“อยู่ไหนคาร์ล่า ไปเอามาให้แองจี้เดี๋ยวนี้เลย”
พิมพ์อัปสรเอ่ยสั่งจนเกือบเป็นตวาดด้วยความใจร้อนอยากเห็นโปสการ์ดที่พี่สาวส่งมาให้ แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้เธอก็รีบกระซิบถามเด็กเสริฟด้วยความเป็นกังวล
“คุณแม่รู้เรื่องโปสการ์ดหรือเปล่าคาร์ล่า”
“ไม่รู้ค่ะ เพราะคาร์ล่าไปหยิบโปสการ์ดก่อนที่คุณอัปสราจะมาถึงร้านค่ะ คุณแองจี้สบายใจได้เลยค่ะ เรื่องที่คุณติดต่อกับคุณแอนนี่ คาร์ล่าจะช่วยปิดเป็นความลับ”
คาร์ล่ายิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยปลอบให้เจ้านายสาวสบายใจ
“ขอบใจมากคาร์ล่า โปสการ์ดอยู่ไหน” พิมพ์อัปสรยิ้มบางๆ ให้คนที่เป็นทั้งลูกน้องและเป็นทั้งเพื่อนรัก
“อยู่ในล็อกเกอร์ของคาร์ล่าค่ะ”
“ไปเอาเดี๋ยวนี้เลยคาร์ล่า”
พิมพ์อัปสรเอ่ยสั่งพร้อมกับสาวเท้าก้าวตามเด็กเสริฟเข้าไปยังห้องเล็กๆ ที่มีล็อกเกอร์วางเรียงซ้อนกันราวๆ สิบล็อกเห็นจะได้
คาร์ล่าหยิบกุญแจอันเล็กมาจากกระเป๋าเสื้อจากนั้นก็ไขลูกกุญแจเปิดบานประตูล็อกเกอร์แล้วหยิบสิ่งของที่อยู่ข้างในมาให้เจ้านายสาว
“นี่ค่ะ โปสการ์ดของคุณแองจี้”
มือบางนุ่มเนียนสั่นเล็กน้อยขณะที่หยิบโปสการ์ดแต่ละใบมาดูและอ่านข้อความบรรยายถึงความสวยงามโดดเด่นของภาพที่พี่สาวเธอเขียนกำกับเอาไว้ด้านหลังโปสการ์ด ใบหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้มขณะที่ดูภาพและอ่านข้อความเชิญชวน เมื่อพลิกดูโปสการ์ดเรื่อยๆ นับสิบใบจนมาถึงภาพเด็ดภาพสุดท้ายหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้าง ใบหน้างามนวลละออคลี่ยิ้มกว้างด้วยความตี่นเต้นอยากสัมผัสจับต้องอาชาไนยสวยงามเด่นสง่าที่เห็นอยู่ในภาพ
“ยิปซีแวนเนอร์”
พิมพ์อัปสรเอ่ยพึมพำสายพันธุ์ม้าที่เธอเห็นอยู่ในรูปภาพ ยิปซีแวนเนอร์เป็นม้าลากของชาวยิปซีซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสายพันธุ์ม้าที่สวยที่สุดในโลก ภาพที่เธอได้รับถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นม้าเพศผู้ซึ่งมีสีขาวสะอาดไปทั้งตัว แผงคอยาวเป็นระเบียบอ่อนนุ่มดุจแพรไหม เท้าคู่หน้ายกขึ้นล้อเล่นหยอกเอินกับสายลมท่ากลางขุนเขาและยอดหญ้าสีเขียวขจี
พิมพ์อัปสรรวบโปสการ์ดมากอดไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักพร้อมกับเอ่ยบอกคาร์ล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากที่ตัดสินใจได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นภาพของยิปซีแวนเนอร์
“แองจี้จะไปเมืองไทย”
“จะไปเมืองไทย? เมื่อไร จะไปยังไงคะ”
คาร์ล่าตะโกนถามเสียงหลงด้วยความตกใจกับการตัดสินใจแบบกระทันหันพลันด่วนของหญิงสาวแสนสวยที่กำลังยืนยิ้มหวานอยู่เบื้องหน้าเธอ
“ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะคาร์ล่า”
พิมพ์อัปสรเอื้อมมือไปบีบแก้มของเสริฟสาวพร้อมกับเอ่ยแซวยิ้มๆ เธอเดินตรงไปยังปฏิทินที่แปะติดไว้ข้างห้อง ดวงตาคู่สวยกลมโตดำสนิทมองวันที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือจิ้มแรงๆ ไปบนปฏิทิน จากนั้นก็หันมายิ้มหวานให้คาร์ล่า
“แองจี้จะเดินทางวันนี้”
คาร์ล่าเดินไปชะเง้อตามองวันที่ตามที่เจ้านายสาวแสนสวยเอ่ยบอก เมื่อเห็นวันเดินทางที่ถูกกำหนดขึ้นมาเธอก็ต้องร้องถามเสียงหลงขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องแองจี้จะเดินทางวันมะรืนนี้หรือคะ”
“ใช่ค่ะ พรุ่งนี้ค่าแรงออก แองจี้วานให้คาร์ล่าไปจองตั๋วเครื่องบินให้หน่อยนะคะ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา แต่คาร์ล่าถามหน่อย ทำไมคุณแองจี้ไม่รออีกสักเดือนสองเดือนค่อยไปเมืองไทยคะ”
“ไม่เอาคาร์ล่า แองจี้อยากไปเมืองไทยนานแล้ว อีกอย่างแอนนี่กำลังจะพักงานเพื่อพาแองจี้ไปเที่ยว เพราะฉะนั้นเองจี้ต้องรีบไปก่อนที่แอนนี่จะมีงานละคร งานเดินแบบเข้ามาจนล้นมือ”
พิมพ์อัปสรเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของคาร์ล่า วินาทีนี้ใครก็ห้ามเธอไม่อยู่ ยิ่งได้หยิบภาพของม้าพันธุ์ยิปซีแวนเนอร์มาดูอีกหนยิ่งกระตุ้นให้เธออยากเดินทางไปเมืองไทยเร็วๆ
คาร์ล่าถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ไม่คิดจะเอ่ยค้านอีกเมื่อได้เห็นดวงตาคู่สวยที่เต้นระริกแพรวพราวทุกคราที่พูดถึงเมืองไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนอันแสนอบอุ่น
“เห็นคุณแองจี้พูดแบบนี้แล้วคาร์ล่าอยากไปเที่ยวเมืองไทยจังเลย ได้ยินเขาพูดว่าเป็นสยามเมืองยิ้มจริงมั้ยคะคุณแองจี้”
“ใช่ค่ะ สยาม...เป็นประเทศที่อบอุ่น...เต็มไปด้วยผู้คนที่มีเมตตา รักใคร่ปรองดองกันภายใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประเทศชาติด้วยหลักทศพิธราชธรรม”
พิมพ์อัปสรยกมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะด้วยความซาบซึ้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อได้กล่าวถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของเธอรวมทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเกือบทั่วทั้งโลก ถึงแม้เธอจะมาอยู่ที่ประเทศอิตาลีนานหลายสิบปีแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยลืมว่าเธอเป็นคนไทยคนหนึ่ง
“สักวันนะคะคุณแองจี้ ถ้าหากคาร์ล่ามีโอกาส คาร์ล่าจะไปเที่ยวเมืองไทยให้ได้”
คาร์ล่ายิ้มหวานเอ่ยบอกถึงความตั้งใจของตน เธอเองก็อดที่จะตื่นเต้นไปกับหญิงสาวไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องราวอันแสนสงบสุขของเมืองไทย
พิมพ์อัปสรยิ้มบางๆ เอื้อมไปจับมือของคนที่เป็นทั้งลูกจ้างเป็นทั้งเพื่อนรักไว้
“เอาสิค่ะ ถ้าคาร์ล่าไปเที่ยวเมืองไทยเมื่อไร แองจี้จะบอกให้แอนนี่เป็นไกด์พาเที่ยวให้ทั่วเมืองไทย”
“เฮ้อ!...คาร์ล่าก็ได้แต่เพ้อฝันไปยังงั้นแหละค่ะ ไม่รู้ชาตินี้ทั้งชาติคาร์ล่าจะมีปัญญาหาเงินไปเที่ยวเมืองไทยเหมือนคนอื่นๆ ได้หรือเปล่า”
คาร์ล่าเอ่ยบอกเสียงเศร้าเมื่อนึกถึงความเป็นจริงว่าเธอเป็นแค่เด็กเสริฟในร้านอาหาร ฐานะทางบ้านก็อยู่ในระดับปานกลางไม่รวยและไม่จนเกินไป
“โธ่!...คาร์ล่า อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิค่ะ คนเราต้องอยู่อย่างมีความหวัง แองจี้เชื่อว่าสักวันหนึ่ง คาร์ล่าอาจจะมีเหตุให้ต้องเดินทางไปเมืองไทยก็ได้ใครจะไปรู้...จริงมั้ยคะ”
พิมพ์อัปสรยิ้มหวานเอ่ยให้กำลังใจเพื่อนรัก เธอจำได้ว่าตอนที่ย้ายมาอยู่อิตาลีใหม่ๆ เธอถูกเด็กเกเรข้างๆ บ้านแกล้งทุกวัน เด็กหญิงผมเปียในวัยห้าขวบเศษร้องไห้สะอึกสะอื้นอยากจะกลับเมืองไทย เด็กน้อยหวาดกลัวคนต่างบ้านต่างเมืองจนไม่ยอมออกจากบ้านไม่ยอมแตะต้องอาหารแม้แต่มื้อเดียว
แต่...เธอก็อยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้เพราะหวนคิดคำนึงถึงคำพูดของพ่อในวันที่ต้องจากกันไกลแสนไกล
‘จงอยู่อย่างมีความหวัง’
คาร์ล่ายิ้มหวานโอบกอดไปรอบตัวเจ้านายสาวเมื่อได้รับกำลังใจที่ดีจากอีกฝ่าย
“ขอบคุณคุณแองจี้มากค่ะ ที่อุตส่าห์ให้ความหวังกับคาร์ล่า เรื่องที่คุณแองจี้จะไปเมืองไทยเราต้องปิดเป็นความลับเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะ เราจะบอกใครไม่ได้โดยเฉพาะคุณแม่ ถ้าแม่รู้จะต้องห้ามไม่ให้แองจี้ไปเมืองไทยแน่นอน คาร์ล่าต้องปิดเป็นความลับนะคะ ถ้าหากเจอคุณแม่ซักมากๆ ก็บอกว่าแองจี้ไปค้างบ้านเพื่อนก็ได้ ถึงเมืองไทยเมื่อไรแองจี้จะโทรมาบอกคุณแม่เอง”
“แล้วคุณแองจี้จะโทรไปบอกคุณแอนนี่ก่อนมั้ยคะว่าจะเดินทางไปวันไหน”
พิมพ์อัปสรยิ้มบางๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตากลมโตดำขลับเต้นระริกแพรวพราว
“ไม่ค่ะ แองจี้จะทำให้แอนนี่เซอร์ไพรส์อย่างคาดไม่ถึงที่จู่ๆ ก็เห็นแองจี้ไปโผล่ที่เมืองไทย”