บทที่ 7

1389 คำ
“แต่คาร์ล่าไม่เห็นด้วยนะคะ คุณแองจี้น่าจะโทรไปบอกคุณแอนนี่ก่อนหรือไม่ก็อีเมล์ไปบอกก็ยังดี” คาร์ล่าเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงถึงแม้เมืองไทยจะเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้านายสาวแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนดี คนไม่ดีมิจฉาชีพมีปะปนกับคนดีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง “เอาเถอะค่ะ เพื่อความสบายใจของคาร์ล่า แองจี้จะเมล์ไปบอกแอนนี่ก่อนที่จะเดินทาง” พิมพ์อัปสรยิ้มกว้างเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะรับคำกับเพื่อนสาว “ถ้าคุณแองจี้รับปากแบบนี้คาร์ล่าก็ค่อยสบายใจหน่อย ถ้างั้นคาร์ล่าไปทำงานก่อนนะคะ หายมานานแล้วเดี๋ยวคุณอัปสราจะสงสัย” “ไปเถอะค่ะ แองจี้ของอยู่คนเดียวสักพัก เดี๋ยวแองจี้จะออกไปช่วยหน้าร้าน” พิมพ์อัปสรทำสีหน้าไม่สบายใจนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องโกหกมารดา แต่อีกใจหนึ่ง...เธอก็ไม่อยากสูญเสียโอกาสที่จะได้พบกับพี่สาวที่พลัดพรากจากกันมานาน นึกๆ แล้วก็ขำ สมัยเด็กๆ เธอเคยเล่นกับกระจกเงา โดยให้ภาพของตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาเป็นดังตัวของพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นสองสาวก็ถามสารทุกข์สุขดิบ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันฟังเป็นวรรคเป็นตอนหัวเราะสนุก สนานอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่จริงแล้วคนที่พูดและหัวเราะอย่างสนุกสนานก็คือตัวเธอคนเดียวเท่านั้น หญิงสาวยิ้มกว้างเมื่อหยิบโปสการ์ดขึ้นมาดูอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข “อีกไม่กี่วันเราก็ได้เจอกันแล้วนะแอนนี่ที่รัก” ++++++++ สตาเลียน ฟาร์ม ในเช้าวันนี้เต็มได้ด้วยความคึกคักเมื่อรถขนม้านับสิบคันเริ่มทยอยวิ่งเข้าสู่ฟาร์มเพาะเลี้ยงม้า วันนี้ สตาเลียน ฟาร์ม ต้องส่งม้าให้ลูกค้านับรวมกันแล้วทั้งหมดยี่สิบรายพอดิบพอดี มูลค่าการซื้อขายทั้งหมดนับรวมได้เกือบสิบล้านบาท พ่อเลี้ยงรามกับลักษณ์คอยยืนควบคุมพร้อมกับปลอบม้าที่แตกตื่นหวาดกลัวให้ก้าวขึ้นรถบรรทุกง่ายๆ ผ่านไปค่อนวันการซื้อขายขนส่งม้าถึงได้ยุติเสร็จสิ้น ลักษณ์รอให้รถบรรทุกคันสุดท้ายวิ่งออกไปจากฟาร์มจึงได้สืบเท้าเข้าไปหาพี่ชายที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ติดๆ กับคอกม้า เขาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายแล้วรับน้ำแก้วใบใหญ่จากคนงานมาดื่มดับกระหาย เมื่อวางแก้วน้ำลงได้เขาก็เริ่มเล่นเกมส์ยี่สิบคำถามทันที “พี่ราม” “หือม์?” พ่อเลี้ยงขานรับในลำคอแต่ไม่ได้เหลือบสายตามองคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขายังสนใจกับข้อมูลที่อ่านค้างอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คอันกะทัดรัดแต่ทรงประสิทธิภาพ “ทำไมล็อตนี้ส่งม้าเยอะกว่าเดิมล่ะครับ” ลักษณ์เอ่ยถามพี่ชายที่กำลังสนใจกับข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเขาเดาไม่ผิด...พี่ชายเขาคงกำลังศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวกับพันธุ์ม้าอยู่แน่นอน และก็เป็นดังที่คาดคิดไว้จริงๆ เมื่อเขาชะโงกหน้าไปดูก็ได้เห็นภาพของม้าสายพันธุ์ต่างๆ กำลังโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค พ่อเลี้ยงรามาละสายตาจากข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่พร้อมกับหันมาเอ่ยตอบไขข้อสงสัยของน้องชายช่างซัก “พี่จะลงไปกรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้ เลยอยากส่งม้าล็อตนี้ให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” “โธ่!...พี่ราม ลักษณ์อยู่ทั้งคน เรื่องส่งม้าแค่นี้ผมจัดการเองก็ได้” ลักษณ์เอ่ยตอบเบาๆ รู้สึกผิดที่ทำให้พี่ชายที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับงานในฟาร์มไม่พอแล้วยังต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาความรักของเขาอีก พ่อเลี้ยงคลี่ยิ้มตรงมุมปาก ตบหนักๆ บนบ่าของน้องชายพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยซุ่มเสียงที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในตัวน้องชายคนนี้ “พี่รู้ว่าดีกรีระดับปริญญาโทสัตวแพทย์จากอเมริกาอย่างลักษณ์สามารถจัดการกับงานในฟาร์มได้ แต่พี่ไม่อยากให้ลักษณ์ต้องเหน็ดเหนื่อยคนเดียว” “พี่ราม” ลำคอที่ตีบตันด้วยความซาบซึ้งในความรักความเสียสละของพี่ชายที่มอบให้น้องคนเดียว ทำให้ลักษณ์ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้ นอกจากก้มลงไปกราบขอบคุณที่อกกว้างของพี่ชาย “พี่รามครับ ถ้าพี่รามลำบากใจเรื่องที่ลักษณ์ขอเรื่องเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พี่รามไม่ต้องทำเพื่อลักษณ์ก็ได้ครับ” “ไม่เป็นไร เพื่อความสุขของลักษณ์พี่ทำได้ ขอแค่ให้ลักษณ์ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ก็พอ” พ่อเลี้ยงเอ่ยบอกยิ้มๆ หนุ่มหล่อรูปงามที่ก้มลงกราบกับอกเขาช่างเหมือนลักษณ์ตัวน้อยๆ ในยามวัยเยาว์ยิ่งนัก “แต่พี่รามครับ ถ้ามันเป็นความสุขของลักษณ์ แต่ในทางกลับกันกลับต้องทำให้พี่รามเดือดร้อนลักษณ์ก็ไม่ต้องการเหมือนกัน ตอนนั้นลักษณ์อาจจะหุนหันพลันแล่นเอ่ยขอร้องพี่รามโดยไม่ทันได้คิด แต่...ณ ตอนนี้ ลักษณ์เริ่มคิดได้ว่าถ้าหากลักษณ์กับแอนนื่เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันและมีบุญวาสนาต่อกัน ยังไงลักษณ์กับแอนนี่ก็คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันสักวัน” ลักษณ์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความสำนึกผิดเมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มของพี่ชายที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเหน็ดเหนื่อยที่เจ้าตัวพยายามปิดบังไว้ไม่ให้ใครเห็น พ่อเลี้ยงคลี่ยิ้มบางๆ ให้น้องชายพร้อมกับโอบแขนไปรอบบ่าที่แข็งแกร่งผึ่งผายไม่แพ้ตนเองพร้อมกับเอ่ยถามยิ้มๆ “ลักษณ์จำวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ที่คุณพ่อคุณแม่ชอบเล่าให้เราฟังได้มั้ย” “จำได้สิครับ จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ เพราะว่าชื่อของตัวละครเอกเป็นที่มาของชื่อเราทั้งสองคน” ลักษณ์ยิ้มกว้างนัยน์ตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงค่ำคืนก่อนนอนที่เขาและพี่ชายต่างก็นอนหนุนตักของพ่อและแม่จากนั้นก็ฟังท่านเล่าวรรณคดีเอกของไทยเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีที่พวกเขาชื่นชอบเป็นที่สุด พ่อเลี้ยงรามายิ้มกว้างกับคำพูดที่เป็นจริงของน้องชาย นัยน์ตาสีดำสนิทสงบนิ่งดุจทะเลไร้คลื่นในคืนเดือนมืดจับจ้องมองไปยังท้องฟ้าสีครามสวยงามก่อนจะเอ่ยพูดออกมาจากใจ “พระราม พระราชโอรสของท้าวทศรถกับนางเกาสุริยา สัญลักษณ์ของวีรกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของประยูรญาติและประชาชน มีความรักมั่งคงซื่อสัตย์ต่อพระมเหสี มีความรักความยุติธรรมต่อพระอนุชาและบริวารยิ่งนัก” พ่อเลี้ยงหยุดนิ่งหันมาจ้องมองน้องชายเขม็งก่อนจะเอ่ยพูดต่อ “และนั่นคือเหตุผลที่พ่อกับแม่ตั้งชื่อพี่ว่า ‘รามา’ และตั้งชื่อเล่นว่า ‘ราม’ เพราะพี่มีหน้าที่ที่ต้องดูแลรักษาฟาร์มของตระกูลเราที่ตกทอดต่อๆ กันมาหลายชั่วอายุคนและที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือพี่มีหน้าที่ปกป้องดูแลน้องชายของพี่ก็คือลักษณ์” ลักษณ์จ้องมองพี่ชายด้วยความรักความซาบซึ้ง พี่ชายคนนี้ไม่ได้เป็นแค่พี่...หลังจากที่สิ้นพ่อกับแม่แล้วพี่ชายคนนี้กลับทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อ แม่ พี่ชายและเพื่อนไปพร้อมๆ กัน เขายิ้มกว้างเอื้อมมือไปจับมือแข็งแกร่งของพี่ชายมาบีบไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยประโยคที่เขาได้ยินจนฝังใจและถือปฏิบัติเรื่อยมา “ส่วนพระลักษณ์ คือพระอนุชาที่ทรงมีความจงรักภักดีและทรงอยู่เคียงคู่พระรามเสมอ แม้ในยามออกรบกับกองทัพกรุงลงกา พระลักษณ์ก็ไม่เคยทอดทิ้งพระเชษฐา และนั่นก็คือที่มาของชื่อลักษณ์เหมือนกัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น น้องผู้ซื่อสัตย์คนนี้จะจงรักภักดีต่อพี่รามาตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม