คนอยู่บ้านก็ใช้เวลาทั้งบ่ายไปกับการทบทวนชีทเรียนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ ตอนนี้สี่โมงครึ่งแล้ว จิวปิดเอกสารหอบกลับเข้าไปไว้ในบ้านก่อนเดินเข้าครัวทำอาหารต่อ เขาต้มไก่เอาไว้จนสุกแล้ว เย็นนี้จะทำข้าวมันไก่กิน พี่ภาสก็บอกว่าอยากกินเช่นกัน
ผสมเนื้อไก่ น้ำพร้อมเครื่องมากมายใส่หม้อข้าวจากนั้นก็กดหุง เท่านี้ก็เสร็จแล้ว ล้างมือเสร็จก็หันไปหยิบกล่องผลไม้ออกมาพร้อมเครื่องปั่น ทำงานมาเหนื่อย ๆ ได้กินอะไรเย็น ๆ คงจะสดชื่น จิวจะทำน้ำผลไม้ปั่นแช่เย็น ถ้าอยากกินก็กินได้ ถ้าพี่เขาไม่กินก็มีเขากินอยู่ดี
ร่างบางเดินออกมาด้านนอกพร้อมต้นชวนชมต้นนั้นหลังทำทุกอย่างเสร็จ ตอนนี้ไม่อยากอยู่เฉย ๆ กลัวจะคิดเรื่องครอบครัว วันนี้ไม่ได้รดน้ำมันเพราะพี่ภาสรดไปแล้ววันนั้น ตั้งไว้รวมกับต้นไม้แห้ง ๆ ก่อนจะดึงต้นที่ตายแล้วทิ้งใส่ถังขยะ จังหวะเดียวกับเสียงเลื่อนประตูดังขึ้น เป็นเจ้าของบ้านที่กลับจากทำงานแล้ว
“กลับมาแล้วครับ” นี่เป็นครั้งแรกที่ภาสกรกลับบ้านเร็วกว่าหกโมงเย็นในรอบสามเดือนนี้ ปกติเขาทำงานจนถึงสองทุ่มหรือไม่ก็สี่ทุ่มตลอดเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง
ตาคมมองคนน้องกำลังถอนหญ้าดึงต้นไม้อยู่ กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลมถึงรั้วบ้าน บ้านช่องถูกเปิดหน้าต่างรับลม รู้สึกว่าบ้านกำลังกลับมาเป็นบ้านแล้ว
“เดี๋ยวจิวไปเอาน้ำผลไม้มาให้ครับ” จิวยิ้มบางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทว่าก็ถูกรั้งเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวพี่เอาออกมาก็ได้ เราทำต่อเถอะ”
“ครับ” คนน้องพยักหน้าหงึกหงักนั่งลงถอนหญ้าดึงต้นไม้ต่อ ภาสกรเดินขึ้นห้องไปเพื่อเปลี่ยนชุดและเก็บของ ก่อนจะลงมาด้านล่างเปิดเอาน้ำผลไม้ในเหยือกออกมาพร้อมกับแก้วสองใบหลอดสองอันเดินไปหาเด็กหนุ่มด้านนอก มองจิวที่กำลังดึงต้นไม้ที่ตายไปแล้วใส่ถังขยะอันเล็กพลางฮัมเพลงไปด้วยเบา ๆ
“น้องอยู่คนเดียวคงเหงาแย่” เห็นว่าพี่ภาสเดินมาจิวจึงหยิบกระถางชวนชมชูให้อีกฝ่ายดู ทว่าคนแก่กว่าไม่เข้าใจ
“หมายถึงจิวเหรอ”
“ไม่ใช่จิวครับ ผมหมายถึงชวนชมต้นนี้ ต้นอื่นตายหมดแล้ว น้องคงเหงาแย่” ภาสกรถึงบางอ้อ น้องที่ว่าคือต้นไม้ เขาคงแก่ไปจนตามไม่ทันคำศัพท์ของวัยรุ่นสมัยนี้
“ก็จริง เหมือนพี่เลย”
“เหมือนพี่ได้ไง จิงก็นั่งอยู่ตรงนี้” จิวมุ่ยหน้า ทำให้ร่างสูงเหมือนพึ่งนึกได้หัวเราะเบา ๆ ทำท่าทีเหมือนกำลังห้ามปรามให้น้องใจเย็น ๆ ก่อน อย่าพึ่งโมโหเขาเลย
“จริงด้วย งั้นพรุ่งนี้เราไปซื้อดอกไม้มาปลูกเพิ่มดีไหม น้องจะได้มีเพื่อน” เอ่ยเปลี่ยนเรื่องพลางเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ ยื่นแก้วผลไม้ปั่นพร้อมหลอดไปตรงหน้าคนสวนจำเป็นอย่างเอาใจ
“ครับ” จิวยิ้มกว้างอย่างรู้ทัน แต่ก็อ้าปากคาบหลอดเอาไว้ดูดกินอย่างสบายใจ คนถือให้ก็ดูดแก้วตัวเองไปเช่นกัน น้ำผลไม้เย็น ๆ สดชื่นจริง ๆ อิ่มแล้วจิวก็ทำงานต่อให้คนพี่กลับไปนั่งพักบนเก้าอี้รออาหารสุก
เสียงร้องเพลงเบา ๆ บรรยากาศดี ๆ น้ำผลไม้อร่อยสดชื่นช่างผสมผสานเข้ากันเสียจริง ปากดูดกินน้ำในแก้วแต่ตาคมกำลังจดจ้องร่างบางตรงหน้าอยู่ ดูจิวนั่งถอนหญ้าก็เพลินเพลินดีเหมือนกัน
น้องสูงเกือบร้อยแปดสิบแต่ดูตัวเล็กมากโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเขาที่สูงมากกว่าสิบเซนติเมตรทั้งยังตัวใหญ่กว่า ยิ่งพอจิวนั่งถอนหญ้ายิ่งดูตัวเล็ก
//ตืด ตืด//
“พี่ภาสดูให้หน่อยครับว่าใคร” มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเมื่อมีคนโทรเข้ามา ภาสกรจึงก้มอ่านชื่อเมื่อคนน้องบอกแล้ว พบว่าเป็นปะป๊าของจิว คงจะเป็นนายท่านหยางคนนั้น ที่ไล่ลูกออกจากบ้านเมื่อวานนี้
“พ่อเรา”
“จริงเหรอ” ร่างบางตาโตวิ่งไปล้างมือด้วยความสุข นี่คือสายที่รอมาทั้งคืนและทั้งวัน รอมาตลอด ในที่สุดป๊าก็โทรหาเขาแล้ว มือสั่นเทาคว้ามือถือวิ่งไปคุยกับผู้เป็นพ่อที่หน้าบ้าน กลัวว่าหากรับสายช้ากว่านี้ฝั่งนั้นจะถอดใจตัดสายไปเสียก่อน
ภาณุมองตามคนน้องไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู คงจะรอพวกเขาติดต่อมาอยู่ตลอดสินะเด็กคนนี้ หากจิวได้กลับบ้านเขาย่อมดีใจด้วย แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังยินดีให้น้องอยู่ที่นี่
ที่ไหนก็ได้ จิวอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่เจ็บปวด เขาขอแค่นี้
แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะใจร้ายมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ไม่คิดเลยว่าความร่าเริงเมื่อครู่จะเลือนหายไปเหลือเพียงน้ำตาอาบใบหน้าเดินกลับเข้ามา ร่างสูงวางแก้วน้ำรีบลุกเดินไปหาคนน้องทันทีด้วยความตกใจ มองใบหน้าที่กำลังเจ็บปวดก็รู้สึกเจ็บหัวใจตามไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ฮะฮะ ตลกจัง ป๊าไม่ได้โทรมาเรียกผมกลับ แต่โทรมาบอกว่าขอนามสกุลคืนเพราะตอนนี้ผมใช้แซ่ของพวกเขาอยู่” มือสั่นเทายื่นมือถือให้คนตรงหน้าเหมือนทำตัวไม่ถูก ใบหน้าเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะแต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่คิดว่าการโทรมาหาเขาทันทีเพราะแค่อยากให้เขาเปลี่ยนชื่อแซ่ จิวพูดไม่ออก ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ อธิบายไม่ถูก เข้าใจเพราะความจริงแล้วเขาไม่ใช่ลูก แต่ที่ผ่านมาเราก็รักกันดีไม่ใช่เหรอ
เมื่อวานไล่เขาออกมาจากบ้านไม่มาเงินติดตัวสักบาท กระเป๋าเงินก็ยังเอากลับไปเหลือแค่บัตรประชาชนกับใบเกิด เขาออกมาจากบ้านที่เคยได้รับทั้งเงิน ความรัก และที่อยู่อาศัยกลายเป็นคนเร่ร่อนด้วยกระเป๋าหนึ่งใบ
วันนี้ก็ยังโทรมาบอกให้เขาเปลี่ยนแซ่ คิดดูว่าถ้าจิวไม่เจอพี่ภาสตอนนี้เขาคงไปซุกตัวอยู่ที่ไหนสักที่ คุณศรณ์ไปจีนติดต่อยากเป็นปกติ ตอนนั้นเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้มากแค่ไหนกัน หลังจากนั้นยังต้องถ่อไปเปลี่ยนชื่อแซ่ให้พวกเขาอีกแทนการวิ่งหางานทำ
ดูใจร้ายเกินไปหน่อย แต่ถามว่าใครผิด นอกจากพ่อแม่ตัวต้นเรื่องก็อาจจะเป็นเขามั้งที่ผิด ไม่รู้สิ ฮะฮะ คิดไม่ออก
ตาคมฟังเสียงหัวเราะทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด เอื้อมมือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าให้ทว่าไม่นานก็เปื้อนอีกครั้งนอกเสียจากจิวจะหยุดร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะ”
“ฮึก ตั้งยี่สิบกว่าปีอะพี่ภาส เขาใจร้ายกับจิวมากเลย ถ้าจิวรู้เรื่องจิวก็คงไปช่วยเค้าออกมาจากนรกแล้วแต่นี่จิวไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองไม่ใช่ลูกป๊าม้าอะ แต่ป๊าทำไมโยนมาที่จิวหมดเลยว่าทุกอย่างเป็นความผิดจิวอะ”
“มานี่มา” มือหนาดึงคนน้องมากอดด้วยความสงสาร กกกอดมอบความอบอุ่นส่งผ่านไปให้ถึงคนเจ็บปวดตรงหน้า เสียงสะอื้นไห้ดังอยู่อย่างนั้น มือสั่นเทากำเสื้อคนพี่เอาไว้แน่น ไร้เสียงพูดคุย ไร้คำปลอบ ทว่ากลับรู้สึกอบอุ่นมากจริง ๆ
จิวร้องไห้จนแทบหมดแรงภาสกรจึงพาน้องไปนั่งที่เก้าอี้โดยที่ยังกอดเขาอยู่ ตอนนี้จึงเป็นจิวที่นั่งกอดเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มือหนาลูบไล้เส้นผมนุ่มเบา ๆ นานนับสิบนาทีเสียงร้องไห้ก็เริ่มเบาลงแล้ว เหลือเพียงเสียงสะอื้นที่ดังอยู่ไม่หาย ไม่นานจิวก็คลายกอดออก มือลูบเสื้อเขาที่เปียกน้ำตาเป็นวงกว้างเบา ๆ แล้วหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดหน้าแทน
“จิวยังมีพี่นะ” มือหนาลูบผมน้องอย่างอ่อนโยน เด็กร่าเริงที่ถือโทรศัพท์วิ่งออกไปนอกบ้านถูกแทนที่ด้วยภาพนี้ทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย ถ้าวันนี้พวกเขาไม่โทรมาจิวก็คงไม่ต้องร้องไห้ พวกเราช่วยกันถอนต้นไม้ กินข้าว พูดคุยและเข้านอน
“ขอบคุณครับ แต่คงต้องรีบเปลี่ยนชื่อนามสกุลแล้ว ป๊าจะได้ไม่ต้องโทรมาอีกจิวไม่อยากคุย”
“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยคิด”
“ขอบคุณครับ ต่อไปคงลำบากเวลาทำอะไรต้องถือเอกสารเปลี่ยนชื่อไปด้วย” จิวเอ่ยติดตลก ใบหน้าที่ขาวเนียนตอนนี้แดงก่ำทั้งยังตาบวมจนน่าสงสาร
“พี่ก็เปลี่ยน เปลี่ยนชื่อนามสกุลมาใช้นามสกุลแม่ตั้งแต่ย้ายเข้าบ้านหลังนี้ เอกสารเปลี่ยนชื่อสอดไว้ในใบเกิดไม่ลำบากเลย”
“งั้นจิวก็มีเพื่อนแล้ว ว่าแต่พี่หิวแล้วเหรอ”
“ทำไมรู้”
“พี่ท้องร้อง” จิวเอ่ยทั้งเสียงสะอื้น ทว่าตอนพูดกลับทำให้เขาหัวเราะ ตอนกอดอีกฝ่ายอยู่จะเศร้าก็เศร้า แต่หูก็ได้ยินเสียงเรียกร้องอาหารตลอด นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาหยุดร้องไห้ได้ไวกว่าปกติ ภาสกรถูกจับได้ก็หัวเราะหน้าแดงอย่างเขินอาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกจับได้แล้ว” เขาค่อนข้างกินเยอะ ยิ่งตอนเดินเข้ามาได้กลิ่นหอมของน้ำซุปและเนื้อไก่ยิ่งเรียกความหิวได้ดีจนท้องร้อง น่าอายจริง ๆ
“งั้นจิวไปทำน้ำจิ้มก่อนนะ พี่ถอนต้นไม้รอ”
“นั่งพักก่อนก็ได้ ตาแดงหมดแล้ว”
“ไม่เศร้าแล้วครับ แค่เสียใจนิดหน่อย รอแป๊ปนึงนะครับ” จิวหายเศร้าได้เพราะเสียงท้องร้อง ดูขบขันไม่น้อยแต่ดีกับเขามาก ร้องไห้เสร็จก็ต้องปวดหัวปวดตา เขาไม่ชอบร้องไห้
มอบหมายหน้าที่ให้กันเสร็จก็ถึงเวลาแยกย้าย ท้องฟ้าในยามเย็นเริ่มเป็นสีทองสวยงาม อากาศเย็นมากขึ้นไม่ร้อนเช่นตอนกลางวัน
เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่นั่งถอนหญ้าและต้นไม้ที่ตายแล้วใส่ตะกร้าอย่างกระฉับกระเฉง ส่วนอดีตลูกชายตระกูลหยางสายหลักกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร
“เสร็จแล้วครับ” จานข้าวมันไก่หอมฉุยวางลงในเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ไฟหน้าบ้านถูกเปิดเอาไว้ บรรยากาศดี ๆ ช่างเหมาะแก่การทานมื้อเย็นพูดคุยกันจริง ๆ ภาสกรไปล้างมือให้สะอาดกลับมานั่ง มองอาหารจานของตัวเองที่มากกว่าของจิวเกือบสองเท่าด้วยรอยยิ้ม
“ลองชิมดูครับ” คนน้องเอ่ยบอก เขาจึงตักน้ำจิ้มใส่เนื้อไก่แล้วตักกินคำแรก ค่อย ๆ เคี้ยวซึมซับว่ารสชาติเป็นอย่างไร โดยมีพ่อครัวตัวน้อยนั่งจ้องอยู่รอคำตอบด้วยจมูกและตาแดง ๆ อย่างน่าเอ็นดู ไก่นุ่ม อร่อย ข้าวสุกพอดีไม่แฉะไปไม่แข็งไป
“อร่อย เหมือนแม่ทำเลย”
“งั้นก็กินเยอะ ๆ นะครับพี่ภาส อันนี้ถ้วยน้ำซุปครับ”
“จิวก็กินเยอะ ๆ” ภาสตักเลือดไก่ให้น้องสองชิ้นเพราะจำได้ว่าเมื่อเช้าจิวบอกว่าชอบกิน แต่ในจานคงแบ่งให้เท่า ๆ กันกลัวจะดูไม่ดี แต่เขายกให้จิวได้ขอแค่บอกว่าชอบ ดูสิ พอได้เลือดชิ้นใหญ่มาเพิ่มใบหน้าแดงก่ำก็เบิกบานขึ้น ตาบวม ๆ พอยิ้มแล้วก็ปิดสนิทเลย
มื้ออาหารของเราสองคนยังคงผ่านไปด้วยดีเช่นสองมื้อที่ผ่านมา
ข้าวมันไก่คนละจานพร้อมกับอากาศดี ๆ ในยามเย็น จิวเองก็กินไปเยอะกว่าปกติเพราะเห็นคนตรงหน้ากินน่าอร่อยดี รู้ตัวอีกทีก็เกือบหมดจานแล้ว
“ตรงนี้จะปลูกต้นไม้เหมือนเดิมไหมครับ”
“จิวว่าไง” เขาคิดไม่ออก บางทีคนน้องอาจจะมีมุมใหม่ของบ้านที่น่าปลูกต้นไม้มากกว่ามุมนี้จึงลองถามความเห็นดู
“ปลูกก็ได้นะครับ เวลากินข้าวจะได้นั่งดูไปด้วย สบายตาดีออก มุมนี้แสงดี”
“พี่ตามใจเรา พรุ่งนี้คงได้มาหลายต้น”
“ไม่อิ่มเติมได้นะครับ” จิวจ้องมองคนพี่ที่ใช้ช้อนตักข้าวที่เหลือติดจานกินจนไม่เหลือข้าวสักเม็ด น้ำซุปก็หมดถ้วย
“ยังเหลืออยู่เหรอ”
“ครับ มาเดี๋ยวจิวไปเติมให้”
“ขอบคุณครับ” มือหนายื่นจานให้คนน้องด้วยรอยยิ้ม อาหารที่จิวทำอร่อยจริง ๆ สองมื้อที่ผ่านมาเป็นอาหารซื้อตลอด ไม่คิดว่าที่น้องบอกทำได้นิดหน่อยจะอร่อยขนาดนี้ ถ้าแม่เขายังอยู่คงชอบจิวมากแน่ ๆ จะได้มีเพื่อนเข้าครัวตามประสาคนชอบทำอาหาร
จิวกลับเข้ามาในห้องหลังกินข้าวเสร็จ ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว พี่ภาสอาสาล้างจานให้เขาไปอาบน้ำรอ อีกฝ่ายจะทำงานครู่หนึ่งแล้วค่อยไปหาเขาเพื่อเลือกชื่อที่อยากจะเปลี่ยนด้วยกัน
ใบหน้าขาวเนียนบัดนี้แดงช้ำไม่ต่างจากเมื่อวาน ตากลมจดจ้องตัวเองในกระจกอยู่อย่างนั้น ไม่ชอบเลย ไม่ชอบตอนตัวเองร้องไห้เสียใจเลย
“หลังจากนี้ก็รีบ ๆ ทำใจให้ได้นะจิว นั่นครอบครัวเขา เราไม่เกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” เสียงแหบพร่าเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เพื่อสร้างกำลังใจ รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นจากนั้นจึงถึงเวลาอาบน้ำให้สดชื่น
ภาสกรเดินเข้ามาในห้องน้องด้วยชุดนอนขายาว รู้สึกว่าคนน้องเปิดแอร์ค่อนข้างสูง เกือบสามสิบองศาเลย คงไม่ชอบอากาศหนาวเท่าไหร่ ร่างสูงเดินตามเจ้าของห้องที่อยู่ในชุดนอนขาสั้นไปที่เตียง เขาจึงยื่นไอแพดอีกเครื่องที่พึ่งซื้อมาให้น้องไป
“พี่ให้เลขาซื้อมาให้ใหม่ เอาไว้ใช้ เดี๋ยวแมคบุ๊คพรุ่งนี้เราค่อยไปเลือกเอา”
“ไม่ต้องซื้อก็ได้นะครับ จิวเกรงใจ” จิวโบกมือปฏิเสธอย่างเกรงอกเกรงใจ อีกหน่อยก็ปิดเทอมแล้วบางทีเขาอาจจะลองหางานทำดูไม่อยากให้พี่ภาสจ่ายให้ทุกอย่างขนาดนั้น
“อย่าเกรงใจเลย เดี๋ยวก็ฝึกงานแล้วไม่ใช่เหรอ มันสำคัญ เราตกลงกันแล้วนี่ว่าให้พี่ดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเราได้”
“ขอบคุณครับ” สุดท้ายจิวก็ยกมือไหว้รับไอแพดมาเปิด ใช้เวลาลงทะเบียนไอดีครู่หนึ่งก็ใช้ได้ วันนี้พวกเราจะเลือกชื่อในเว็บหนึ่ง ที่มีชื่อพร้อมความหมายมากมายให้เลือก ว่าแล้วจิวก็กดเข้าตามคนพี่ทันที
“เอาชื่ออะไรดีนะ”
“ชื่อไทยหรือชื่อจีน” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะกวาดตาอ่านชื่อมากมายบนหน้าจอ
“ไทยดีกว่าครับ พี่ภาสเลือกเลย แต่ขอไม่เอาชื่อผู้ชายจ๋านะ จิวเป็นเกย์อะชอบชื่อแบบ อธิบายไม่ถูก ที่ไม่ใช่แบบ สมชาย สมศักดิ์” มือบางเกาแก้มอย่างเขินอาย แต่ต้องบอกให้คนพี่รับรู้จริง ๆ จะได้ไม่เสียเวลาเลือกมา นอกจากคนพี่จะไม่หัวเราะหรือมีสีหน้าแปลก ๆ ให้เห็นแล้วยังพยักหน้าเบา ๆ
“พี่พอจะเข้าใจ เดี๋ยวเลือกดูที่เข้ากับเราที่สุด”
เวลาสามทุ่มสองบุรุษนั่งเงียบเลือกชื่อในเว็บอย่างจดจ่อ จิวไม่ค่อยรู้เรื่องชื่อหรือความหมายอะไรเลย ได้แต่นั่งเลื่อนรายชื่อมากมายไปมา รอให้คนโตกว่าเลือกให้ พี่ภาสอาจจะรู้เรื่องชื่อมงคล ชื่อน่าใช้อะไรพวกนี้มากกว่าเขา
“รินลดาไหม เข้ากับจิว หมายความว่า ผู้ยินดีหรือรื่นเริงอยู่เสมอ”
จิวส่ายหน้าเบา ๆ ความหมายดีแต่เขาไม่อยากได้รินลดา ทั้งสองจึงก้มหน้าค้นชื่อต่อ ภาสกรพยายามหาชื่อที่เข้ากับจิวมากที่สุดในสายตาเขา ส่วนจิวจะเป็นคนดูชื่อเองว่าชอบชื่อหรือเปล่า ไม่ชอบก็แค่เลือกใหม่
“ธมนวรรณไหม มีผิวพรรณสวยงาม”
จิวส่ายหน้าอีกครั้ง
“งั้นพี่เลือกใหม่” เขาไม่ได้รู้สึกไม่ดี อย่างที่บอกว่าเขามองแค่ความหมายไม่ได้สนตัวชื่อ เลื่อนหาอยู่นานก่อนจะเจอกับชื่อหนึ่งที่คิดว่าน่าจะใช้ได้
“พนัชกรไหม หมายถึงมีมืองามดั่งดอกบัว”
“ชื่อเพราะนะครับ แต่ความหมายมีแต่ความงาม”
“พี่เลือกที่ความหมายตรงกับเรา”
จิวหูแดงรีบหันหน้าหนีอย่างอดไม่ได้เพราะถูกชมต่อหน้า ที่แท้แต่ละชื่อไม่ได้เลือกตัวชื่อเลยแต่เลือกความหมายเป็นหลัก แต่พอถูกเปรียบว่ามีมืองามดั่งดอกบัวก็เขินอายไม่น้อย แต่ชื่อนี้สำหรับเขาแล้วคิดว่าใช้ได้
“เอาชื่อนี้ก็ได้ครับ เพราะดี นามสกุลค่อยเลือกก็ได้ครับ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว”
“นามสกุลพี่เลือกเอาไว้แล้ว นายบอกว่าให้พี่เลือกตามใจพี่” ปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้น้อง จิวเปิดอ่านทว่าด้วยลายมือแล้วเขามองไม่ค่อยออกว่าคนพี่เขียนอะไร
“อะไรเหรอครับ ผมกลัวอ่านไม่ถูก”
“นาถสุรีย์วิภา” มือหนาหยิบปากกามาเขียนให้คนน้องอีกรอบแบบที่อ่านออกว่าเป็นตัวอะไรมากที่สุด
“ยาวจัง หมายความว่าอะไรเหรอครับ”
“มีแสงอาทิตย์เป็นที่พึ่ง”
“ก็ดีนะครับ ดีมากเลยแหละ พนัชกร นาถสุรีย์วิภา แค่นี้ก็เพราะมากแล้ว ถ้าจิวคิดเองคงไม่ดีเท่าพี่” จิวเขียนชื่อนามสกุลที่ตกลงจะเอาลงในกระดาษพร้อมทั้งความหมายเผื่อมีใครถาม คนที่มีชื่อนามสกุลรวมกันได้สามพยางค์ออกจะไม่คุ้นชินไปบ้างแต่การเริ่มต้นใหม่ก็ต้องก้าวออกจากอดีตจริง ๆ
“พี่ดีใจที่เราชอบ งั้นนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะพาไปซื้อของ” เห็นน้องชอบเขาก็ดีใจ เสร็จจากการคิดชื่อก็ต้องแยกย้ายกันพักผ่อน ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปที่ประตูเพื่อกลับห้อง หากไม่ได้ยินเสียงเรียกของน้องเข้าเสียก่อน
“แล้วพี่ภาสชื่อว่าอะไรเหรอครับ จิวลืมถาม” เสียงหวานถามขึ้นอย่างสงสัย ใบหน้าคมหายหันกลับมาด้วยใบหน้าผ่อนคลาย แววตาซุกซนพาดผ่านไปครู่หนึ่งไม่นานก็หายไป
“พี่ชื่อภาณุ ภาสกร ภาณุโรจน์ครับ” พูดจบก็เดินออกจากห้องไปแล้ว จิวพยักหน้าจดจำเอาไว้ จากนั้นก็ยกกระดาษชื่อของตัวเองขึ้นมาดูอย่างมีความสุข ไม่ให้ใช้เขาก็ไม่ดื้อรั้น เปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่ก็ไม่เป็นไรหรอก พี่ภาสก็เปลี่ยนนี่
ชื่อใหม่พร้อมกับชีวิตใหม่ของเขาคงเริ่มแล้วจริง ๆ
สปอยล์ตอนหน้า
“หมามันไม่มีเจ้าของหรอกลูก แม่มันก็เป็นหมาจร คลอดเสร็จก็ไปไหนไม่รู้ น่าจะมีผัวเป็นหมาผู้ดี เอาไปเลี้ยงเลย”
“พี่ภาสเราเลี้ยงดีไหมครับ”
“เพื่อนพี่เคยบอกว่าหมาพันธ์นี้สติไม่ค่อยดีนะ ชอบกัดโซฟา ช่างเถอะ พี่รวย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ชื่อตัวละคร
ลู่จิว พนัชกร นาถสุรีย์วิภา
ลู่จิว หมายถึง หยกแห่งโชคชะตา
พนัชกร หมายถึง มีมืองามดั่งดอกบัว
นาถสุรีย์วิภา หมายถึง มีแสงอาทิตย์เป็นที่พึ่ง
ภาณุ ภาสกร ภาณุโรจน์
ภาณุ หมายถึง แสงสว่าง ดวงอาทิตย์
ภาสกร หมายถึง พระอาทิตย์
ภาณุโรจน์ หมายถึง แสงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์
มีแสงอาทิตย์เป็นที่พึ่ง = ตาศรณ์แน่นอน จำความหมายชื่อตาศรณ์ได้
สุขนิยมจริง ๆ นะคะ แต่ช่วงนี้เหมือนแก้วแตกละเอียดที่สองพี่น้องเขามานั่งช่วยกันติดกาวซ่อมแซมแก้วยังไงไม่รู้ กอดกันไปก็ปลอบกันไป ใกล้มีความสุขแล้วค่ะ มีหมา = ชีวิตบันเทิงขึ้น 300%
ขออนุญาตแจ้งข่าว มี *****คในเมบนะคะ