ยถามภรรยา เมื่อเขาแต่งตัวเสร็จกำลังจะออกไปทำงานแต่ยังไม่เห็นพิมพ์พลอย
“ยังไม่ลงมาเลยค่ะ”
“วันนี้หนูไม่ไปนะคะพ่อ” เสียงของคนที่เขากำลังพูดถึงดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวที่ลงมาจากชั้นบนของบ้านในสภาพที่ยังงัวเงีย
“ทำไมล่ะ ตั้งแต่เริ่มทำงานมาแกลางานไปจะสิบครั้งแล้วนะ”
“หนูไม่ค่อยสบายน่ะพ่อ รู้สึกปวดหัวยังไงก็ไม่รู้” หญิงสาวให้เหตุผลแล้วเดินมาทรุดกายนั่งเคียงข้างนุชรีออดอ้อนผู้เป็นแม่ให้ช่วยเหมือนเช่นทุกครั้ง
“คุณจะมาบังคับลูกอะไรขนาดนั้นคะ เราเป็นเจ้าของเราก็ปล่อยให้พวกลูกน้องทำไปสิ ไม่เห็นต้องเข้าไปทำงานทุกวันเลย”
“แต่วันนี้พ่อมีแขกนะยัยพิมพ์ แกจะเข้ามารับช่วงต่อยังไงแกก็ต้องรู้จักแขกของพ่อไว้” ภูริตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในความเกียจคร้านของลูกสาว
“ใครเหรอคะพ่อ”
“คุณราเมศร์ไง อ้อ...พ่อลืมไปว่าแกยังไม่เจอเขา” คนสูงวัยกว่าเงียบไปชั่วครู่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่เจอกับราเมศร์ในงานคืนนั้นคือเพลงขวัญไม่ใช่พิมพ์พลอย
“พ่อก็จัดการไปสิคะ แขกของพ่อมีแต่คนแก่ ๆ หนูคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” เป็นอีกครั้งที่เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
ในเมื่อพูดยังไงพิมพ์พลอยก็ไม่ยอมเข้าบริษัท เขาจึงต้องขับรถออกไปแต่เพียงลำพังและในระหว่างนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นเพลงขวัญกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ข้างถนนเพื่อจะออกไปขึ้นรถไปทำงาน
“อะไรกัน ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่ถึงโรงแรมอีก” สายตาคมกริบจ้องมองลูกสาวอีกคนด้วยความแปลกใจก่อนที่เขาจะสั่งให้คนขับจอดรถหยุดรับเธอขึ้นมาด้วย
“พ่อ...เอ่อ...คุณท่าน”
“ขึ้นรถสิ สายแล้วเดี๋ยวไปทำงานไม่ทันหรอก” ภูริตออกคำสั่ง ทำให้เพลงขวัญก้มลงมองนาฬิกาข้อมือครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเปิดประตูเข้ามานั่งเคียงข้างเขาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
“ขอบคุณค่ะ”
“เป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงออกมาสายล่ะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“หนูรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ท้องเสียตั้งแต่เช้าก็เลยออกมาช้า”
“ถึงว่าทำไมหน้าซีด ๆ ไปกินอะไรผิดมาหรือเปล่า แล้วแน่ใจเหรอว่าไปทำงานไหว” เขาถามย้ำอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้างุดก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปลูบศีรษะเล็กไว้ ถ้าพิมพ์พลอยขยันและเก่งให้ได้ครึ่งหนึ่งของเพลงขวัญก็คงจะดี
“ไหวค่ะ”
“งั้นก็ตามใจ ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพักนะ ไม่ต้องฝืน” พูดจบเขาก็ละสายตาจ้องมองออกไปนอกรถ เพลงขวัญจึงได้แต่นั่งนิ่งเพื่อข่มอาการคลื่นไส้ไว้ จนกระทั่งรถแล่นมาจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม หญิงสาวก็กระพุ่มมือไหว้ผู้เป็นพ่ออีกครั้งแล้วรีบถลาออกจากรถตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำพนักงานทันที
“อ้วก!”
“อาการหนักขนาดนี้ ฉันว่าแกกลับไปพักเถอะ” ภูริตเดินตามมารอที่หน้าห้องน้ำ เห็นเพลงขวัญอาเจียนออกมาอย่างหนักก็อดเป็นห่วงเสียไม่ได้
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไหว วันนี้พี่ชุไม่มาด้วย” หญิงสาวให้เหตุผล เพราะชุติมาหัวหน้างานลาป่วยไปก่อนหน้าเธอจึงต้องมาทำแทน
“ดื้ออย่างนี้ แล้วอย่าเป็นลมเป็นแล้งไปล่ะ” ว่าแล้ว ภูริตก็แยกไปอีกทางเพื่อขึ้นไปยังชั้นผู้บริหาร ส่วนเธอก็ต้องแยกออกไปทำงานที่แผนกต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรม
“อ้าวขวัญ มาสายนะเราวันนี้” เสียงวาโยเพื่อนร่วมงานเอ่ยทักทาย แต่พอเห็นใบหน้าที่ยังซีดเซียวของเธอเขาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองทันที “เป็นอะไรเนี่ย ไม่สบายเหรอ”
“ท้องเสียนิดหน่อยน่ะค่ะ น่าจะอาหารเป็นพิษ”
“แล้วจะทำงานไหวไหม”
“ต้องไหวสิ อย่ามาใช้อภิสิทธิ์ว่าตัวเองเป็นหลานคุณภูริตแล้วจะลาล่ะ วันนี้คนยิ่งไม่พออยู่” ณัชชา เพื่อนร่วมงานอีกคนเบ้ปากใส่ในขณะที่กำลังจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า วาโยจึงพาเพลงขวัญไปประจำตำแหน่งที่หลังเคาน์เตอร์เพื่อรอรับลูกค้า
“เดี๋ยวขวัญนั่งประจำเคาน์เตอร์แทนเราก็ได้ เราต้อนรับลูกค้าเอง”
“ขอบใจมากนะพี่โย” หญิงสาวยิ้มจาง ๆ พลางหยิบยาดมในกระเป๋าขึ้นมาสูดดมเพื่อบรรเทาอาการเวียนหัว ถึงจะโชคดีที่วาโยเข้าใจและให้เธอนั่งพักแต่เหมือนสถานการณ์วันนี้จะไม่เข้าข้างเสียเท่าไหร่ เพราะลูกค้าเข้ามาเช็กอินค่อนข้างเยอะ พอวาโยแยกตัวออกไปส่งแขกที่ห้อง เธอก็ต้องออกมาเป็นฝ่ายต้อนรับลูกค้าแทน
“ขวัญ ขวัญสะดวกหรือเปล่า ช่วยไปส่งแขกให้พี่หน่อยสิ” ในขณะที่กำลังตรวจดูรายชื่อลูกค้าอยู่นั้น ศิระ ผู้ช่วยของภูริตก็เข้ามาสะกิดเรียกเธอด้วยใบหน้าเหยเก ตัวบิดเหมือนกำลังอั้นบางอย่าง
“แขกที่ไหนคะ แล้วทำไมคุณภูริตถึงส่งคุณศิระลงมารับเองล่ะคะ”
“แขกวีไอพีน่ะสิ โน่นไงนั่งรออยู่ที่โน่น” อีกฝ่ายชี้ไปทางเลานจ์ของโรงแรม พอมองตามไปก็เห็นว่าเป็นลูกค้าที่กำลังนั่งหันหลังมาทางนี้สองคน “เขานัดกับคุณภูริตไว้น่ะ แต่พี่ถูกข้าศึกโจมตี ขวัญช่วยพาเขาไปส่งให้หน่อยนะ...”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงและกลิ่นก็ลอยขึ้นมาแตะจมูก ศิระจึงต้องรีบบิดก้นเดินหายไปด้านหลัง เพลงขวัญไม่มีทางเลือกจึงต้องหันไปฝากงานกับณัชชา
“ฉันไปส่งแขกที่ห้องคุณภูริตก่อนนะ”
“ตามสบาย” อีกฝ่ายกระแทกเสียงใส่ไม่แม้แต่จะหันมามอง เห็นดังนั้นเพลงขวัญจึงต้องเดินไปหาแขกที่นั่งรออยู่แล้วกล่าวทักทายด้วยสีหน้าที่ยังซีดเผือด
“สวัสดีค่ะ ใช่แขกที่มารอพบคุณภูริตหรือเปล่าคะ”
“ครับ” ทันทีที่คนมาใหม่หันมาตอบรับ ร่างกายของเธอก็เหมือนจะแข็งทื่อ วิญญาณหลุดออกจากร่างไปชั่วขณะ
“คุณ...”
“อ้าว เจอกันอีกแล้วสินะ ทำงานอยู่ที่นี่เองเหรอ” ราเมศร์ยืนขึ้นเต็มความสูง กล่าวทักทายเธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นเขาทำทุกอย่างเป็นเรื่องปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพลงขวัญก็ลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบาเพราะคิดว่าเขาคงจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นไม่ได้หรือไม่...ผู้ชายคนนั้นก็อาจจะไม่ใช่เขา
“ค่ะ ได้ยินคุณศิระบอกว่าคุณมารอพบคุณลุง งั้นเชิญทางนี้ค่ะ”
“นำทางไปสิครับ” เขาเป็นฝ่ายผายมือให้เธอเดินล่วงหน้าไปก่อนส่วนเขากับณภัทรค่อยตามไป