“คุณหนู”
เสี่ยวจีเร่งฝีเท้าเข้ามาในห้อง ใบหน้าสะสวยดูเป็นมิตรและอ่อนน้อมในคราเดียวกันนั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหา แต่ดูก็รู้ว่าช่วงขานั้นกว้างกว่าทุกวันมากมายนัก ท่าทีของเสี่ยวจีทำเอา มู่ซูเจินต้องหรี่ตามองในทันที ปกติเสี่ยวจีเรียบร้อยสงบเสงี่ยม แม้พอมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้างแต่ไม่เคยโอ้อวดให้ใครเห็น ค่อนข้างจะเงียบขรึมเก็บตัวด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มทั้งปากทั้งตา
“มีใครทำให้พี่เสี่ยวจีอารมณ์ดีถึงเพียงนี้หรือ” เสี่ยวเหยารีบล้อเลียน
อีกฝ่ายขึงตาใส่เล็กน้อย แล้วยอบกายคำนับก่อนจะรายงานออกมาเสียงสั่น “คุณชายใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้มาถึงหน้าเรือน ให้บ่าวไปเชิญคุณชายใหญ่เข้ามาในเรือนนะเจ้าคะ”
ดูท่าทางเสี่ยวจีจะเป็นคนของพี่ชายใหญ่จริงๆ แถมยังซื่อสัตย์กับพี่ชายใหญ่ไม่น้อย เทียบกันแล้วเผลอๆ อาจจะมากกว่านางด้วยซ้ำไป เห็นท่าทีคาดหวังก็ได้แต่รีบพยักหน้า ปล่อยให้เสี่ยวจีไปเชิญพี่ชายเจ้าของร่างเข้ามา ส่วนตนเองนั้นก็ให้เสี่ยวเหยาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป ร่างบอบบางระหงสวมอาภรณ์สีครามปักลายฮุ่ยจื่อตรงชายกระโปรง ด้านบนคลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว เส้นผมรวบแบบง่ายๆ แล้วปักปิ่นหยกแกะสลักลายเดียวกับชุด ส่วนหน้าตานั้นไม่ได้แต่งแต้มอะไรเลย แค่ทาชาดสีชมพูบางๆ คล้ายกลีบเหมยเท่านั้น เรียบร้อยนางก็ให้เสี่ยวเหยาประคองออกมาจากห้องชั้นใน
ห้องโถงด้านหน้าของเรือนหลักถูกจัดเอาไว้ต้อนรับผู้อื่น ตอนนี้มีบุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังยืนจิบน้ำชาทอดสายตามองทิวทัศน์รอบๆ เรือนเร้นจันทร์แห่งนี้ ท่าทางนิ่งสงบกับแผ่นหลังเหยียดตรงคล้ายกำแพงหินแข็งแกร่งให้ความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน ราวกับว่าขอเพียงอยู่ใกล้ๆ บุรุษผู้นี้นางก็จะถูกปกป้อง ต่อให้เผชิญอันตรายมากมายเพียงใดก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย
มาถึงตอนนี้เจิ้งซวีจูก็อดอิจฉาเจ้าของร่างนี้ไม่ได้ ครั้งหนึ่งนางเองก็เคยได้รับการปกป้องจากพี่ชายพี่สาวในตระกูลเจิ้งเช่นกัน แต่พอมู่หยางหันมาดวงตาอุ่นร้อนด้วยวาวน้ำพลันรีบกะพริบถี่ๆ แล้วยอบกายคำนับอย่างอ่อนน้อมยิ่ง
“เจินเอ๋อคารวะพี่ชายใหญ่”
เพียงเห็นน้องสามยืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกคล้ายได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาพลันเต็มตื้นในอก น้องสาวของเขาคนนี้ล้มป่วยตั้งแต่หกปีก่อน วันๆ นอกจากนอนติดเตียง มีสีหน้าซีดเซียว อยู่ได้ด้วยการใช้ยาบำรุงล้ำเลิศ เห็นน้องสาวลุกขึ้นมาเดินได้อย่างปกติเช่นนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าคาดหวังเลยจริงๆ
ความรู้สึกในตอนนี้มิเพียงพูดไม่ออก แต่สายตาคู่คมไม่อาจละสายตาไปไหนได้
“เจินเอ๋อ” เสียงของมู่หยางสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาผู้เป็นองครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาท ผ่านเหตุการณ์มากมาย เห็นความทุกข์ยากมาก็มาก แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนการเห็นน้องสาวกลับมาแข็งแรงจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ความรู้สึกของเขาล้มคว่ำคะมำหงาย ไม่ว่าด้วยฤทธิ์ยาบำรุงหรือเหตุผลอันใดที่ทำให้น้องสาวกลับมาแข็งแรงเร็วขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ขอบคุณแล้ว
มือที่เอื้อมไล้ข้างแก้มอดสั่นไม่ได้จริงๆ “น้องสาม เจ้าหายป่วยแล้ว ดีจริงๆ”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าหายป่วยแล้วเจ้าค่ะ”
อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างเจ้าของร่างกับบุรุษผู้นี้มีมากมายกระมัง เพียงเห็นประกายตาทอแววอบอุ่นอ่อนโยนทอดมองมาถึงได้ทำให้น้ำตาเม็ดกลมกลิ้งผ่านแก้มนวลราวกับไข่มุกขาดร่วงจากสาย ร้อนจนมู่หยางต้องเช็ดน้ำตาให้
“ร้องไห้ทำไม เจ้าหายป่วยเป็นเรื่องดีที่สุด เจ้าต้องยิ้มสิ”
“ข้าร้องไห้เป็นเพราะดีใจที่ได้เห็นพี่ชายใหญ่ ได้พูดคุย ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ ข้า...ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลับมาแข็งแรงแบบนี้”
“เด็กโง่” คำต่อว่าไม่จริงจังนักมาพร้อมกับแรงดึงรั้งเข้าสู่อ้อมอก นางตกใจในคราแรกแต่เพียงอึดใจก็ผ่อนคลายร่างกาย ตอนนี้นางอยู่ในร่างของมู่ซูเจิน นางคือน้องสาวแท้ๆ ของมู่หยาง พี่ชายกอดน้องสาวเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าความเป็นจริงนั้นชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ทว่าเจ้าของร่างเดิมกับบุรุษผู้นี้เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ความสนิทสนม ความรักใคร่ย่อมมีมาก
ปล่อยให้ความอบอุ่นจากพี่ชายใหญ่รายล้อมอยู่นาน มู่ซูเจินถึงได้ผละห่างแล้วยิ้มถามด้วยตาแดงๆ “พี่ชายใหญ่จะอยู่จวนสักกี่วันเจ้าคะ ต้องเข้าวังอีกหรือเปล่า”
มู่หยางประคองน้องสาวนั่งบนเก้าอี้กลม รินน้ำชาให้ตนเองกับน้องคนละถ้วย ยกน้ำชาจิบเบาๆ พลางยิ้มบอก “พี่ชายได้หยุดสามวัน เอาไว้จะอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นระหว่างนี้ น้องสาวต้องบำรุงร่างกายให้ดี พี่ชายนำยาสมุนไพรบำรุงกำลังมาไม่น้อย กินให้หมด ถ้าแข็งแรงกว่านี้ พี่ชายจะพาเจ้าออกไปเดินเล่นนอกจวน ไปไหว้พระชมดอกเหมย ไปกินอาหารอร่อยๆ ขึ้นชื่อในเมือง ดีหรือไม่”
มู่ซูเจินได้แต่พยักหน้าหงึกๆ “ดีเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลร่างกาย จะกินของบำรุงที่พี่ชายมอบให้จนหมดนะเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มเจิดจ้ากับดวงตากลมโตทอประกายราวกับแสงสว่างของจันทราเช่นนี้ทำเอามู่หยางอดมองนานหน่อยไม่ได้ กระทั่งรู้สึกแปลกๆ จึงรีบกระแอมไอในลำคอเอ่ยอย่างโง่งมว่า
“อากาศเย็นเช่นนี้ มีเสื้อคลุมมากพอไหม พี่ชายจะไปล่าจิ้งจอกบนเขา ตัดเสื้อคลุมให้เจ้าสักหลายๆ ตัวดีหรือไม่”
“เสื้อคลุมมีมากพอแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ส่งคนนำมามอบให้มากมาย”
“นั่นสินะ ท่านแม่จะปล่อยให้เจ้าลำบากได้เช่นไร”
“พี่ชายล่ะเจ้าคะ ไปหาท่านแม่บ้างหรือยัง”
น้อยครั้งที่มู่หยางจะมีท่าทีขัดเขินเช่นนี้ “ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่เลย เปลี่ยนชุดได้ก็มาหาเจ้าเป็นคนแรก”
“ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า พี่ชายใหญ่ต้องถูกลงโทษแน่ๆ”
“ต่อให้ต้องโทษคุกเข่าในศาลบรรพชน พี่ชายก็มีแต่ต้องยอมรับอย่างเต็มใจแล้ว”
“ขอบคุณพี่ชายที่นึกถึงข้านะเจ้าค่ะ”
แววตาของพี่ชายใหญ่ที่มองมาในครานี้เต็มไปด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ามีเจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ อยู่คนเดียว จะคิดถึงเจ้าให้มากหน่อยย่อมเป็นเรื่องถูกต้อง ผู้อื่นหาได้สำคัญเทียบเจ้าได้ไม่”
“พี่ชายใหญ่”
“เจินเอ๋อ จำไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สำหรับพี่ชาย เจ้า...สำคัญที่สุด”
นางได้แต่ลุกจากเก้าอี้กลมแล้วยอบกายคำนับ “ขอบคุณพี่ชายใหญ่เจ้าค่ะ”
“เอาเถิด พี่ชายไม่รบกวนแล้ว เจ้ารีบกินข้าวพักผ่อนให้มากๆ เอาไว้พี่ชายใหญ่จะแวะมาดูอีกที”
“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังพี่ชายใหญ่เป็นอย่างดี จะไม่ปล่อยให้พี่ชายใหญ่เป็นห่วงอีก”