เตือน ในตอนมีตัวละครที่มีอาการป่วยทางจิตเวชประเภทหนึ่งจากอดีตที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิด พฤติกรรมได้ แต่เนื้อหาไม่ระบุโรคชัดเจน ไม่ระบุว่าบางความคิดหรือพฤติกรรมใดของตัวละครที่มาจากโรค หรือมาจากนิสัยส่วนตัวที่ถูกหล่อหลอมมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านระดับ 8
เตือนอีกครั้ง เตรียมยาพารา
ใช้เวลาเดินทางจากคุณหมิงประเทศจีนกลับมาถึงไทยประมาณสามชั่วโมง สี่โมงเย็นศรณ์ก็เหยียบโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งแล้ว แม้อายุใกล้เข้าเลขห้าเต็มทีทว่ากลับดูไม่แก่เลยจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สองเท้าก้าวเข้าลิฟต์ไปอย่างเร่งรีบ ปลายทางคือห้องรักษาตัวของลูกชายตัวจริงของเจ้านาย
ห้องพิเศษวีวีไอพีถูกเปิดออก ห้องรับแขกด้านหน้ามีคนเป็นเจ้านายนั่งเซ็นต์เอกสารอยู่ ภรัณยูไม่ได้เหลือบมองคนป่วยบนเตียงแต่เดินตรงไปหานายท่านหยาง
“นายครับ”
“เสร็จงานแล้วเหรอ”
“ครับ” เอกสารฉบับหนึ่งถูกยื่นให้อีกฝ่ายไป นายท่านหยางที่อายุห้าสิบห้าปีแล้วยิ้มบางรับไปดู แน่นอนอยู่แล้วว่าศรณ์จะทำงานได้อย่างราบรื่นเช่นทุกครั้ง
ใบหน้าที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเงยหันมองคนตรงหน้า สายตาที่จดจ้องเขาอยู่อย่างมีคำถามทำให้มือหนาวางเอกสารบนตักทั้งหมดไว้ข้าง ๆ
“อยากถามอะไรก็ถามมา”
“ทำไมนายถึงไล่คุณจิวออกจากบ้านครับ”
“ถ้ารู้เหตุผลแล้วจะถามทำไม”
“ให้อยู่ที่บ้านก่อนก็ได้นี่ครับ จนกว่าผมจะกลับมา”
“ดูลูกฉันสิ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสั้น ๆ ไม่ได้ตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามมา พยักเพยิดหน้าไปยังคนบนเตียงที่กำลังนอนหลับอยู่หลังกินข้าวกินยาไปเมื่อตอนบ่าย
ศรณ์พึ่งมีโอกาสมองคนที่หลับอยู่บนเตียง ใบหน้าซูบตอบทว่ายังมองเห็นความคล้ายคลึงกับคุณหญิงเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ มือและปลายเท้าที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาผอมแห้งจนน่าสงสาร ร่องรอยการถูกทำร้ายที่เป็นแผลเป็นยังคงอยู่
“ดูพวกนั้นทำกับลูกฉันสิ กระทั่งชื่อกาลมันยังเอามาจากคำว่ากาลกิณี ทั้งที่ลูกมันฉันกับภรรยาคิดตั้งหลายวันกว่าจะได้ชื่อลู่จิว” นายท่านหยางเอ่ยเสียงสั่น เขาเจ็บที่ไล่จิวออกไป แต่พอเทียบจิวกับกาลแล้วจะให้เขาใจดีลงได้ยังไงกัน ดูลูกเขาตอนนี้สิ
ผู้เป็นเลขามองคนเจ็บบนเตียงนิ่ง ๆ ฟังเหตุผลมากมายของผู้เป็นนายแล้วก็เรียบเรียงคำตอบออกมาได้ว่า ไล่คุณจิวออกจากบ้าน ติดตัวไปเพียงเสื้อผ้า หนังสือเรียน มือถือ ใบเกิดและบัตรประชาชน ไม่มีเงินสักบาท เพราะอยากให้เจ็บปวดเหมือนคุณกาล หรือเพราะโมโห หรือเพราะไม่อยากใจดีกับลูกของคนผิด หรืออะไรสักอย่าง
“คุณก็จัดการพ่อแม่เขาสิครับ คุณจิวคือคนที่พวกคุณเลี้ยงมานะครับ อย่างน้อยเงินสักบาทก็ยังดี ผมเข้าใจเรื่องที่คุณกาลเจอ ไม่มีใครสมควรโดนแบบนี้ แล้วคุณจิวสมควรโดนเหรอ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะครับ หรือไม่คุณก็ควรบอกผม คุณไม่เอาเขาแต่ผมดูแลเขาได้ ถ้ามีคนไม่ดีไปทำอะไรเขาขึ้นมาจะทำยังไง คุณก็รู้ว่าเด็กคนนั้นแทบไม่ได้ออกจากบ้านเลย”
“เขาไม่ใช่ลูกฉัน” คนแก่กว่าเมินหน้าหนี มือกอดอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับคำพูดที่อีกฝ่ายพึ่งพูดมา นั่นยิ่งทำให้ศรัญญูเริ่มมีอารมณ์คุกกรุ่นมากกว่าเดิม
“เขาอาจจะเป็นลูกอีกคนก็ได้”
“เอาไปอ่านให้เต็มตา หมอก็บอกแล้วว่าดีเอ็นเอไม่ตรง เลิกยัดเยียดเด็กคนนั้นกลับเข้ามาสักที”
กระดาษสี่แผ่นถูกคว้ามาโยนใส่ลูกน้อง คนถูกตะคอกใส่ไม่ได้ฟังเลย ตาคมจดจ้องเอกสารที่มีชื่อเจ้าของดีเอ็นเออยู่ คุณจิวไม่ใช่ลูกของพวกเขาจริง ๆ
ไม่รู้ทำไม อยู่ดี ๆ เขาถึงคิดว่าดีแล้วที่คุณจิวไม่ใช่ลูกของพวกเขา ตอนนี้เขาแค่อยากได้คำตอบที่ใจร้ายไล่คุณจิวออกจากบ้านโดยไร้เงินสักบาท แต่ถ้าจะให้อยู่ด้วยกันสี่คนก็เหมือนจะมองภาพอนาคตออกว่ามันจะไม่ได้ดีเหมือนที่ผ่านมา
“ตอนนี้ชีวิตฉันกับภรรยามีแค่เด็กคนนี้ อย่าพูดชื่อจิวให้ได้ยินอีก ถ้ารักมากนายก็ไปตามหาพ่อแม่แท้ ๆ ของมันไป แล้วเอามันไปหาพ่อแม่มันเลี้ยง”
“คนเจ็บนอนรักษาตัวอยู่ตรงหน้ายังไล่อีกคนกลับไปทั้งที่รู้ว่าเขาจะต้องเจอแบบเดียวกัน คุณโกรธมากก็ไปเอาคืนพวกเหี้ยนั่นสิ เอาคืนให้สาสมที่มันทำแบบนี้ หวังว่าตอนเอาคืนคนต้นเรื่องก็ให้หนักเหมือนทำกับคุณจิวที่ไม่รู้เรื่องละกันนะครับ อย่าให้ผมได้ยินว่าไม่เอาเรื่องแต่ตามระรานคุณจิวไม่หยุด”
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกาล เด็กคนนี้โดนมาหนักยังเป็นห่วงว่าจิวจะขาดพ่อแม่ถ้าฉันเอาเรื่องพวกมัน ถ้ากาลขอไว้ฉันก็อาจจะไม่ทำ ทำไม นายจะทำอะไรฉันได้” น้ำเสียงท้าทายเอ่ยขึ้น คาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของผู้เป็นเลขาที่ไม่สามารถสู้ตนเองได้ ทว่านายท่านหยางคิดผิด
“คุณก็รู้ว่าผมทำได้” เฟยหลงชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเลขาส่วนตัวคนนี้ ศรณ์หันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นนายด้วยใบหน้าเยือกเย็น
“คุณอาจจะลืมว่าผมมาจากตระกูลอะไร ผมทำงานให้คุณเพราะตอนนั้นตระกูลผมตกต่ำ แต่ตอนนี้ตระกูลผมกลับมารุ่งเรืองแล้ว อย่าลืมว่าตระกูลหลักผมอยู่อิตาลี คุณไม่รู้ก็ไม่แปลก แต่รู้ไว้ว่าผมทำคุณได้
ที่ผมยังทำงานให้คุณงก ๆ อยู่ตอนนี้ก็เพราะผมอยากอยู่กับคุณจิว ผมเอ็นดูคุณจิวเหมือนลูกคนหนึ่งผมเลยอยู่ที่นี่เท่านั้น คุณไปหาคนมาก็แล้วกัน สอนงานเสร็จผมจะไป แล้วก็อย่ามายุ่งเกี่ยวกับคุณจิวอีก”
“ตามใจ อย่าพากันมากราบเท่าพึ่งใบบุญผมอีกก็แล้วกัน ไปก็ไปให้รอด” เฟยหลงไม่สามารถห้ามอะไรได้แล้ว สายตาคมกริบที่จดจ้องเขาอยู่ตอนนี้ทำให้นายท่านใหญ่ตระกูลหยางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อยคนหนึ่ง เขาแทบไม่ได้สนใจตระกูลเก่าของศรณ์เลย ตกต่ำแล้วก็ตกต่ำไป แต่ยังไงเสียก็คงเทียบเท่าตระกูลเขาไม่ได้อยู่ดี เขามั่นใจแบบนั้น
ศรณ์จดจ้องอดีตเจ้านายอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะคืนกระดาษสามแผ่นกลับไป เก็บไว้เพียงเอกสารของคุณจิวแล้วก้าวออกจากห้อง ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกันอีก
จังหวะเดียวกับคุณหญิงเดินเข้ามาพอดี ตาคมจดจ้องผู้หญิงที่คิดว่าจะใจดีกับคุณจิวมากที่สุด มองด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะเดินจากไปไร้คำทักทาย
ไม่มีตระกูลหยางก็ไม่เป็นไร เด็กคนนั้นไม่ผิดที่กลับมา เขาเข้าใจ หนีจากความเจ็บปวดเป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่คุณจิวก็ไม่ผิดเช่นกัน คุณจิวไม่ควรเจ็บปวด หลังจากนี้ก็ขอให้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง
คุณจิวยังมีเขาอยู่ ไหนจะคนที่ช่วยเหลือคุณจิวอีกคน ถ้าผู้ชายที่ชื่อภาสกรคือคุณภาสกร ภานุโรจน์ ตามที่เขาคิดเอาไว้เขาก็เบาใจ นักธุรกิจคนนั้นนิสัยดี เขากับอีกฝ่ายแค่นี้ก็ปกป้องคุณจิวได้แล้ว ตระกูลหยางนับเป็นอะไรได้ ให้พวกเขาใช้เวลากับคุณกาลไปเถอะ
หยางลี่จูมองตามประตูที่ปิดลงไปด้วยสายตาเศร้าหมอง กระทั่งคุณศรณ์ยังดูเด็ดเดี่ยวในความคิดมากกว่าเธอที่เป็นแม่ แม้จะยังรักน้องจิวอยู่แต่เธอไม่อาจจะเห็นหน้าอีกฝ่ายได้เลยในตอนนี้ ทั้งตอนสามีไล่อดีตลูกชายออกจากบ้านไปเธอก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะสนับสนุนหรือห้ามปราม
“คุณคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอก็รู้ว่าศรณ์รักจิวขนาดไหน ดีไม่ดีตรวจดีเอ็นเอออกมาเทียบอาจจะเป็นพ่อลูกกันก็ได้ใครจะไปรู้” นายท่านหยางเอ่ยประชดประชันด้วยความคับแค้นใจ ไม่นานก็ถูกภรรยาแตะแขนห้ามปรามเช่นที่ชอบทำ
“คุณศรณ์เป็นหมันคุณก็รู้ เพราะเขามีลูกไม่ได้ถึงรักน้องจิวมาก อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ แล้วลูกเป็นยังไงบ้าง น้องทำอาหารมาเยอะเลย” มืองามยกตะกร้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ เธอกลับบ้านไปทำอาหารมาเพราะไม่อยากทำที่นี่กลัวจะรบกวนสามีที่ต้องทำงานและลูกที่ต้องพักผ่อน นายท่านหยางลูบมือภรรยาเบา ๆ หันมองคนกำลังหลับสบายบนเตียง
“ร่างกายไม่เป็นอะไรมาก มีกระดูกสันหลังและตรงไหล่จากการทำงานหนักตั้งแต่เด็กต้องรักษา เรื่องสภาพจิตใจยังต้องพบจิตแพทย์อีกนาน ผมยกมือเฉย ๆ ลูกยังกลัวเลย ไม่อยากคิดว่าอยู่ที่นั่นจะถูกเขาตีมากี่ร้อยกี่พันครั้ง ทั้งที่เรา”
“พอเถอะค่ะ น้องเองก็รู้สึกแย่ ยิ่งเปรียบเทียบจิวกับกาลน้องยิ่งรู้สึกผิดต่อลูก มือน้องจิวมีเราทาครีมบำรุงให้ทุกคืนก่อนนอน แต่กาลต้องทำงานจนมือแตกมีแต่แผล จิวไม่ผิดก็จริง แต่เรามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกเดิมไม่ได้แล้ว คุณศรณ์คงเกลียดพวกเราไปแล้ว”
ในที่สุดผู้เป็นภรรยาก็หลั่งน้ำตาอีกครั้งด้วยความอึดอัด ไปซ้ายหรือขวาก็มีคนเจ็บปวดกันหมดไม่รู้จะทำยังไงดี นายท่านหยางรีบดึงภรรยามากอด
“อย่าร้อง ศรณ์เข้าใจพวกเรา แต่เพราะห่วงจิวมากเลยโมโหขนาดนี้ กระทั่งจิวเองก็อาจจะเข้าใจพวกเราที่ทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมเก็บของออกไปง่าย ๆ หรอก”
“แล้วเรื่องชื่อลูกล่ะคะ”
“หลังออกจากโรงพยาบาลค่อยพาลูกไปเปลี่ยน เอาหยางเฟยเจินตามที่เราคิดกันเมื่อคืนก็ได้ จริงสิ จิวยังใช้นามสกุลเรา”
“เอาไว้ก่อนเถอะค่ะ” ลี่จูลูบแขนสามีเบา ๆ ทว่าสามีเธอเธอรู้ดี คนคนนี้เรื่องบางเรื่องก็ไม่ฟังใครเลย
“ไม่ได้ เด็กคนนั้นไม่มีดีเอ็นเอตรงกับพวกเราเลย ลูกบุญธรรมก็ไม่ใช่อีก ถ้าไปทำเรื่องเสียหายมาจะยุ่งยากเอา พวกตระกูลรองจ้องจะเล่นงานผมอยู่คุณก็รู้ ถ้าเกิดจิวโดนหลอกให้ทำเรื่องไม่ดีจะเสียมาถึงเราได้”
เสียงพูดคุยอยู่ห่างจากเตียงผู้ป่วยนักทว่าก็ไม่ใช่จะไม่ได้ยิน คนที่ควรหลับพักผ่อนค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น สายตายากที่จะคาดเดามองเพดานนิ่ง ๆ ฟังเสียงพูดคุยด้านนอกไม่ได้บอกให้พวกเรารู้ว่าเขาตื่นแล้ว
ร่างผอมแห้งไม่อยากขยับตัวทำอะไรเลยเพราะไม่มีแรง แผลทั่วไปหายแล้วยังเหลือแผลที่หนักทั้งยังมีอาการช้ำใน ร่างกายเขาที่ถูกใช้งานแลกเงินตั้งแต่เด็กบอบช้ำไปหมดแล้ว วันนี้ได้พบพ่อแม่ ได้เห็นว่าพวกเขาใจดีขนาดไหนเขายิ่งโกรธแค้นลู่จิวและพ่อแม่สารเลวนั่น
ยี่สิบสองปีที่ผ่านมาเขาควรอยู่ที่นี่สิ ไม่ใช่นรกขุมนั้น ยิ่งเห็นว่าลู่จิวมีความสุข ร่างกายไร้บาดแผลแม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มี ไร้ความบอบช้ำในจิตใจเขายิ่งเจ็บปวด แล้วเขาผิดอะไรถึงต้องถูกพ่อแม่คนอื่นทำแย่ ๆ ใส่ตั้งยี่สิบปี
ทำไมนะ
ทำไมมันถึงไม่เจ็บเหมือนที่เขาเจ็บ กับอีแค่ออกจากบ้านยังมีแต่คนวิ่งแจ้นมาโวยวายขอดูแลต่อ ทั้งที่มันควรเจ็บมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แผลบนตัวเขาก็ควรอยู่บนตัวมัน ความเจ็บปวดมากมายก็ควรอยู่ที่มัน เขาไม่ได้เรียนต่อ ไม่ได้ความรักความอบอุ่นจากครอบครัว กระทั่งชื่อก็ยังมาจากคำว่ากาลกินี
ทำไมไม่กลับไปหาพ่อแม่ กลับไปรับสิ่งที่ควรรับมาตั้งนาน จะได้เข้าใจสักทีว่าเขาเจ็บขนาดไหนทั้งที่เป็นพ่อแม่มันขณะที่ตัวมันเองมาเสวยสุขอยู่ในที่ของคนอื่นมาตลอดยี่สิบสองปี ยี่สิบสองปีที่มันได้หัวเราะ ยี่สิบสองปีที่เขาอยู่ด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด
โลกใจร้ายกับเขาคนเดียวเหรอ ทำไมมันถึงไม่เจ็บปวดเหมือนที่เขาเจ็บบ้าง สักนิดก็ยังดี
ย้ำอีกครั้ง
เตือน ในตอนมีตัวละครที่มีอาการป่วยทางจิตเวชประเภทหนึ่งจากอดีตที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิด พฤติกรรมได้ แต่เนื้อหาไม่ระบุโรคชัดเจน ไม่ระบุว่าบางความคิดหรือพฤติกรรมใดของตัวละครที่มาจากโรค หรือมาจากนิสัยส่วนตัวที่ถูกหล่อหลอมมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านระดับ 8
พ่อ
หยางเฟยหลง มังกรทะยานบิน
แม่
หยางลี่จู งดงาม
ลูก
ชื่อเล่นเดิมว่ากาล มาจากกาลกินี
ชื่อนามสกุลใหม่คือ หยางเฟยเจิน โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ
เป็นปลายเปิดเลยค่ะ ไรท์ไม่ได้คิดไว้ว่าการตัดสินใจของตัวละครแต่ละตัวละครถูกหรือไม่ถูก ไม่กล้าคิดตอนแต่งก็รู้สึกอย่างเดียวคือปวดหัว เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เอาไว้ให้คุณนักอ่านได้ขบคิดในเรื่องนี้เวลาว่าง ๆ แก้เบื่อก็แล้วกันนะคะ
นักอ่าน : ขอบคุณนะคะที่หาอะไรให้ทำตอนว่างแต่ทีหลังไม่ต้อง