“แต่คุณหนู”
“หรือเจ้าอยากกลับไปเฝ้าเรือนกับเสี่ยวเหยากัน”
“คุณหนู” เสี่ยวจีกำลังจะอ้าปากประท้วง แต่สุดท้ายก็ได้แต่หุบปากเงียบ ทำเพียงถือโคมไฟนำทางเบื้องหน้า ระมัดระวังไม่ให้คุณหนูก้าวพลาดหกล้ม ถ้าคุณหนูล้มเจ็บตัวขึ้นมา นางคงถูกโทษโบยจนหลังขาดเป็นแน่
“เดินเล่นถึงตรงโน้นเท่านั้นนะเจ้าคะ กลับไปคุณหนูต้องดื่มน้ำขิงให้มากหน่อย”
“ข้ารู้แล้วน่า” มู่ซูเจินกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเงินที่ เสี่ยวจีคะยั้นคะยอสวมให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม เมื่อถึงต้นเหมยที่กิ่งก้านถูกปกคลุมด้วยหิมะนางก็ได้แต่หยุดมอง ปลายนิ้วไล้ความเย็นตรงกลีบเหมยสีแดงนั้นเบาๆ “เสี่ยวจี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าปรารถนาจะเดินชมเหมยเช่นนี้มานานแล้ว ทุกๆ วันต่อจากนี้ ข้าอยากใช้ชีวิตชื่นชมความงามของดอกไม้ให้เยอะๆ เผื่อว่าสักวันหนึ่ง...” เสียงของคุณหนูสามแห่งสกุลมู่ขาดหายไป “ข้าอาจไม่มีโอกาสได้ชื่นชมก็เป็นได้”
“คุณหนู” เสี่ยวจีกะพริบตาไม่หยุด “คุณหนูร่างกายแข็งแรงแล้ว ถ้าอยากชมดอกไม้ที่ใด ก็ชมเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะไม่ทักท้วงคุณหนูอีก”
“ถ้าเป็นดอกไม้นอกจวนเล่า เจ้าว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะให้ข้าไปชมหรือไม่”
ความจริงเสี่ยวจีอยากคิดก่อนตอบ ทว่าเห็นท่าทีเศร้าๆ ของคุณหนูแล้วก็ได้แต่ยิ้มพูด “แน่นอนเจ้าค่ะ ใต้เท้ากับฮูหยินรักถนอมคุณหนูที่สุด ขอเพียงคุณหนูเอ่ยปาก มีหรือที่ใต้เท้ากับ ฮูหยินจะไม่ตกปากรับคำ”
“เช่นนั้นหรือ” มู่ซูเจินพึมพำในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอื้อมไปสัมผัสความงามของดอกเหมยที่อยู่สุดปลายมือ แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้รั้งปลายนิ้วกลับ ดวงตากลมโตหรี่ลงเพียงนิด ก่อนจะใช้โอกาสนั้นซัดเข็มเงินออกจากปลายนิ้วอย่างว่องไว ทว่าถึงจะรวดเร็วเพียงใดด้วยร่างกายภายในที่ยังไม่คงที่บวกกับคนรับเข็มเงินมีวรยุทธ์ล้ำเลิศจึงทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดาย บัดนี้เข็มเงินทั้งสามแท่งปักอยู่กับใบไม้ใบเล็กๆ สามใบเท่านั้น
เห็นคุณหนูลงมือเช่นนั้น เสี่ยวจีก็รีบลงมือเช่นกัน ทว่าเพียงแวบเดียวที่ใบหน้าของคนผู้นั้นปรากฏ เรี่ยวแรงของเสี่ยวจีพลันหมดลง กลายเป็นคนอ่อนแอปวกเปียกไร้วรยุทธ์ในทันที เพราะคนผู้นี้เป็นสหายของคุณชายใหญ่ที่มักแวะเวียนมาที่เรือนหนักแน่นบ่อยๆ
ถ้าหากมู่ซูเจินให้ความสนใจสักนิดละก็ คงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคนผู้นั้นผ่านท่าทีของเสี่ยวจีแล้ว แต่ยามนี้นางเอาแต่จ้องมองไปหลังต้นไม้ใหญ่นั่น ดวงตากลมโตเขม้นมองราวกับแมวป่าดุร้ายก็ไม่ปาน
“นั่นใคร? ออกมานะ!”
“คณหนู...” เสี่ยวจีอ้าปากจะทักท้วงแต่ทันทีที่เห็นเงาร่างสูงใหญ่ก้าวออกมาเผชิญหน้า ปากที่กำลังจะพูดออกมากลับต้องหุบลง เพราะเจ้าของร่างสูงตวัดมองเสียก่อน จึงทำได้เพียงยืนรั้งท้ายคุณหนูสามด้วยขาสั่นๆ เท่านั้น
มู่ซูเจินมองคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในสวนดอกไม้ยามค่ำคืนด้วยแววตาหวาดระแวง แม้แสงสว่างรอบกายจะไม่ชัดนักแต่ก็พอมองเค้าโครงหน้าตาของอีกฝ่ายได้ คนผู้นี้หน้าตาคมคายหล่อเหลา ดูดียิ่งกว่าเหล่าพี่ชายในสกุลเจิ้งของนาง เผลอๆ หน้าตาดีเทียบเท่าพี่ชายใหญ่ได้ด้วยซ้ำ แต่แตกต่างก็ตรงที่...นางมุ่นหัวคิ้วเอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าความแตกต่างระหว่างสองคนนั้นคือที่ใดกัน
ก่อนจะได้ยินสตรีตรงหน้ากล่าวถ้อยคำอะไร หลิ่งเซียวฉินพลันรีบประสานมือแนะนำตัว
“แม่นาง ข้าน้อยแซ่เซียว เป็นสหายของคุณชายใหญ่ มิทราบว่าแม่นางคือ?”
เสี่ยวจีลอบมองสีหน้าแววตาของอีกฝ่ายแล้วเหงื่อพลันหยดไหล ดวงตาดำขลับเอาแต่ลอบมองไปรอบๆ ถ้าหากผู้อื่นมาเห็นว่าคุณหนูของนางอยู่กับบุรุษอื่นกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ จะไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือ เพราะทุกคนในเซียนโจวต่างก็รู้ดีว่า คุณหนูสามสกุลมู่เป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหลิ่งซาน
แทนที่จะตอบคำ มู่ซูเจินกลับมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก่อนจะยอบกายลง “ข้าเป็นใครนั้นรบกวนคุณชายเซียวไปถามกับพี่ชายใหญ่เถิด ข้าขอตัวก่อน” นางกล่าวเพียงเท่านั้นก็ไม่ปล่อยโอกาสให้บุรุษแปลกหน้าซักถามอันใด ปล่อยให้เสี่ยวจีประคองกลับเรือนอย่างรวดเร็ว มาถึงห้องชั้นในแล้วก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุด
คนที่จะมาเดินในเขตชั้นในของตระกูลมู่ได้ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่ ดังนั้นจึงเอาแต่จ้องมองเสี่ยวจีไม่หยุด กระทั่งอีกฝ่ายหลบตาถึงได้ถามออกมา
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าคนผู้นั้นคือใคร?”
เสี่ยวจีกลืนน้ำลายลงคอ เห็นท่าทีจริงจังของคุณหนูสามแล้วก็ไม่กล้าปิดบัง “คุณชายผู้นั้นแซ่เซียว ชื่อเซียวอี้ฉินเจ้าค่ะ เป็นสหายของคุณชายใหญ่ หลายปีมานี้มักเข้ามาพำนักในจวนบ่อยๆ ใต้เท้ากับฮูหยินให้การต้อนรับเป็นอย่างดี การปรากฏตัวครั้งนี้คงเป็นเพราะเข้าจวนมาพร้อมกับคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”
“เป็นสหายคนสนิทของพี่ชายใหญ่หรือ”
“น่าจะเป็นองครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาทด้วยกันนะเจ้าค่ะ”
มู่ซูเจินพยักหน้า คนผู้นี้เป็นสหายของพี่ชายคงไม่ใช่คนเลวกระมัง ดังนั้นจึงเบาใจขึ้น อย่างน้อยๆ เรื่องที่นางพบกับอีกฝ่ายคงไม่เป็นที่โจษจันให้เสียชื่อคุณหนูสามสกุลใหญ่จนทำให้บิดามารดาเจ้าของร่างนี้ต้องขายหน้า
เบาใจขึ้นแล้วก็ต้องรีบคืนกลับสู่ท่าทางปกติ ปล่อยให้ เสี่ยวจีกับเสี่ยวเหยาปรนนิบัติพัดวีอยู่อีกครึ่งชั่วยามจึงโบกมือไล่ทุกคนไปพักผ่อน ส่วนตัวนางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นเตียงนอน
ม่านไหมสีขาวไข่มุกทิ้งตัวลงมาบดบางเงาร่างบอบบาง แต่น่าแปลกที่ค่ำคืนนี้มู่ซูเจินนอนหลับได้ยากเย็นนัก กลิ่นหอมอ่อนจางของดอกเหมยยามค่ำคล้ายเจือไออุ่นร้อนจากบุรุษแปลกหน้าผู้นั้น
ราวกับนางเคยพานพบกับเขามาก่อน โดยเฉพาะเสียงทุ้มนุ่มนวลยามแนะนำตัวเองคล้ายคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เฉกเช่นเดียวกับบุรุษผู้นั้น ยามนี้หลิ่งเซียวฉินยังคงยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นเหมย ดวงตาดำเข้มประดุจหมึกย้อมราตรีกาลเอาแต่มองกิ่งเหมยแดงที่ปลายนิ้วเรียวแตะไล้
เขาจึงอดเอื้อมมือสัมผัสบ้างไม่ได้ ความงามของ ดอกเหมยยามนี้หาได้เทียบเท่าความงามจากเจ้าของร่างบอบบางผู้นั้นไม่ แม้เห็นโฉมหน้านางได้ไม่ชัดนัก แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นกลับงามล้ำทอประกายเสียจนเขาลืมไม่ลง
ยิ่งนึกถึงคิ้วตาก็ยิ่งหรี่ลง ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าความคิดทุกอย่างกลับหยุดชะงัก พร้อมกับเสียงทุ้มแฝงแววเด็ดขาดหลุดออกมาเบาๆ