บทที่ 1 อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน
“ไปตายที่ไหนก็ไป” นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากผู้เป็นพ่อ ไม่ใช่สิ เขาไม่ใช่พ่อ ตลอดยี่สิบสองปีที่ผ่านมาจิวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณพ่อคุณแม่ ตระกูลหยางพรั่งพร้อมไปด้วยทุกอย่าง ห้อมล้อมไปด้วยเงินทองและความสุข ทว่าใครจะคิดว่าทุกอย่างจะพังทลายลงเหมือนฝันตื่นหนึ่ง
เมื่ออาทิตย์ก่อนมีผู้ชายคนหนึ่งมาที่บ้านด้วยสภาพถูกทุบตีและผอมจนแทบติดกระดูก ลู่จิวสงสารจับใจ แต่ครู่ต่อมาคนน่าสงสารกลับกลายเป็นเขาแทน ผู้ชายคนนั้นคือลูกแท้ ๆ ของคุณพ่อคุณแม่
แล้วเขาเป็นลูกใคร ลูกสาวใช้คนหนึ่งที่สลับตัวเด็ก พาลูกของเจ้านายไปเลี้ยง ไร้ความรักมอบให้ ชีวิตลำบากลำบน ถูกทุบตีมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาได้เพราะข้างบ้านคอยแบ่งข้าวให้กิน ทำงานหาเงินมาใช้หนี้พ่อแม่ที่ติดพนัน เรียนจบเพียงมัธยมปลายเท่านั้น
ที่รู้ความจริงเพราะแม่หลุดปากพูดตอนมึนเมา หวังจับเจ้าตัวไปขายให้เสี่ยตัณหากลับในวันพรุ่งนี้ กาลในวัยยี่สิบสองจึงขอยืมเงินข้างบ้านหนีมาที่นี่ อย่างน้อยหากพ่อแม่ตัวจริงไม่ยอมรับก็ขอเร่รอนอยู่แถวนี้ยังดีกว่ากลับไป
ลู่จิวยิ่งฟังก็ยิ่งหดหู่ สงสารอีกฝ่ายจับใจ เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องใดทั้งนั้น วันเดียวกันคุณพ่อคุณแม่ก็พาไปตรวจดีเอ็นเอ สามวันต่อมาก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นลูกคนอื่นจริง ๆ สภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้ชายคนนั้นน่าสงสารจนพ่อแม่โมโหไล่ตะเพิดลูกกาเช่นเขาออกจากบ้านโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างบางจึงมาอยู่ที่นี่พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าและหนังสือเรียน หยุดยืนอยู่ริมสะพานกว้างนานหลายชั่วโมงแล้ว เบื้องล่างเป็นสายน้ำไหลเชี่ยว ตกลงไปผู้ใดรอดชีวิตคงมหัศจรรย์เต็มที
ไม่รู้สิ ไม่รู้จะไปไหน ตอนนี้สมองเขาตื้อไปหมดแล้ว เขาไม่เคยไปไหนคนเดียว ตลอดชีวิตล้วนมีพ่อแม่ เพื่อน หรือไม่ก็คนขับรถพาไป แต่ตอนนี้กลายเป็นคนเร่ร่อนแล้ว
ยืนรอให้พ่อแม่มาตามก็ไม่เห็นวี่แวว มือถือในกระเป๋าไร้เสียงเรียกเข้า แล้วจะไปที่ไหนดี อยากไปที่ที่มั่นใจว่าวันพรุ่งนี้จะไม่เจ็บปวดเช่นวันนี้ก็คิดออกอยู่แค่ที่เดียว
// กึก //
ไม่คิดว่าจะมีคนมายืนข้าง ๆ ในเวลาและสถานการณ์นี้ ดวงตาเหม่อลอยหันมองคนข้างกายนิ่ง ๆ อีกฝ่ายคงอายุมากกว่าเขาสักสิบปี สวมใส่ชุดทำงาน กระทั่งมองท่ามกลางความมืดจิวยังรู้ว่าชุดที่สวมใส่อยู่มีราคา คนรวยก็เจ็บปวดเป็นเช่นกันสินะ
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ใบหน้าเศร้าหมองไม่แพ้เขาเลย ทั้งยังถือกระถางต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ในมือ ลู่จิวเหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ เพราะรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง เป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ทุกคนในโลกใบนี้เจ็บปวดเช่นเขา
โดยเฉพาะลูกตัวจริงของตระกูลหยาง ผู้ชายคนนั้นผ่านความเจ็บปวดมามากแล้ว ร่างกายที่มีแต่รอยช้ำ ตัวเล็กผอมแห้งยังติดตาเขาอยู่เลย ตอนนี้ก็เป็นเขาบ้างที่ต้องเจ็บปวด
สองบุรุษต่างวัยยืนเคียงข้างกันบนสะพานสูงตระหง่าน ต่างคนต่างเข้าสู่ภวังค์ความเจ็บปวดในใจไร้เสียงพูดคุย ไร้เสียงร่ำไห้มีเพียงสายตาเหม่อลอยและหยาดน้ำตาหลั่งไหลอาบดวงหน้าอยู่เช่นนั้น
ดวงตาแดงก่ำอดไม่ได้ที่จะหันมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนข้าง ๆ อีกครั้งเมื่อเจ้าตัวยืนนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดเลยตั้งแต่มาถึง กระถางต้นไม้ในมือมีต้นชวนชมต้นเล็กอยู่ ร่างบางเหลือบมองสิ่งที่เจ้าตัวถือด้วยความสงสัย คล้ายว่ากลัวตกตายไปแล้วจะมีคำถามค้างคาใจติดตามไปยังปรโลก
“จะไปที่เดียวกันหรือครับ”
“อืม” เสียงทุ้มเอ่ยตอบอย่างเบาบางแทบไม่ได้ยิน ทว่าตรงนี้เงียบสงัด กระทั่งเสียงหายใจของกันและกันก็คงได้ยิน ภาณุหันมองคนถามครู่หนึ่ง ร่างกายผอมบาง สูงประมาณคอเขาเท่านั้น คงพึ่งอายุยี่สิบต้น ๆ อายุเท่านี้ก็มีเรื่องทุกข์ใจแล้ว ไม่ดีเลย โลกนี้ใจร้ายเกินไปจริง ๆ
“เอาต้นไม้ไปด้วยหรือครับ” เด็กหนุ่มข้างกายยังคงถามต่อ เวลานี้ยังเป็นเจ้าหนูจำไม ไม่อยากคิดว่าเวลาปกติจะร่าเริงมากขนาดไหน ร่าเริงแล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้
“ปล่อยไว้ก็ไม่น่ารอด ดูแลไม่ค่อยเป็น ดูสิ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมหัวเราะเบา ๆ อย่างสมเพชเวทนาตัวเอง เป็นถึงผู้บริหารทว่าแค่ต้นไม้ต้นเดียวกลับดูแลไม่ได้
จิวละสายตาจากใบหน้าเศร้าหมองมองดูต้นไม้เล็ก ๆ ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดู ยื่นนิ้วไปจิ้มต้นมันเบา ๆ ก็เห็นรอยบุ๋มเข้าไป ไม่ใช่ว่าคุณคนนี้รดน้ำมันบ่อยจนเป็นแบบนี้หรอกนะ
“มันบวมน้ำนี่ พี่รดน้ำมันบ่อยหรือเปล่าครับ”
“ปกติ วันละครั้ง”
“ชวนชมไม่ชอบน้ำ”
“มันคือต้นชวนชมเหรอ พี่ไม่รู้ คุณแม่ท่านปลูกเอาไว้ก่อนจะเสีย แค่อยากรู้ว่าสุดท้ายดอกมันจะสีอะไรเลยรดน้ำต่อ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรเลยนะครับ นี่ไง ผมบอกพี่แล้ว พี่แค่กลับไปแล้วดูแลมันต่อ” เสียงหวานพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายกลับใจแล้วถอยออกจากตรงนี้
ใบหน้าคมคายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนหันมองเขา เราสองคนเผลอสบตากันอยู่นานก่อนคนอายุมากกว่าจะหลบตาไป
“รอดูเป็นเพื่อนกันไหม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อยากรู้ว่ามันจะสีอะไร” แทนที่จะกลับคนเดียว อีกฝ่ายกลับชักชวนคนแปลกหน้าอย่างลู่จิวให้กลับไปด้วยกัน น้ำเสียงราบเรียบดูก็รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่นเลย ร่างบางหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“ถูกไล่ออกจากบ้านแล้ว ไม่มีบ้านอยู่แล้ว”
“มีห้องว่างห้องหนึ่ง อยู่ได้”
“จิวไม่มีเงินนะ”
“ทำอาหารเป็นไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น ลู่จิวนึกครู่หนึ่งก็พยักหน้า แม้จะทำได้ไม่เยอะแต่อาหารทั่วไปเขาก็ทำบ่อย
“เป็นครับ”
“งั้นพี่จ้างทำอาหาร เดี๋ยวออกค่าใช้จ่ายค่าเทอมให้ ใส่ชุดมหาลัยยังเรียนอยู่ใช่ไหม” นิ้วชี้ไปที่ชุดที่เด็กหนุ่มสวมใส่อยู่ เงินนั้นเขามีมากพอจะใช้ได้ทั้งชีวิต ขาดก็แค่ความสุข
คนไร้บ้านหมาด ๆ เงียบไปนาน ลู่จิวไม่เคยไปนอนบ้านคนอื่นเลยนอกจากเพื่อน การถูกชักชวนให้เขาไปอยู่ด้วยแบบนี้ออกจะน่ากลัวไปหน่อย แต่แล้วอย่างไร นี่คือทางเลือกที่คนแปลกหน้าหยิบยื่นให้เขาไม่ใช่หรือ
ร่างบางเงยหน้ามองอีกฝ่าย ตอนนี้เจ้าตัวกำลังใช้นิ้วจิ้มต้นชวนชมเหมือนหาอะไรทำระหว่างรอคำตอบ เหมือนเขาตกลงหรือไม่ตกลงก็ได้ทั้งนั้นไม่ได้คาดคั้น
“พี่เอาจริงเหรอ”
“ไม่อยากรอด้วยกันเหรอ” ภาณุพยักหน้าเบา ๆ ตอนนี้ชีวิตเขาเรียกได้ว่าย่ำแย่มากในด้านสภาพจิตใจ เขาเสียใจเวลากลับบ้าน เสียใจเวลาบ้านเงียบ เสียใจเวลาเห็นต้นไม้ค่อย ๆ ตาย คิดถึงแม่เวลากินข้าว
กระทั่งมีเงินก็ยังเสียใจที่ต้องใช้เงินคนเดียว เงินมากมายก็รักษาแม่ไม่ได้ การหมดไฟในการทำงานกำลังเล่นงานเขา ตอนนี้ชีวิตต้องการใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อนเขาได้ ไม่ต้องปลอบโยนก็ไม่เป็นไร นั่งร้องไห้เป็นเพื่อนกันก็พอแล้ว
จิวคิดอยู่นานสุดท้ายก็พยักหน้า
“อื้อ ก็ได้ครับ”
“เอาบัตรประชาชนพี่ถ่ายส่งไปให้เพื่อนเก็บไว้ก่อนก็ได้”
มือเล็กยื่นไปรับบัตรประชาชนอีกฝ่ายมาถ่ายภาพเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นบัตรกลับคืนไป ทว่าเขาไม่ได้ส่งให้ใคร เพราะไม่รู้ว่าจะส่งให้ใคร เพื่อนก็รู้ผลตรวจตั้งแต่ไปส่งเขาที่บ้านแล้ว รู้ว่าเขาถูกไล่ออกจากบ้าน แต่พวกเขากลับไปตอนที่จิวขึ้นไปเก็บของ ลงมาก็ไม่เห็นใครเลย
ร่างบางมองพี่ชายแปลกหน้าอย่างสำรวจขณะอีกฝ่ายกำลังเก็บบัตรเข้ากระเป๋า ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็ตั้งใจจะตายแล้ว กลับกับคนแปลกหน้าที่คุยกันมานานก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้น หมายถึงในใจเขาตอนนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความตายแล้ว
“กลับบ้านกัน พี่ถือกระเป๋าให้” กระเป๋าถูกคนพี่เอาไว้ให้จิวเดินตามไป
“กลับยังไงครับ”
“ปั่นจักรยานมา บ้านอยู่แถวนี้ มาเร็ว”
จิวเดินตามอีกฝ่ายอย่างงุนงง อยู่ดี ๆ ก็มีบ้านอยู่ มีคนช่วยค่าใช้จ่าย เดินตามร่างสูงที่ไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ไปถึงจักรยานแม่บ้านคันหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะรองรับน้ำหนักของพวกเราได้ไหม
ภาณุยกกระเป๋าหนัก ๆ มาเปิด ให้เจ้าของเขาเลือกของแบ่งใส่ตะกร้าด้านหน้า ส่วนกระเป๋าเขาจะสะพายไว้ข้างหน้าเอง เพราะไม่รู้ว่าจะได้เพื่อนกลับบ้านด้วยจึงไม่ได้นำรถมา ของสองสิ่งทั้งต้นไม้และจักรยานล้วนเป็นของมารดาทั้งนั้น วันนี้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับบ้านด้วยเสียอย่างนั้น
“ถือไอ้อ้วนนี่ให้หน่อย อย่าทำตกล่ะ ไม่งั้นพวกเราได้ไปเกิดตอนนี้แน่ ไม่มีอะไรให้รอดูแล้ว”
“ฮะฮะ รับทราบครับ” เสียงหัวเราะแรกของวันดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือบางรับกระถางชวนชมมากอดเอาไว้ จากนั้นก็คร่อมนั่งจักรยาน มือจับเสื้อคนพี่แน่น ไม่นานล้อก็เคลื่อนออกจากสะพานสูงตรงนี้ ห่างจากความเงียบสงัด ห่างจากเสียงน้ำไหลเชี่ยวน่ากลัวออกไป ตลอดทางมีเสียงพูดคุยของเราสองคนแทน
นับว่าเป็นการเจอกันที่แปลกอย่างไม่น่าเชื่อ คนแตกสลายสองคนกำลังชักชวนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อรอดูว่าต้นชวนชมบวมน้ำต้นนี้จะออกดอกสีอะไร
“อะ พี่ให้” เนื้อชิ้นใหญ่วางอยู่ในถ้วย ร่างบางหันมองพี่ภาสด้วยความงุนงง
“กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
“ขอบคุณครับ จิวให้พี่คืนบ้าง” จิวทำบ้าง ทว่าสิ่งที่ตักกลับไม่ใช่เนื้อหรือลูกชิ้น ภาณุมองของตอบแทนบนถ้วยตัวเองด้วยความขบขัน
“กระเทียมเจียวกับหอมเนี่ยนะที่ให้พี่”
“คิกคิก”
สวัสดีค่ะ เรื่องใหม่มาแล้ว เรื่องนี้สุขนิยมในส่วนของพระนาย แต่ส่วนกับตัวละครอื่นก็มีปมนิด ๆ เน้นความสุขเป็นหลัก มารอดูดอกของชวนชมต้นนี้ไปด้วยกันนะคะ