“อู่เจี้ยน”
ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ติดตามมาตั้งแต่เมื่อไร เข้ามาในจวนตระกูลมู่ได้เช่นไร เพียงพริบตาด้านหลังพลันปรากฏร่างสูงใหญ่ในชุดดำกลืนกับยามค่ำคืนคุกเข่าลง
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใดกัน” เสียงถามคล้ายไม่รีบร้อนแต่ภายในใจกลับอึดอัดนัก
องครักษ์ลับยังทำงานได้ดีสมชื่อ “แม่นางผู้นั้นคือคุณหนูสาม มู่ซูเจิน ว่าที่พระชายาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“มู่ซูเจิน น้องสาวที่เพิ่งหายป่วยของมู่หยางหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ล้มป่วยมาหลายปี ไม่คิดว่านางจะหายป่วยเร็วเช่นนี้”
แน่นอนว่าประโยคที่หลุดออกมาหาได้พูดกับอู่เจี้ยนไม่ เพราะหลังรู้ฐานะของอีกฝ่ายหลิ่งเซียวฉินก็โบกมือให้องครักษ์ลับถอยออกไป แม้แต่รอยเท้าก็ไม่มีปรากฏบนพื้นหิมะเยียบเย็นเลยด้วยซ้ำ
สายลมอ่อนจางเจือความเยียบเย็นจากหิมะพัดโชยให้ความรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บ้าง แต่องค์รัชทายาทแห่งแคว้น หลิ่งซานกลับยังยืนนิ่งอยู่กับที่ กระทั่งหิมะสีขาวพร่างพรมลงมาอีกครั้งถึงทำให้พระองค์ขยับตัว เคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้งก็กลับมาประทับอยู่ในห้องรับรองของเรือนหนักแน่นแล้ว เพียงรั้งเสื้อคลุมตัวนอกออกได้ก็เอาแต่นั่งมองบรรยากาศด้านนอกนิ่งนาน
กระทั่งเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังเข้ามาใกล้ มุมปากถึงได้โค้งขึ้น “เจ้ามีอะไรหรือ”
มู่หยางก้าวมายืนอยู่ข้างๆ แม้ท่าทางจะนอบน้อมแต่น้ำเสียงหาได้อ่อนลงไม่ “เมื่อสักครู่ พระองค์พบน้องสาวของกระหม่อมหรือ”
“ดูท่าหูตาขององครักษ์มู่ยังคงว่องไวเช่นเดิม”
“องค์รัชทายาท”
เรียกแล้วก็ได้แต่เงียบลง “ไม่รู้ว่ากระหม่อมจะกราบทูลเรื่องนี้ดีหรือไม่”
“เมื่อรู้ว่าไม่สมควรเจ้าก็อย่าได้พูดออกมาเลย”
ยามนี้แม้แต่น้ำเสียงของหลิ่งเซียวฉินเองก็แข็งกระด้างเช่นกัน ถ้าหากให้คาดเดาละก็ มู่หยางคงปรารถนาจะให้กำหนดการมงคลเลื่อนไปอีกหลายปีหน่อย แต่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่นานราชโองการของฮ่องเต้ก็จะประกาศออกมาแล้ว การขัดราชโองการมิใช่ว่าเป็นการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ หรอกหรือ ทุกเรื่องหลังจากนี้ก็ให้เป็นไปตามลิขิตของสวรรค์เถิด
ในเมื่อมีรับสั่งเช่นนั้นหลุดออกมา องครักษ์มู่ก็ได้แต่ยืนหลุบตานิ่งอยู่เบื้องหลัง ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่งดงามหาได้น่าชมอีกไม่ อย่าว่าแต่การชมทิวทัศน์เลย แม้แต่การอยู่คอยรับใช้ข้างกายองค์รัชทายาทก็ไม่อยากจะทำเสียแล้ว แต่ด้วยสายเลือดของตระกูลองครักษ์ที่แบกรับมาหลายร้อยปี คงทำได้เพียงเก็บความรู้สึกนึกคิดของตนเอาไว้ในใจเท่านั้น
อาจเป็นเพราะสองสามวันมานี้คงสงบราบรื่นจนเกินไปใช่หรือไม่ ยามนี้ถึงได้แสดงท่าทีคล้ายคนเบื่อหน่ายออกมา
เห็นคุณหนูเอาแต่ทอดถอนใจทิ้ง เสี่ยวเหยากับเสี่ยวจีพลันลอบสบตากัน พร้อมคลานเข่าเข้ามาหา คนหนึ่งโบกพัดคนหนึ่งนวดขาเอาใจกันไม่หยุด
“คุณหนู ไปเรือนฮูหยินใหญ่ดีไหมเจ้าคะ คุณหนูกับ ฮูหยินไม่ได้พบหน้ากันหลายวันแล้ว ป่านนี้ฮูหยินคงคิดถึงคุณหนูแย่”
“หรือคุณหนูอยากทำอะไรเจ้าคะ ขอเพียงคุณหนูสั่ง บ่าวจะรีบทำให้ทันทีเลยเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ทั้งสองเอาแต่มองอย่างคาดหวัง มู่ซูเจินจึงถอนใจทิ้งก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ “ข้าอยากไปเดินเล่นนอกจวน พวกเจ้าช่วยข้าเตรียมตัวที”
“คุณหนู” ทั้งเสี่ยวเหยากับเสี่ยวจีมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ก่อนเสี่ยวจีจะเอ่ยแย้ง “คุณหนู...คุณหนูเพิ่งหายป่วย ออกไปโดนลมเย็นด้านนอก ถ้าหากใต้เท้ากับฮูหยินรู้เข้าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว อุดอู้อยู่แต่ในจวน นี่สิถึงทำให้ข้ากลับไปล้มป่วยอีก”
“คุณหนูจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“อืม” นางครางรับเบาๆ ก่อนหันไปมองสาวใช้ที่กำลังทำท่าคัดค้านอีก “เสี่ยวเหยาเฝ้าเรือนไว้ให้ดี ส่วนเสี่ยวจีไปกับข้า...เตรียมตัวเถิด”
“คุณหนู” สองสาวใช้คนสนิทได้แต่มองหน้ากัน ถ้าเป็นไปได้พวกนางทั้งสองคงอยากเอาหัวโขกกำแพงเพื่อทัดทาน แต่เพราะไม่กล้าขัดคำสั่งจึงได้แต่ทำตามอย่างรีบร้อนเท่านั้น ช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ตระเตรียมเงินไว้ใช้จ่ายเรียบร้อย เสี่ยวเหยาก็เอาแต่กำชับไม่หยุดปาก “คุณหนู ดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ แล้วก็รีบกลับมานะเจ้าคะ”
“ข้ารู้แล้ว มีเสี่ยวจีไปด้วย เจ้าก็อย่าห่วงนักเลย อยู่ทางนี้ถ้าหากท่านแม่มาหาข้า เจ้าก็รับหน้าดีๆ เล่า”
เสี่ยวเหยาหน้าซีด งานนี้คงทำได้เพียงภาวนาไม่ให้ฮูหยินใหญ่แวะมาเรือนเร้นจันทร์เท่านั้น “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” ยอบกายคำนับเสร็จก็รีบหันไปมองเสี่ยวจี แค่สบตากันทั้งคู่ก็คล้ายจะรู้ถึงคำพูดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
หลังคุณหนูออกจากจวนแล้ว เสี่ยวเหยาก็นั่งไม่ติดเลยสักนิด เอาแต่เดินไปเดินมา จะจับงานชิ้นใดทำก็ไม่มีกะจิตกะใจ ทุกๆ ครึ่งถ้วยชาก็เอาแต่ลอบมองออกไปนอกประตูเรือน
ผิดกับคนที่ออกจากจวนตระกูลมู่เป็นครั้งแรก เพียงก้าวพ้นประตูด้านข้างของจวนในทิศตะวันออกก็มีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ เสี่ยวจีเปิดผ้าม่านแล้วประคองขึ้นรถม้า สั่งให้คนขับเคลื่อนออกไป ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งก้านธูปก็มาถึงถนนที่มีการค้าคึกคัก สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านรวงมากมายหลายสิบร้าน มีเหลาสุราชั้นดี โรงเตี๊ยมมากมายหลายสิบแห่ง ร้านยา ร้านขายเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมก็ล้วนพร้อมพรั่ง ได้ยินว่าหากนั่งรถม้าไปอีกครึ่งชั่วยามก็จะไปถึงฝั่งบูรพา แถวนั้นล้วนเป็นร้านรวงของมารดาทั้งสิ้น ตอนนี้แม้อยากไปเที่ยวนางก็ต้องยั้งความคิดเอาไว้ ทำได้เพียงเดินเล่นแถวๆ นี้เท่านั้น
ประคองคุณหนูสามลงจากรถม้าแล้ว เสี่ยวจีก็รีบคว้าเสื้อคลุมอีกตัวมาคลุมให้ เพราะเกรงความเย็นจะทำให้ร่างกายบอบบางของคุณหนูสามเจ็บไข้อีก หนำซ้ำยังไม่ลืมยัดเตาพกสลักรูปฟักทองให้ด้วย
“ถือเตาพกไว้นะเจ้าคะ มือของคุณหนูจะได้ไม่เย็นนัก”
มู่ซูเจินได้แต่หลุบตามองของในมือแล้วถอนใจแรงๆ “ข้ารู้แล้ว”
“อีกอย่างถ้าหากคุณหนูอยากได้อะไรก็บอกบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวจะจัดการเอง”
ได้ยินแล้วก็ได้แต่พยักยิ้ม ก่อนจะยอมเดินชมร้านรวงหลายสิบร้านอย่างที่เสี่ยวจีต้องการ
เดิมทีคิดว่าการเดินตลาดเช่นนี้จะไม่สนุกเท่าใดนัก ทว่าคงเป็นเพราะวิญญาณของนางระหกระเหินเร่ร่อนมานาน บัดนี้มีร่างอยู่อาศัย จึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นจนมองสิ่งไหนก็งดงามและน่าสนใจไปหมด
เดินเข้าออกหลายร้าน แม้ไม่ได้ซื้ออะไรมากมายนัก แต่แววตาใบหน้าของมู่ซูเจินกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวจี ที่นั่นขายเครื่องประดับใช่หรือไม่”
เสี่ยวจีเหลียวมองตามสายตาของคุณหนูแล้วยิ้มถาม
“คุณหนูอยากได้เครื่องประดับหรือเจ้าคะ”
มู่ซูเจินไม่พูดอะไร ทำเพียงเร่งฝีเท้าเข้าไปในร้านเท่านั้น เถ้าแก่ดูแลร้านคล้ายจะรับรู้ถึงฐานะของนางถึงได้รีบมาต้อนรับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้ต้องการสิ่งใดหรือ”
มู่ซูเจินกวาดตามองไปรอบๆ ความจริงนางอยากหาหยกพกสักชิ้น หรือไม่ก็ปิ่นปักผมล้ำค่าสักอันไปฝากท่านแม่ แต่พอกวาดสายตาผ่านปิ่นไม้ชิ้นเล็กๆ แกะลายดอกจูจิ่นก็ได้แต่นิ่งมองเนิ่นนาน
“แม่นางสนใจปิ่นจูจิ่นชิ้นนี้หรือ”
เห็นผู้ดูแลร้านหยิบลงมาวางไว้บนถาดเบื้องหน้าแล้ว เสี่ยวจีก็ได้แต่เอ่ยเสียงเบา “คุณหนู เหตุใดถึงได้สนใจปิ่นไม้เรียบๆ ชิ้นนี้ล่ะเจ้าคะ ปิ่นหยกขาวมันแพะ ปิ่นทอง ปิ่นเงินที่อยู่บนชั้นวาง งดงามกว่ามากนัก”
“ของงดงามล้ำค่าเหล่านั้นข้ามีพอแล้วไม่ใช่หรือ ปิ่นไม้นี้ต่างหากที่น่าสนใจ”
เมื่อคุณหนูมองราวกับเห็นของชั้นเลิศ เสี่ยวจีก็ได้แต่เก็บคำ แล้วล้วงเอาเงินก้อนหนึ่งออกจากถุงจ่ายให้ตามราคาที่เถ้าแก่เรียกร้อง ออกจากร้านมาแล้วก็ยังอดมองคุณหนูสามนานหน่อยไม่ได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ปิ่นประดับของคุณหนูมีแต่เครื่องหยก เครื่องทองเครื่องพลอยทั้งนั้น จะหาของง่ายๆ อย่างปิ่นไม้นับว่าชิ้นนี้เป็นชิ้นแรก
กระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมมีชื่อแห่งหนึ่ง สายตาของคุณหนูก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้ในมือเลย
สำหรับมู่ซูเจินแล้ว ปิ่นนี้หาใช่ธรรมดาไม่ ในความทรงจำจากวัยเด็กนั้น เมื่อครั้งที่ยังเป็นเจิ้งซวีจูอายุไม่กี่ขวบ นางปักปิ่นไม้เรียบๆ สวมกระโปรงปักลายดอกจูจิ่นที่มารดาปักให้ พอได้เห็นปิ่นไม้แกะสลักลายเดียวกันกับชุดก็อดคิดถึงมารดาแท้ๆ ไม่ได้
เมื่อสีหน้าไม่ดี เสี่ยวจีก็มีแต่ร้อนใจ “คุณหนูไม่สบายหรือเจ้าคะ กลับจวนดีหรือไม่ บ่าวจะรีบไปเรียกรถม้า”
มู่ซูเจินรีบเก็บงำความรู้สึก เก็บปิ่นปักผมไว้ในแขนเสื้อได้ก็คลี่ยิ้มให้ “ข้าแค่หิวเท่านั้น รีบสั่งอาหารเถิด”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวจีรับคำเสียงเบา แล้วเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งอาหารสองสามอย่างกับน้ำแกงร้อนๆ เรียบร้อยก็เอาแต่นั่งมองด้วยความเป็นกังวล กระทั่งสายตาของมู่ซูเจินหยุดลงกับสตรีผู้หนึ่งที่มีสาวใช้สองสามคนเดินห้อมล้อมประคองเข้ามา
“คุณหนูคนนั้น คือผู้ใดหรือ”
เสี่ยวจีเม้มปากแน่น ดูท่าทางแล้วสตรีผู้นั้นก็คงเป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่เช่นกัน “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนไม่ใช่แค่มู่ซูเจินที่สนใจอีกฝ่าย เพราะมีชั่วขณะหนึ่งที่สตรีในชุดสีชมพูปักลายดอกไห่ถังตรงชายชุดก็หันมามอง มู่ซูเจินเช่นกัน ถ้ามองให้ชัดๆ ก็จะเห็นว่าในสายตาคู่นั้นมีความตื่นตะลึงและแสนเสียดายปะปน บางครั้งก็มีแววเสียใจแลทุกข์ตรมเผยออกมาด้วย ทว่าในยามเผชิญหน้ากับผู้อื่นกลับมีแค่เพียงความนิ่งเฉย ทุกๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถูกเก็บงำเอาไว้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าสตรีทั้งสองจะมองหน้ากันหรือคิดสิ่งใดอยู่ ทว่าสำหรับบุรุษผู้นั่งอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมแล้วกลับเอาแต่หรี่ตามองภาพนั้น ทำเอาอู่เจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ
นั่น...มิใช่เป็นการพบกันครั้งแรกของว่าที่พระชายากับพระชายารองขององค์รัชทายาทหรอกหรือ คิดแล้วก็อดทิ้งสายตามองแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้นั่งอยู่เบื้องหน้าไม่ได้
และที่สำคัญ อู่เจี้ยนอยากรู้เหลือเกินว่าหญิงงามจากตระกูลใดจะต้องตาองค์รัชทายาทมากน้อยไปกว่ากัน