บทที่4. คนธรรมดา

1852 คำ
าแฟดำรสเข้มถูกจิบที่ละนิด ท่าทีสงบนิ่งดุจภูผาหินไม่มีใครกล้ารบกวนอารมณ์องค์รัชทายาทหนุ่มผู้มีอารมณ์เหมือนทะเลทรายที่มิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดพายุเมื่อใด ราเฟย์วางถ้วยกาแฟลงด้วยอาการสงบนิ่งผิดกับจัสมินที่นั่งกระสับส่ายไม่ยอมแตะถ้วยกาแฟของตน “ทำไมเสด็จพ่อให้เรารอนานจังคะ หรือรู้ว่าน้องมา” “เสด็จพ่อทรงไม่ทำอะไรไร้สาระเช่นนั้นหรอก” ราเฟย์ตัดบทก่อนที่น้องสาวต่างมารดาจะพูดจบ เธอเป็นสาวมั่นทันสมัยก็จริง แต่หญิงสาวขาดความมั่นใจเรื่องพ่อของตนเองเป็นอย่างยิ่ง “ต้องขออภัยองค์รัชทายาทและองค์หญิงจัสมินอย่างสูง...ตอนนี้ฝ่าบาททรงรับการรักษาอยู่” หมอยามาทโค้งคำนับและรายงาน แต่เรเฟย์ใช้สายตาคมกริบมองแพทย์ประจำประองค์อย่างแปลกใจ “แล้วทำไมหมอยังอยู่ตรงนี้คะ” จัสมินถามในสิ่งที่ราเฟย์รู้สึกเช่นเดียวกัน “ทรงให้พยาบาลนวดฝ่าเท้าอยู่ครับ” “นวดฝ่าเท้า” คราวนี้เป็นเสียงราเฟย์ที่พูดออกมาจนเกือบจะเป็นเสียงครางอย่างไม่เชื่อหูที่ได้ยิน “นี่หมอคิดอะไรอยู่” “เป็นข้อเสนอของท่านคาร์ดัลครับ” หมอยามาทขยับแว่นสายตา “และเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท” “เหลวไหล” ราเฟย์ตะลึงกายขึ้นทำให้จัสมินลุกขึ้นยืนตามโดยอัตโนมัติ “คาร์ดัลคิดอะไรแผลงๆ นะซิ หมอต่อกี่หมอก็รู้ว่าโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนต้องผ่าตัดกันทั้งนั้น!” “ตามทฤษฎีก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่โลกฝั่งตะวันออกมีการรักษาด้วยการฝั่งเข็มและนวดกดจุด หากผู้ที่ทำมีความชำนาญก็สามารถรักษาได้” หมอยามาทยังไม่ทันพูดจบร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคลุมยาวจรดพื้นก็สาวเท้าเข้าไปในห้องบรรทมของกษัตริย์ฮัสซันทันที “พี่ราเฟย์!” จัสมินพยายามจะคว้าแขนของพี่ชายไว้แต่เธอก็ช้าไป หญิงสาวหันไปสบตากับหมอหนุ่มที่มีท่าทีหวาดหวั่นและตกใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ทั้งคู่จะตั้งสติได้และรีบวิ่งตามร่างขององค์รัชทายาททันที “เสด็จพ่อ!” ราเฟย์เรียกผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงไม่ดังนักแต่เต็มไปด้วยอำนาจ ‘ช่างถอดแบบพระบิดาไม่ผิดเพี้ยน’ เหล่าบรรดาผู้ที่อยู่ในห้องบรรทมรู้สึกเช่นนั้น ต่างพากันถอยกรูไปหลบที่มุมห้อง กษัตริย์ฮัสซันยังทรงปิดพระเนตรแสร้งทำเป็นไม่รับรู้การมาของลูกชายหัวรั้น แต่ทรงเผลอครางออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อพระบาททั้งสองข้างถูกนวดคลึง ความเมื่อยขบละลายไปสิ้นอย่างที่พระองค์ไม่เคยได้รับจากโอสถชนิดไหน ราเฟย์ก้าวเข้ามาใกล้จนเห็นร่างบอบบางนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น พระบาทข้างหนึ่งแช่อยู่ในอ่างทองเหลืองอีกข้างอยู่บนตัก หญิงสาวโน้มตัวใช้เรี่ยวแรงที่มีกดคลึงบนฝ่าเท้าอย่างตั้งใจไม่สนใจใครที่มาส่งเสียดังอยู่ด้านหลัง “เจ้านี่ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองสมัยหนุ่มๆ” กษัตริย์ฮัสซันทรงสลวยเบาๆ แต่ราเฟย์คิดว่าพระองค์ตรัสกับนางที่นั่งถวายงานอยู่ อารมณ์หงุดหงิดพลุกพล่านขึ้นมากกว่าเดิม “พี่ราเฟย์ อุ๊ย!” จัสมินถลาเข้ามาอย่างรีบร้อนจนจมูกชนกับแผ่นหลังกว้างของพี่ชาย เมื่อรู้ตัวเธอรีบย่อตัวถวายคำนับกษัตริย์ฮัสซันทันที ไม่เพียงแต่หมอยามาทเท่านั้นที่ดูออกว่าพระพักตร์ของฮัสซันดูสดชื่นขึ้นมาก เวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ที่พยาบาลสาวคนนี้เข้ามาดูแลทำให้พระพักตร์ของพระองค์มีร่องรอยความสุขมากกว่าความเจ็บปวด “ราเฟย์ช่วยพยุงพ่อหน่อยซิ” กษัตริย์ฮัสซันควักมือเรียกลูกชายก่อนที่จะลืมพระเนตรขึ้นช้าๆ ท่าทีเครียดขรึมของลูกชายทำให้พระองค์ฝืนทำนิ่งทั้งที่อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ทุกครั้งที่พระองค์มองลูกชายคนนี้มักจะเห็นตนเองในอดีตเสมอ ราเฟย์เดินตรงเข้ามาประคองพระบิดาให้นั่งอย่างสะดวก เขามองเลยไปยังร่างบางที่นั่งเช็ดพระบาทของเสด็จพ่อ แต่แล้วเมื่อใบหน้ารูปไข่เงยหน้าขึ้น เขาก็จำได้ในทันทีว่าเคยเจอหญิงคนนี้ที่ไหน ใบหน้าสวยหวานยิ้มออกมาทันทีเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า โดยที่เธอก็ลืมคิดไปว่าเมื่อครู่กษัตริย์ฮัสซันรับสั่งว่าอะไร “จัสมินก็มาเรอะ เข้ามาใกล้ๆ ซิไปยืนทำไมไกลนัก” “เพคะ” จัสมินเดินเข้ามาอย่างไม่มั่นใจนักแม้จะมีพี่ชายยืนอยู่ใกล้ “นานๆ จะมีลูกๆ มาห้อมล้อมแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” กษัตริย์ฮัสซันสรวยเสียงดังขึ้นมา “รู้จักหรือยัง พยาบาลใหม่ของพ่อ ชื่อ อารยามาจากเมืองไทย คาร์ดัลเป็นคนพบเพชรเม็ดงามเม็ดนี้” “พระองค์กล่าวเกินไปหม่อมฉันเป็นแค่นักกายภาพบำบัดเท่านั้นเพคะ” อารยายิ้มบางๆ “นี่ลูกชายกับลูกสาวฉัน ราเฟย์กับจัสมิน อายุคงไล่ๆ กับเธอ” กษัตริย์ฮัสซันลูกสาวที่ได้เค้าโครงมาจากแม่เต็ม จัสมิน ยิ้มให้อย่างเป็นกันเองและไม่ถือตัว ผิดกับผู้ชายร่างสูงสง่าคนนั้นที่เขาแต่ทำหน้าเคร่งขรึม อารยายกมือแบบไทยๆ พยายามยิ้มผูกมิตรแต่เมื่อราเฟย์ไม่มีท่าทีตอบไมตรีของเธอ หญิงสาวจึงหน้าเจือนลงทันที ‘เขาทำเหมือนไม่เคยเจอเธอเลย’ อารยาพึมพำกับตัวเองในใจ ผิดกับครั้งแรกที่เธอได้รับความช่วยเหลือนำทางไปโรงครัว หญิงสาวจำได้ดีของท่าทางร้อนร้นของเหล่าบรรดาแม่ครัวที่จัดเตรียมสำรับอาหารมาบริการเธอและเขา เขานั่งกินแซนวิชเพียงคู่เดียวกับกาแฟดำ ในขณะที่เธอกินไปตั้งสามคู่แถมนมอีกแก้วใหญ่ เขาละเลียดทานอาหารอย่างใจเย็นจนเธอเสร็จเรียบร้อยและเดินนำเธอมาส่งถึงห้องที่จัดไว้เป็นเสมือน ‘ห้องพยาบาล’ ประจำราชวัง “ขอบคุณค่ะ” อารยาจำได้วาพูดได้แค่นั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไปยังไม่ทันถามชื่อเสียงเรียงนาม แต่เธอก็คาดเดาได้ไม่ยากนักว่าเขาคงไม่ใช่ ‘คนธรรมดา’ อย่างแน่นอน เพราะที่เห็นตั้งแต่ในโรงครัวจนตลอดทางเดินนั่น มีแต่คนถวายการเคารพเขาแทบทั้งนั้น ที่จริงเขาเป็นถึง ‘องค์รัชทายาท’ ก็น่าอยู่หรอกที่เขาจะทำตัวราวกับไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน “ได้ข่าวว่าเจ้าเตรียมตัวจะเป็นอาจารย์งั้นรึ จัสมิน” กษัตริย์ฮัสซันเอ่ยถาม โบกพระหัตถ์เรียกคนสนิทมาใกล้กระซิบรับสั่งสองสามคำก่อนหันมาสนใจลูกสาวของตน “ว่าไงละ” “เป็นอาจารย์พิเศษเพคะ ที่มหาวิทยาลัยประจำชาติจะเริ่มสอนต้นเดือนหน้า” จัสมินตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ดีแล้วควรทำตัวให้มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง” ดวงเนตรมีประกายความอ่อนโยนอย่างที่จัสมินไม่เคยเห็น เธอแทบจะหยิกตัวเองเพื่อเตือนสติว่านี่ฝันหรือว่าตื่น “แต่ข้าเริ่มเบื่อหน้าเจ้าแล้วนะราเฟย์ เจ้าชอบทำหน้าเครียดอย่างนี้เสมอ” “กระหม่อมก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว” ดวงตาสีเข้มเปล่งประกาย “ผิดกับเสด็จพ่อที่ดูสดใสขึ้นมาก” “เราดูดีขึ้นแล้วทำให้เจ้าไม่พอใจรึ” พระองค์ทรงหยอกเย้า เป็นจังหวะที่คนสนิทนำกล่องกำมะหยี่สีแดงสดส่งให้พระองค์สองกล่อง พระองค์รับมาเปิดดูแล้วยื่นให้จัสมิน “รับขวัญที่เจ้ากลับมา พ่อคิดจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้า ตั้งแต่เจ้ากลับมามาก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกับเจ้าเลย เจ้าอยากจัดงานเลี้ยงเมื่อไหร่ยังไงก็บอกพี่ชายเจ้า พ่ออนุญาต” จัสมินยิ้มกว้างมือที่ยื่นไปรับของขวัญนั่นสั่นน้อยๆ กล่องกำมะหยี่สีแดงถูกเปิดออกเป็นสร้อยคอประดับเพชรน้ำงาม ประเมินมูลค่ามิได้ เธอไม่เคยคาดหวังจะรับเครื่องประดับหรือของขวัญใดๆ เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดคือการที่กษัตริย์ฮัสซันมองเธอด้วยสายตาของบิดาที่มองดูลูกสาว! “ขอบพระทัยเพคะ” “อันนี้ของเจ้า ในฐานะที่เจ้าดูแลเราเป็นอย่างดี” “หม่อมฉันรึเพคะ” อารยาทำหน้างุนงง แต่เมื่อเห็นพระหัตถ์ที่ยื่นกล่องกำมะหยี่แบบเดียวที่ให้จัสมินมาตรงหน้า หญิงสาวจึงต้องยื่นมือไปรับและเปิดออกดู ข้างในเป็นสร้อยคอทองคำขาวห้อยจี้เป็นแผ่นสีเหลี่ยมผืนผ้ามีตราสัญลักษณ์ราชวงศ์บาฮาเนีย นั่นคือ ‘เหยี่ยวทะเลทราย’ “เอ่อ...คือ...” อารยาไม่รู้เอ่ยถามอย่างไร ภาษาอังกฤษในสมองตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แต่ที่แน่ๆ สีหน้าขององค์รัชทายาทแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง “มันเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เจ้าเข้านอกออกในในวังนี้ได้ เผื่อว่าเจ้าจะอยากไปเที่ยวชมประเทศของเรา จริงซิ! จัสมินหากเจ้าพอมีเวลาก็พาอารยาไปเที่ยวชมบ้านเมืองเราด้วยนะ” “แต่ว่าหม่อนฉันมาที่นี้เพื่อถวายการรักษาฝ่าบาทไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยว เกรงว่าหม่อมฉันจะรับไว้ไม่ได้” มือเล็กๆ สั่นเทาแต่ก็ยื่นคืนสร้อยเส้นนั้นคืนกษัตริย์ฮัสซัน “อย่าได้กระทำการดูหมิ่นน้ำพระทัยกษัตริย์แห่งบาฮาเนีย” น้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังคล้ายคำสั่งอยู่ในที แต่ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายชัดความไม่พอใจ กษัตริย์ฮัสซันอดแย้มพระสรวลไม่ได้ “เจ้าทำให้เราพอใจมาก เอาละเจ้าไปพักผ่อนเถอะ เราเองก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน” ในเมื่อไม่เห็นทางที่จะปฏิเสธได้ อารยาได้แต่กล่าวขอบคุณแล้วลุกขึ้นเดินนำออกมาก่อน จัสมินหันไปยิ้มให้กับพี่ชายนิดหนึ่งก่อนเดินตามร่างของอารยา ราเฟย์รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างหาเหตุผลไม่เจอ เขาหมุนตัวจะเดินออกไป แต่กลับต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงพระบิดา “ถ้ามีพระชายานิสัยดีอย่างอารยาสักคนก็น่าจะดีนะ” ราเฟย์หันขวับมาทางต้นเสียงแต่ปรากฏว่าพระบิดาปิดเปลือกตาเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงของเสด็จพ่อ หรือเป็นความกังวลใจที่มันเกาะตัวจนกลายเป็นเสียงหลอนประสาทเขากันแน่ ร่างสูงสง่าหมุนตัวกลับและเดินจากไปด้วยใจว้าวุ่น โดยไม่รู้ว่ามีคนแกล้งหลับแอบยิ้มอยู่บนเตียง “เดี๋ยวก่อน...เธอ...เอ่อ...อา...” อารยาได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง แม้ไม่แน่ใจว่าเรียกเธอหรือไม่แต่เท้าก็หยุดแล้วหันกลับไปมอง ร่างเพรียวบางของจัสมินกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาใกล้ๆ รอยยิ้มที่เป็นกันเองทำให้อารยารู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด “องค์หญิงเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ” “พูดกับฉันธรรมดาเถอะจ๊ะ ดูท่าเราจะอายุเท่ากันใช่มั๊ย” จัสมินได้เพื่อนใหม่ถึงกับลืมพี่ชายไปเลยทีเดียว “เธอชื่ออะไรนะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม