มู่หยางได้แต่แตะไหล่มนของน้องสาวเบาๆ ก่อนจะก้าวออกจากเรือนเร้นจันทร์ยังไม่ลืมกำชับเสี่ยวเหยากับเสี่ยวจีให้ดูแลน้องสามให้ดีๆ ถ้าหากครั้งนี้พวกบ่าวรับใช้ปล่อยให้น้องสาวของเขาล้มป่วยอีกคงต้องโทษโบยกันสักคนละหลายสิบไม้เป็นแน่ กระทั่งได้ยินเสียงคำยืนยันเป็นมั่นเหมาะนั่นแหละถึงได้เบาใจแล้วก้าวเท้าออกจากเรือนเร้นจันทร์ไปด้วยใบหน้าและแววตาที่ปิดรอยยินดีไว้ไม่มิด
องครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาทยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนชั้นใน ก็ต้องนิ่วหน้ามองบุรุษที่สวมอาภรณ์สีดำนอนเหยียดตัวยาวอยู่บนตั่งด้านนอกเรือน ด้านบนมีเพียงหลังคาที่บดบังไม่ให้หิมะสีขาวพร่างพรมลงมาเท่านั้น แต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับกาเหล้าชั้นดีที่วางอยู่ข้างตัวกระมัง เห็นแล้วก็ได้แต่หรี่ตาลงเล็กน้อย เร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ได้ก็รีบรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก
“เหล้าดี”
“เหล้าย่อมดี” หลิ่งเซียวฉินผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วยกสุราขึ้นจิบเช่นกัน หางตาคอยเหลือบมองสีหน้าขององครักษ์ข้างกายไม่หยุด “ดูท่าทาง อาการของน้องสาวเจ้าคงดีไม่น้อย คิ้วตาถึงได้ผ่อนคลายเช่นนี้”
“น้องสาวของกระหม่อม หายดีแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ปลายนิ้วที่จับจอกสุราของมู่หยางชะงักเล็กน้อย มาถึงขึ้นนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสออกมาหมายความเช่นไรกันแน่ และก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ดีกับน้องสาวจริงๆ หรือ ในเมื่อพวกเขาต่างก็รู้แก่ใจดีว่า ภายในหนึ่งหรือสองปีนี้น้องสามก็ต้องแต่งเข้าเป็นสะใภ้ราชวงศ์ เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแล้ว
ทว่า...หลายปีมานี้ สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่องค์รัชทายาทนึกถึง หาใช่มู่ซูเจิน...น้องสามของเขาไม่
จู่ๆ ความฝาดขมก็ผุดขึ้นในใจ ทำได้เพียงยกสุราขึ้นจิบ ปล่อยให้หิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมายามค่ำค่อยๆ ถูกความดำมืดทมิฬกลืนกินอย่างช้าๆ
ดูเหมือนภายในใจของหลิ่งเซียวฉินเองก็มิได้แตกต่าง ยิ่งนึกถึงสิ่งที่เสด็จพ่อตรัสก็ยิ่งทำให้สุราเพียงหนึ่งกาคล้ายจะไม่พอเสียแล้ว ดังนั้นยังไม่พ้นหนึ่งชั่วยามดี สุราตรงหน้าก็เพิ่มขึ้นอีกหลายกาเลยทีเดียว
แม้ไม่อยากเมามายก็ต้องเมามาย
เสียงอ้อแอ้ของสองบุรุษดังสลับกัน เสียงร้องเพลงเริ่มดังขึ้นเป็นระยะๆ ถ้าหากกงกงเฒ่าประจำตำหนักย่ำรุ่งหรือหัวหน้าขันทีประจำวังหลวงรู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังเมามายเช่นนี้ละก็ คงได้ร้อนเป็นมดในก้นกระทะเป็นแน่ แต่ดูเหมือนรัชทายาทแห่งแคว้นหลิ่งซานจะไม่คิดอะไรมากมายเลยสักนิด เพราะเอาแต่ดวลสุรากับคนสนิทไม่หยุดหย่อน
หิมะที่เคยตกหนักบัดนี้เบาบางลง ความเงียบสงัดมาพร้อมกับแสงโคมไฟที่แขวนตามจุดต่างๆ ส่องสว่างจนถ้วนทั่ว กลิ่นหอมดอกไม้ยามค่ำอบอวลลอยมาตามลม คนดื่มสุราด้วยกันมานับชั่วยามบัดนี้นอนเหยียดตัวยาวไปแล้ว ทิ้งให้องค์รัชทายาทแห่งแคว้นได้แต่มองไปด้านนอกพร้อมถอนใจแรงๆ
กลับเข้าวังครานี้ การแต่งงานที่รั้งรอมานานเห็นทีจะรั้งรอไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องของสตรีในภาพวาดที่ติดอยู่ในใจเขามาหลายปีคงต้องถึงคราต้องเก็บงำเอาไว้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป...เป็นเช่นนี้นับว่าถูกต้องเหมาะสมใช่หรือไม่
เสียงพ่นลมหายใจทิ้งยาวๆ เล็ดลอดออกจากร่างสูงใหญ่ของหลิ่งเซียวฉินไม่หยุด แต่สิ่งที่จะช่วยให้หยุดความคิดมากมายได้คงมีเพียงการเดินเล่นชมจันทร์ในยามค่ำคืนกระมัง อีกอย่างจะว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่ได้ชมทิวทัศน์ของจวนตระกูลมู่มาสักระยะ เมื่อมีโอกาสก็จำต้องไขว่คว้าไว้สักหน่อยคงไม่นับว่าเป็นเรื่องผิด
ถ้าหากเป็นผู้อื่น ขอเพียงแค่ปรากฏกายนอกเรือนหนักแน่นของคุณชายใหญ่ ป่านนี้คงถูกองครักษ์ของตระกูลมู่ควบคุมตัวไปแล้ว ทว่าเหล่าองครักษ์ต่างรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้เป็นใคร จึงได้แต่พากันหลบหลีกเร้นกายแฝงตัวอยู่ในความเงียบเท่านั้น ปล่อยให้องค์รัชทายาทเดินชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนได้อย่างสบายใจ ไม่มีใครกล้าปรากฏตัวมาขัดขวางความสำราญของพระองค์แม้แต่ผู้เดียว
คงเป็นเพราะไม่ได้กลับเมืองหลวงมานาน หรือไม่ก็ทิวทัศน์จวนตระกูลองครักษ์แห่งนี้น่ามองเกินไปใช่หรือไม่ ฝีเท้าขององค์รัชทายาทถึงไม่หยุดลงง่ายๆ เอาแต่เดินชมความงามเบื้องหน้าอยู่ไม่หยุด
กลิ่นหอมรื่นจมูก สลับกับเสียงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ส่งเสียงเคล้าคลอทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนไม่ได้เงียบสงัดจนเกินไปนัก แสงโคมที่จุดไว้ตามสองข้างทางซึ่งถูกหิมะปกคลุมไปเกือบครึ่งให้แสงสลัวรางอยู่บ้าง แต่หาได้เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการชมความงามของบรรดาแมกไม้ใบหญ้าไม่ ดังนั้นจึงก้าวต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงประตูวงจันทร์บานใหญ่จึงได้หรี่ตามอง ถ้าจำไม่ผิด นี่ไม่ใช่เขตชั้นในของตระกูลมู่หรอกหรือ ด้านในคงเป็นเรือนพำนักของนายหญิงคนใดคนหนึ่งกระมัง
หลิ่งเซียวฉินกำลังจะหมุนตัวหันหลัง แต่กลับต้องชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในโสต
“คุณหนู คุณชายใหญ่สั่งให้ท่านพำนักอยู่แต่ในเรือน คุณหนูกลับเข้าเรือนเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวร่างกายต้องความเย็นแล้วจะล้มป่วยเอาได้นะเจ้าคะ”
มู่ซูเจินมองเสี่ยวจีเล็กน้อย เสี่ยวจีผู้นี้เชื่อฟังคำพี่ชายใหญ่มากกว่านางกระมัง “ก่อนออกมาเจ้าก็ห่อคลุมข้าเป็นอย่างดี อีกอย่างกลับไปค่อยดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ก็ได้ ทำเช่นนี้ข้าก็ไม่เป็นไรแล้ว”