ปราสาททราย...2/2

1384 คำ
ดวงตาสองคู่สบกันเป็นครั้งแรกของวัน แววตาอีกคนยังเต็มด้วยความรู้สึกเหมือนเดิมนับวันยิ่งเพิ่มพูน แต่อีกคนกลับแลเห็นแต่ความสงบจนกลายเป็นเฉยชา “วันนี้ไปทำงานเหรอคะ” “อืม ไปทำงาน แล้วเธอล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า เดินเข้ามาทำหน้าอ้อน ตอบว่า “วันนี้มี่ยังไม่มีงานค่ะ รอไปอิเวนต์หน้า ตอนนี้ได้หยุดสามวัน” “เหรอ” ชายหนุ่มครางรับอย่างไม่มีความหมาย เดินตรงไปยังส่วนที่เป็นครัว หญิงสาวเดินตามไปคอยดูแลปรนนิบัติอย่างที่เคยทำเป็นปกติ “มี่ทำแซนด์วิชไว้ เดี๋ยวอุ่นให้นะ แล้วก็รอกาแฟแป๊บนึง เดี๋ยวดริปให้” “ไม่ต้องอะ เดี๋ยวรีบไปเลย” จวินรีบบอก ทำเอาคนที่ตั้งใจทำเบิกตามองว่ารีบอะไรขนาดนั้น “ทำไมรีบจัง กาแฟก็ไม่ดื่มเหรอ” เขาสั่นหน้าเรียบ ๆ “เปลี่ยนใจละ เดี๋ยวออกไปกินข้างนอก” “หยิบแซนด์วิชไปด้วยมั้ย” “ไม่” เอ่ยจบร่างสูงก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่สนใจอะไรใด ๆ ปล่อยให้คนที่ตั้งใจตื่นเช้ามาทำอาหารรอต้องผิดหวัง ถอยกลับมานั่งเหงาหงอยอยู่คนเดียว อยู่ภายในห้องเดียวกัน มองเห็นกันทุกที่ อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แต่นับวันก็ยิ่งเหมือนห่างไกลกันออกไปทุกที ยังไม่ถึงเจ็ดปีด้วยซ้ำ จะเกิดอาถรรพ์แล้วหรือ เมื่อจวินออกไปแล้วมนต์มีนาก็กลายเป็นคนอยู่ว่าง ๆ ที่ไม่รู้จะหาอะไรทำดีในวันที่ไม่ได้ออกไปทำงาน หญิงสาวเรียนจบคณะบริหารด้านการตลาด แต่เธอเริ่มทำงานหารายได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว เนื่องจากฐานะทางบ้านที่ไม่ดีนัก ก่อนบิดาจะเสียชีวิตได้ทำนิติกรรมยกบ้านของครอบครัวให้เป็นชื่อของเธอ แต่ที่ดินที่ใช้ปลูกบ้านนั้นเป็นของปู่กับย่าที่ไม่ได้ทำเรื่องโอนให้พ่อเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนทั้งสองจะเสียชีวิต หญิงสาวอยู่กับแม่สองคนที่บ้านหลังนั้นได้ไม่นาน ป้าปรียาซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อก็หอบลูกสาวของตนกลับมาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าบ้านของเธอที่พ่อยกให้นั้นปลูกอยู่บนที่ดินของปู่กับย่าดังนั้นป้าผู้เป็นลูกเช่นเดียวกับพ่อจึงมีสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้นด้วย และป้ากับลูกสาวก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในบ้านของเธอเช่นกัน เธอกับแม่ไม่ได้คัดค้านเพราะเธอยังเด็กไม่รู้ข้อกฎหมายและแม่ก็ไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากหากต้องมีการฟ้องร้อง อีกอย่างที่แม่ไม่พูดอะไรเพราะป้าเป็นญาติเพียงคนเดียวของพ่อที่เหลืออยู่ กระทั่งต่อมาแม่ของเธอก็เสียชีวิตลงเธอจึงอาศัยอยู่ในบ้านกับผู้เป็นป้าและลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้า พอเริ่มทำงานเป็นพริตตีให้ค่ายรถดัง มนต์มีนาก็ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านมาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยเพราะสะดวกกับการไปเรียนและทำงาน ซึ่งป้ากับลูกสาวก็ออกจะยินดีที่เธอย้ายออกมาเพราะจะได้ไม่ต้องเผื่อแผ่ข้าวปลาอาหารหรือค่าใช้จ่ายอื่นมาให้เธอด้วย มนต์มีนาไม่เคยคิดเรื่องมีแฟนหรือสนใจผู้ชายที่มีฐานะการเงินมั่นคงที่เข้ามาติดพันจนกระทั่งได้รู้จักกับจวิน หลังจากรู้จักเขาได้เพียงสามเดือนเธอก็ยอมย้ายออกจากหอพักมาอยู่กับเขา และก็อยู่ที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน จวินให้เงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายกับเธอทุกเดือนแต่หญิงสาวก็ไม่ทิ้งงานที่ทำ เธอยังคงรับงานต่อเนื่องกระทั่งเรียนจบ แม้งานที่เธอทำจะเป็นสายงานที่ต้องใช้รูปร่างหน้าตามากกว่าความรู้ด้านอื่น ทั้งต้องไปออกงานต่างจังหวัด แต่จวินไม่เคยห้าม มันจึงทำให้เธอรู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาดีกับเธอเสมอ... จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงก็ช่วงหลังนี่แหละ เธอควรจะทำเช่นไรกับสัญญาณที่เขาส่งให้นี้ดี มนต์มีนาฆ่าเวลาที่อยู่คนเดียวด้วยการเปิดดูซีรีส์ เล่นโทรศัพท์คุยกับเพื่อนที่ทำงานสายเดียวกัน เผลอหลับไปในช่วงบ่าย ตื่นขึ้นมาก็ยังพบกับความเงียบ กดดูหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีข้อความจากเขาคนนั้นส่งมาเลย เวลาผ่านไปจนใกล้หมดวันมนต์มีนาจึงกดโทรศัพท์หาจวินเพื่อจะถามว่าเขาจะกลับห้องกี่โมงเธอจะได้เตรียมอาหารไว้รอ โชคดีที่ถือสายรอไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ ไม่ต้องรอให้เขาพูดเธอก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที “จะกลับห้องกี่โมงคะ มี่จะได้เตรียมอาหารเย็นไว้รอ” ในใจมีความหวังว่าจะได้นั่งรับประทานอาหารในบรรยากาศที่คุ้นเคยด้วยกันอีกครั้ง แต่รอยยิ้มของเธอก็ต้องเหือดแห้งไปเมื่อได้ฟังน้ำเสียงเย็นชาตอบกลับมาว่า “ไม่ต้องรอ...แค่นี้นะ ยุ่งอยู่” จวินพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็ชิงวางสายไปในทันที เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรกับใคร ยังไม่ทันได้ถามเขาก็ตัดบทไปราวกับรำคาญเธอนักหนา หัวใจที่พองฟูกลับมาเหี่ยวเฉา ถอนหายใจทิ้งเนือยเนิบ เป็ดย่างที่สั่งมาเธอคงต้องกินเองทั้งหมดนั่นแหละ เย็นวันนี้จวินกลับไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมหน้าครอบครัว ‘ธรรมไพศาลเกียรติ’ บิดามารดาของเขาทราบดีว่าลูกชายมีผู้หญิงอยู่ด้วยกันที่คอนโดมิเนียมแต่ไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวายใด ๆ เพราะลูกชายบอกแต่แรกว่า คนนี้แค่ชั่วคราวเท่านั้นไม่นานก็จบเอง แต่เวลาไม่นานที่ลูกบอก มันกินเวลามากว่าสี่ปีแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่คนเป็นแม่คงต้องพูดเรื่องนี้กับเขาจริงจังแล้ว “จิน แม่อยากให้ลูกไปเรียนต่อเมืองนอกเสียที เตรียมพร้อมสำหรับสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเราเต็มตัวได้แล้ว อีกอย่างเรื่องผู้หญิงที่ลูกบอกว่าชั่วคราวของลูกนี่ก็ด้วย ลูกจะมาจมปลักอยู่กับผู้หญิงคนนี้เหรอ” คุณหญิงจริยา มารดาผู้เป็นใหญ่ในบ้านเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง คนเป็นลูกชายคนเดียวถอนลมหายใจออก เอ่ยว่า “ผมไม่ได้จมปลักกับใคร” “ไม่ได้จมปลัก แล้วทำไมยังไม่เลิกกับผู้หญิงคนนั้นอีกล่ะ นี่มันก็สามสี่ปีแล้วนะ อย่าให้มันนานเกินจนผูกพันไปมากกว่านี้เลย ที่ผ่านมาลูกจะมีผู้หญิงสักกี่คนแม่ไม่ว่า แต่อย่าเพิ่งให้ใครมาจับได้ง่าย ๆ นะ จะเลือกผู้หญิงก็นึกถึงหน้าวงศ์ตระกูลไว้บ้าง” จวินรวบช้อนบนจานเป็นอันว่าอิ่ม เขากำลังหาวิธีประนีประนอมเพื่อเลิกกับมนต์มีนาอยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้อะไร ๆ มันผูกมัดเป็นปมแน่นไปกว่านี้จนแกะหรือสลัดเธอไม่ออกจากชีวิต “ผมกำลังจัดการอยู่ครับ ผมจัดการเองได้” “จัดการเองได้ก็ดี ลูกใช้ชีวิตตามใจตัวเองมานานมากพอแล้ว ถึงเวลาที่ทำเพื่อครอบครัวบ้าง พ่อกับแม่อยากให้ลูกได้เรียนรู้โลกใบนี้ให้มากขึ้นถึงอยากให้ไปเรียนต่อเมืองนอก อย่างน้อยก็ปริญญาโทด้านบริหารหรือไม่ก็ด้านอื่นที่ลูกถนัดอีกสักใบแล้วจะฝึกงานต่อที่โน่นอีกสักปีสองปีก็ได้ให้ผู้บริหารคนอื่นเชื่อถือ ถึงเวลานั้นผู้หญิงดี ๆ มีชาติตระกูลสมฐานะคู่ควรกับลูกก็มีมาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว ของข้างทางเอาไว้เล่น ๆ ก็พอ” จวินไม่พูดโต้ตอบอะไรกับมารดามากนัก เขามีความดื้อแพ่งอยู่ในตัวค่อนข้างสูง นิสัยนี้คนเป็นบิดามารดาย่อมรู้ดีจึงไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของลูกมาก มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่จะขอ ก็คือ...อย่าทำอะไรให้วงศ์ตระกูลที่บรรพบุรุษสร้างมาเสื่อมเสียชื่อเสียง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม