“คุณศรณ์ จิวไม่ใช่ลูกป๊าม้าแล้วครับ”
ทันทีที่เสียงหวานเอ่ยจบปลายสายก็เงียบไปจนรู้สึกใจหวิว ๆ คุณศรณ์คือคนของป๊าที่จิวเห็นตั้งแต่เด็ก เขาอายุสี่สิบหกปีแล้ว เป็นเลขาส่วนตัวที่มักถูกป๊าใช้ไปคุยงานต่างประเทศบ่อย ๆ ตอนนั้นจิวจึงติดอีกฝ่ายมากเพราะเจ้าตัวจะได้ซื้อของฝากมาให้เยอะ ๆ
“คุณจิวว่ายังไงนะครับ”
“ลูกตัวจริงพวกเขามาแล้ว ป๊าม้าเลยพาพวกเราไปตรวจดีเอ็นเอเมื่อสามวันก่อน เมื่อวานผลดีเอ็นเอออกจิวก็เลยถูกไล่ออกมาจากบ้าน จิวนึกว่าคุณจะรู้เรื่องนี้แล้วเสียอีกเลยอยากโทรมาถามว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง” เสียงหวานสั่นเล็กน้อย ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ ทว่าดูเหมือนคุณศรณ์จะยังไม่รู้เรื่องนี้
“ผมไม่ทราบเรื่องนี้เลยครับ ตอนนี้คุณจิวอยู่ไหนครับ โทรหาป้าแช่มเร็ว กุญแจสำรองบ้านผมอยู่กับป้าแช่ม คุณจิวไปอยู่กับผม”
“จิวมีบ้านอยู่แล้วครับ” ร่างบางเอ่ยปฏิเสธเพราะไม่อยากทิ้งพี่ภาส ตอนนี้อีกฝ่ายต้องการใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน เขาไม่อยากไปตอนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ อยู่ด้วยกันสองคนก็ไม่ได้แย่ ความตั้งใจของเขาตอนนี้ก็ยังเป็นการทำสวนดอกไม้เหี่ยวแห้งตรงหน้าให้สดใสขึ้นมาเช่นเดิม
“กับใครเหรอครับ”
“คุณภาสกรครับ คุณศรณ์น่าจะรู้จัก”
“เพื่อนคุณจิวเหรอครับ”
“ไม่ใช่ครับ เป็นคนใจดีที่ให้ความช่วยเหลือจิว เขาเป็นนักธุรกิจ อายุสามสิบห้าปีครับ” เงียบ หลังจากจิวพูดจบคุณศรณ์ก็เงียบไป ทำไมรู้สึกเหมือนตอนถูกป๊าหวงเขาเวลามีคนมาขอเบอร์ยังไงไม่รู้
“ภาสกร นามสกุลอะไรครับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเบา ๆ คราวนี้เป็นจิวที่ชะงัก ทั้งชะงักที่เหมือนกำลังถูกคุณศรณ์ดุ ทั้งชะงักที่เขาไม่รู้ว่าพี่ภาสนามสกุลอะไร แต่คิดไปคิดมาแล้วพี่ภาสเองก็ยังไม่รู้ว่าเขานามสกุลอะไรเหมือนกันนี่นา
“ไม่รู้สิครับ จิวไม่ได้ถาม พึ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองครับ แต่เค้าดูเป็นคนดีจริงๆ คุณศรณ์ไม่ต้องห่วงจิวนะ”
“คุณจิว คุณจิวไปอยู่กับผมนะครับ ยังไงเขาก็เป็นคนแปลกหน้า ผมจะรีบกลับ” ปลายสายเอ่ยอย่างไม่ยอม เขาเลี้ยงคุณจิวมาตั้งแต่เด็ก ๆ รู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นยังไง ทั้งเป็นห่วงกลัวจะถูกหลอก จิวที่ถือสายอยู่ได้ยินเสียงวิ่งจนต้องนำมือถือห่างจากหู สงสัยคงรีบเดินทางกลับมาแน่เลย
“คุณศรณ์ จิวอยู่ได้จริง ๆ ครับ กลับไทยค่อยแวะมาหาจิวนะ มาหาคุณภาสกร ดูบ้านที่จิวอยู่ ที่จิวโทรหาคุณเพราะจิวอยากรู้ว่าพ่อแม่จิวเป็นใครครับ แล้วเค้าแค้นอะไรถึงต้องเอาจิวสลับกับลูกเจ้านาย”
“ผมจะสืบให้นะครับ ว่าแต่คุณจิวมีเงินไหม ผมจะโอนให้ คุณจิวมาอยู่กับผมเถอะนะ”
“อาศรณ์”
คนแก่กว่าเงียบไปทันทีเมื่อถูกเรียกแบบนี้ ปกติต้องเป็นช่วงที่คุณจิวกำลังจะสื่อว่าเขาเหมือนพ่อที่กำลังห่วงลูกเกินไป เพราะคุณจิวน่ารักตั้งแต่เด็ก ๆ ใคร ๆ ก็เอ็นดู เขาก็เช่นกัน บางครั้งบางคราทำตัวเหมือนพ่อคุณจิวไม่มีผิด ท้ายที่สุดศรณ์ก็ยกธงขาวยอมแพ้นายน้อยของตัวเองจนได้
“ถ่ายรูปบ้านและที่อยู่ส่งมาให้ผมนะครับ”
“ได้ครับ จิวรอนะ ตอนนี้จิวไม่มีพ่อแม่แล้ว อาศรณ์เป็นผู้ใหญ่อีกคนในชีวิตที่จิวรัก จิวจะรอให้อามาหา มาดูกับตาว่าพี่ภาสนิสัยดีหรือเปล่า แวะมาหาจิวได้ตลอดเลย แล้วก็ขอบคุณที่รับสายจิวครับ”
เสียงหวานเอ่ยทั้งน้ำตา ผู้ใหญ่ที่เขานับถือนอกจากพ่อแม่ก็คืออาศรณ์คนนี้ อีกคนคือป้าแช่ม พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปัดเขาออกจากชีวิตทันทีเหมือนป๊าม้าก็อดตื้นตันใจไม่ได้
“ผมจะรีบกลับนะครับ ตอนนี้ต้องขึ้นเครื่องแล้ว”
“ครับ เดินทางปลอดภัยนะอาศรณ์”
“ครับคุณจิว” มือถือถูกตัดสายไปแล้ว น้ำตาเองก็ไหลอาบใบหน้าเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าคนที่ห่วงเขาทันทีที่รู้ว่าถูกไล่ออกจากบ้านคือเลขาของผู้เป็นพ่อ คำถามที่ว่าเขามีเงินไหมพ่อไม่เคยถาม ทั้งยึดกระเป๋าเงินและบัตรเขาไปหมด
อาศรณ์ยังเหมือนเดิม แต่ทำไมพ่อเขาถึงเหมือนคนที่เขาไม่รู้จักได้ในชั่วพริบตาแบบนี้กัน
//
ช่วงบ่ายหลังจากคุยงานเสร็จภาสกรก็กลับมาที่บริษัทพร้อมเลขาส่วนตัวหนึ่งคนและเลขาประจำตำแหน่งอีกหนึ่งคน เมื่อเช้ากินข้าวมาจึงคุยงานได้นาน กินตอนนี้ก็เกือบบ่ายสองแล้ว
ทั้งสามเดินเข้าลิฟต์ผู้บริหารตามปกติ น้อยครั้งที่จะเดินผ่านด้านหน้าบริษัทเพราะไม่อยากให้วุ่นวายเดินมาสวัสดีกัน ภาสกรหันหน้ามองทิวทัศน์เบื้องหน้า ส่วนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบทำให้เห็นช่องกระจกในลิฟต์พอดิบพอดี
สองมือแนบอยู่ในกระเป๋ากางเกง คุยงานเมื่อครู่นี้นานพอสมควรจึงรู้สึกเครียดไม่น้อยทว่าก็ผ่านไปด้วยดี ปวดหัวน้อยกว่าประชุมผู้ถือหุ้นหลายเท่า
ตระกูลเขาทำธุรกิจส่งออกอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์มาหลายรุ่น ตอนนี้เป็นบุตรชายคนโตที่ดูแลอยู่นั่นก็คือภาสกร อนาคตถ้าอายุมากแล้วอาจจะยกให้น้องชายต่างแม่ดูแล
ภายในห้องกว้างตกแต่งหรูหราสมกับเป็นห้องของท่านประธาน เลขานำอาหารเข้ามาให้ก็รีบออกไปกินข้าวของตัวเอง เหลือเพียงภาณุนั่งกินข้าวอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ทว่าเขามีเพื่อนกินข้าวทางมือถือแทน
มือหนายกมือถือขึ้นกดถ่ายรูปอาหารส่งไปให้คนที่บ้านดู ไม่นานจิวก็ส่งกลับมา เป็นข้าวกระเพราที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อเช้า รวมถึงเรื่องราวของอาศรณ์ที่วันหน้าอาจจะมาขอเจอเขาเพื่อความสบายใจ
แน่นอนว่าเขาไม่ว่าอะไร ในใจกลับรู้สึกดีอยู่ลึก ๆ ที่น้องยังอยู่กับเขาต่อ เห็นน้องอยู่กับเขาได้ไม่มีปัญหาก็เบาใจ พอจิวให้รู้จักคนสำคัญเขาจึงส่งรูปน้องชายกลับไปให้บ้าง จากนั้นก็หยุดคุยกันกินข้าวต่อ
//ตืดด//
“ว่าไงครับ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายปลายสาย
“พี่ภาส ปิดเทอมอีกสองอาทิตย์มารับผมได้ไหมครับ กลับบ้านหนึ่งอาทิตย์จากนั้นผมจะไปค่ายกับเพื่อน” น้ำเสียงสดใสเอ่ยขึ้น เสียงจอแจดังอยู่รอบข้างทว่าภาสกรไม่ได้รู้สึกรำคาญ คงโทรหาเขาตอนกำลังกินข้าวอยู่อีกเช่นเคย
ตะวันเป็นน้องชายต่างแม่ที่อยู่ในความดูแลของเขาเอง เด็กคนนี้นิสัยดีจนเขาและแม่มองข้ามคำว่าลูกของเมียน้อยไปได้ ความจริงมีรายละเอียดมากกว่านั้นที่ทำให้เขาเกลียดเด็กคนนี้ไม่ลง แม้ตอนแรกที่เห็นกันจะทำใจยากสักหน่อยแต่นานไปก็เข้ากันได้ ตะวันอายุสิบเจ็ดปีแล้วกำลังจะขึ้นมอหก เด็กคนนี้นับวันยิ่งเหมือนลูกเขามากกว่าน้องชายเพราะอายุที่ห่างกันมาก
“ได้ครับ เดี๋ยวไปรับกับพี่จิว”
“ใครเหรอ”
“สมาชิกใหม่ของพวกเรา”
“แฟนแน่ ๆ เลย”
“ตอนนี้เป็นพี่ชายเราไปก่อน พี่และเขายังไม่ได้ชอบกันเสียหน่อย พี่จิวมาอยู่เป็นเพื่อนพี่” ปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากน้องชาย เด็กคนนี้ปกติแล้วก็เป็นคนสดใสเหมือนกับจิว แต่ยิ่งโตก็ยิ่งเจ็บปวดกับสถานะของตัวเองที่ผู้เป็นแม่และพ่อเขามอบให้ นั่นคือลูกเมียน้อย แม้ว่าเขาและแม่จะไม่ได้โกรธเกลียดเจ้าตัวเลยก็ตาม
คนต้นเรื่องสองคนใช้ชีวิตด้วยความสุขกระทั่งตายไร้ความสำนึกผิดต่อการกระทำที่ผ่านมาของตนเอง แต่เด็กคนนี้กลับต้องมาเจ็บปวดทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“เข้าใจแล้วครับ งั้นผมไปเรียนก่อนนะพี่ภาส หมดพักเที่ยงแล้ว”
“ครับ พี่โอนเงินค่าขนมไปให้”
“อื้อ”
สายตัดไปแล้ว มือถือวางลงที่เดิมพร้อมกับรอยยิ้ม ปิดเทอมจิวคงมีเพื่อนเล่น เขาต้องทำงานตลอดกลัวน้องเหงา ร่างสูงปิดกล่องข้าวรอให้แม่บ้านมาเก็บไปก่อนหยิบขวดน้ำลุกขึ้น ไม่นานก็กลับไปนั่งที่โต๊ะเริ่มทำงานต่อ เมื่อเช้าไม่ได้เข้าบริษัทเอกสารจึงรออยู่กองใหญ่เชียว
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามา”
เมื่อผู้เป็นนายอนุญาตเลขาหนุ่มจึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเอกสารฉบับหนึ่งในเวลาบ่ายสามโมงตรง เป็นงานที่เจ้านายสั่งให้เขาไปสืบตั้งแต่เมื่อเช้า ทันทีที่ทำเสร็จวีร์ก็ตรงดิ่งมาที่นี่เลย
“นายครับ ได้ข้อมูลคุณหยางลู่จิวแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมเอกสารในมือ ผู้เป็นนายเพียงพยักหน้าแล้วให้เขาเล่าต่อเพราะตนเองกำลังทำงานอยู่
“คุณจิวชื่อลู่จิวแซ่หยางครับ อายุพึ่งยี่สิบสองปีเมื่อเดือนก่อน เรียนมหาลัยเอกชนคณะบริหาร สาขาการจัดการครับ ครอบครัวนั่นก็คือตระกูลหยางสายหลัก เชื้อสายจีนที่ย้ายมาตั้งรกรากที่ไทยพร้อมกับหลายตระกูลที่ท่านพอจะทราบ พวกเขามีลูกคนเดียวเพราะคุณหญิงร่างกายไม่แข็งแรง คุณจิวจึงถูกทะนุถนอมมาอย่างดีครับ”
“อืม”
“แต่ว่าสายของเราได้ข้อมูลมาจากแวดวงนักธุรกิจว่าเมื่อไม่นานมานี้ตระกูลหยางเจอลูกชายตัวจริงครับ มีการเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจดีเอ็นเอทันที หลังจากได้ข้อมูลมาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกของตัวเองจริง ๆ ก็ส่งตัวเข้ารักษาทั้งสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ ส่วนคุณจิวถูกไล่ออกจากบ้านครับ บ้านข้าง ๆ เห็นเองกับตา”
“ลึกลงหน่อย” ผู้เป็นนายเผลอเคาะนิ้วกับโต๊ะเบา ๆ หนึ่งที แฝดพี่อย่างวีย์จึงรีบเปิดหน้าถัดไปเล่าต่อทันที ข้อมูลหลังจากนี้น้องชายเขาเป็นคนหามาให้
“เห็นบอกว่าพ่อแม่คุณจิวเป็นสาวใช้ ทำการสลับลูกของเจ้านายเพื่อนำไปเลี้ยง เวธน์พยายามค้นข่าวเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไม่เคยเจอว่าพวกเขาเคยมีข่าวเสียหาย ไม่รู้สาวใช้แค้นเคืองอะไร ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นเลยครับ และตอนนี้ยังไม่มีรายงานการแจ้งความหรือยื่นฟ้องคนต้นเรื่องเลยครับ ทางเราจึงยังไม่ทราบว่าพ่อแม่คุณจิวเป็นใคร อาจเพราะคุณกาลเข้ารับการรักษาตัวอยู่จึงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรครับ”
ร่างสูงนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ทว่าเป็นความเงียบที่เลขารู้ว่าเจ้านายกำลังมีเรื่องให้คิดอยู่ในหัว ทุกอย่างดูปุบปับจนตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ พอรู้ว่าเป็นลูกก็ไล่ตะเพิดจิวออกมาเลย เงินสักบาทก็ไม่มีให้เขาติดตัวออกมา
เขาเข้าใจว่าโกรธ แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่รักเขาสักนิดเลยเหรอ เงินสักหมื่นก็ยังดี ลองคิดดูว่าถ้าจิวกับเขาไม่เจอกันเด็กคนนี้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไงกับการไม่มีเงินติดตัวสักบาท
“นายว่า ทุกอย่างที่เล่ามานี่ จิวผิดอะไร”
“ทางกฏหมายแน่นอนว่าไม่ผิดครับหากคุณจิวไม่มีการติดต่อหรือรับรู้เรื่องนี้ภายหลัง แต่ทางจิตใจอาจจะยากที่ต้องกลับไปอยู่ด้วยกัน คงเป็นความรู้สึกที่ว่าเราเลี้ยงลูกเขาอย่างดี แต่เขากลับเลี้ยงลูกเราให้มีสภาพแบบนี้ ทั้งตอนนี้ก็ไม่มีใครพบคุณจิวเลยครับ เพื่อนเขาก็เงียบไป ทางตระกูลหยางก็ไม่มีการออกตามหาหรือแจ้งความคนหายเลยครับ”
“จิวอยู่กับผม” เอกสารในมือเลขาแทบร่วง หันมองเจ้านายตาปริบ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ท่านพูดอีกครั้งได้ไหมครับ”
“จิวอยู่กับผม พากลับบ้านเมื่อวาน เลยอยากรู้เรื่องเขานิดหน่อย” ภาสกรไม่ได้เล่ารายละเอียดลึกกว่านั้น เอาไว้เล่าให้แฝดของเจ้าตัวที่นั่งทำงานอยู่หน้าห้องฟังจะดีกว่า เพราะเวธน์ไม่หลงลืมเหมือนวีร์
“อ้อ เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นอนาคตคงไม่มีเรื่องวุ่นวายตามมากวนใจเขาใช่ไหม”
“ท่านชอบคุณจิวหรือครับ”
“เจอกันวันเดียวถ้าชอบก็เกินไป แค่คิดว่าถ้าเขาไม่มีเรื่องทุกข์ใจ เขาก็จะสดใส ผมเองก็พลอยอาการดีขึ้นไปด้วย”
“ผมเอาใจช่วยเจ้านายนะครับ อยากให้ท่านมีความสุขไว ๆ” วีร์กล่าวจากใจ ตั้งแต่ที่คุณหญิงตรวจพบโรคร้ายเจ้านายก็เครียดมาก ทำงานหนักทั้งเดินทางไปเฝ้าคุณหญิงที่โรงพยาบาลตลอด หาหมอเก่ง ๆ หาโรงพยาบาลเก่ง ๆ รักษาสุดท้ายก็อย่างที่ทราบกัน ยิ่งสามเดือนมานี้อาการเจ้านายยิ่งน่าเป็นห่วง หากมีใครสักคนทำให้เขายิ้มได้พวกเราย่อมดีใจ
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่นายอวยพรไว ๆ ก็แล้วกันนะ แต่ช่วยสืบเรื่องพ่อแม่จิวต่อให้หน่อยว่าเป็นใคร รวมถึงเรื่องเมื่อก่อนด้วย คลอดที่โรงพยาบาล คุณนายหยางรวยขนาดนั้นต้องคลอดที่ดี ๆ อยู่แล้ว แล้วสาวใช้คลอดที่เดียวกันเหรอ มีเงินมากขนาดนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้
โรงพยาบาลดี ๆ ค่าคลอดต้องแสนขึ้น ไหนจะค่าเลี้ยงดู คนใช้จะมีเงินมากมายขนาดตัดสินใจคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนเพราะแค่อยากสลับลูกเหรอ ยี่สิบกว่าปีอย่างไรก็ต้องมีกล้อง จะสลับกันง่ายขนาดนั้นเชียว”
เสียงทุ้มเอ่ยประโยคที่ยาวกว่าปกติขณะหยิบเอกสารแฟ้มใหม่มาเปิด วีร์มองสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของผู้เป็นนายก็รู้สึกคันปากเล็กน้อย รูปคุณจิวออกจะน่ารัก หรือเจ้านายทำไปเพราะชอบคุณจิว
“เจ้านายชอบคุณจิวเหรอครับ”
“นายถามไปแล้ว”
“ผมลืมครับ แหะ ๆ” วีร์ตีหน้าผากตัวเองแก้เขินก่อนขอตัวแล้ววิ่งออกจากห้องไปหาน้องชายหลบหลีกความขี้ลืมของตัวเองอย่างที่ชอบทำ
ภาสกรส่ายหน้าเหนื่อยใจให้เลขาที่วิ่งออกจากห้องเมื่อครู่ สองคนนี้ทำงานกับเขามานาน เมื่อก่อนเป็นเลขาของพ่อเขาที่ดูแลเขาตอนเข้ามาทำงานแรก ๆ อีกฝ่ายอยู่กับพ่อเขามากเกินไปนิสัยบางอย่างจึงไม่น่าพอใจ พยายามพูดเรื่องเมียน้อยพ่อเขาอยู่บ่อยครั้งถึงความดีงามของเธอ
ภาสกรไล่ตะเพิดออกจากห้องหลังหมดความอดทน ต้นไม้ที่แม่ปลูกเคยถูกถอนทิ้งเพราะแค่ผู้หญิงคนนั้นอยากหาเรื่องหลายต่อหลายครั้ง ยังมีหน้ามากรอกหูเขาว่าเธอนิสัยดี
เขายังจำได้อยู่เลยว่าวันนั้นตะวันที่อายุแค่หกขวบมานั่งพยายามเอาต้นไม้กลับเข้ากระถางให้ทั้งที่ทำไม่เป็น ปากก็เอาแต่เอ่ยขอโทษแม่เขาแทนผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด
หลังจากนั้นเขาจึงทะเลาะกับพ่ออย่างหนัก หลังจากนั้นเราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกเลย เขาจึงดึงน้องที่รู้จักสองคนอย่างวีร์และเวธน์มาทำงานด้วย สองคนนี้เป็นแฝด ตอนนี้เขาขึ้นเป็นประธานสองคนนี้ก็เลื่อนขั้นเป็นเลขาท่านประธานเช่นกัน
คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสร็จแล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงมือทำงานกองใหญ่ต่อให้เสร็จทันเวลาเลิกงานปกติของบริษัท ภาสกรตั้งใจจะกลับตรงเวลา วันนี้จิวทำอาหารรอกลัวว่าหากกลับช้าคนน้องจะเหงาเอา
ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังรู้สึกอยากกลับบ้านครั้งแรกหลังจากที่แม่ตายไป เพราะลู่จิว
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ฮะฮะ ตลกจัง ป๊าไม่ได้โทรมาเรียกผมกลับ แต่โทรมาบอกว่าขอนามสกุลคืนเพราะตอนนี้ผมใช้แซ่ของพวกเขาอยู่”
แนะนำอาศรณ์
ศรณ์ หมายถึง ที่พึ่ง
ชื่อจริง ภรัณยู หมายถึง ผู้ปกป้อง,ผู้คุ้มครอง, พระอาทิตย์
นิยายไรท์อ่านง่าย แต่จำความหมายชื่อตัวละครดี ๆ นะคะ การเชื่อมโยงชื่อของตัวละครได้เริ่มขึ้นแล้ว
พร้อมไหมคะ พร้อมแล้วใช่ไหมคะ แอบได้ยินผ่านกระแสจิต ดีมากค่ะ
นักอ่าน :