น้ำตาแห่งความเสียดายค่อยๆ หยาดไหลผ่านหางตาลงสู่ถังน้ำ ปะปนกับโลหิตจนแยกแยะไม่ออก
ภายนอกเรือนและบริเวณรอบๆ ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว บ่าวไพร่ในเรือนล้มตาย นอนเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด นายหญิงในแต่ละเรือนล้วนสิ้นลมหายใจทั้งสิ้น แม้แต่นายท่านสกุลเจิ้งเอง ศีรษะกับลำคอล้วนแยกกันไปคนละทิศทาง ศีรษะที่หล่นกองอยู่กับพื้นหิมะย้อมบริเวณนั้นจนแดงฉาน แถมดวงตาเจ้าของศีรษะยังเบิกถลนคล้ายตกใจและไม่ชัดเจนในเหตุสิ้นชีวิตของตน
ปลายเท้าของใครบางคนขยับเข้ามาใกล้ แล้วปิดตาซุกซ่อนความเวทนาเอาไว้ ขณะน้ำเสียงเยียบเย็นดังขึ้น “ยังมีใครเหลือรอดอีกหรือไม่”
คนผู้หนึ่งประสานมือตอบ “ตามรายงาน คนของสกุลเจิ้งมีทั้งหมดเจ็ดสิบเจ็ดชีวิต สังหารไปแล้วเจ็ดสิบห้า ยังเหลืออีกสองชีวิตขอรับ”
บุรุษร่างสูงผู้นั้นปิดตาลง สั่งเพียงคำสั้นๆ
“ฆ่า!”
ได้ยินคำสั่งแล้ว กลุ่มคนชุดดำที่ประสานมือรอรับคำสั่งพลันหันกายไปควานหาผู้เหลือรอดชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่เพียงคนกลุ่มนี้ถอยห่าง เจ้าของร่างสูงในชุดสีดำสนิทกลืนกับยามค่ำคืนกลับได้ยินเสียงหนึ่งแว่วมา
“คุณหนู...ไปทางนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ นายท่าน...” เสียงของสาวรับใช้ขาดหายทันทีที่สายตาปะทะกับรอยเลือดลากยาว นางได้แต่กระโจนไปคว้ามือของคุณหนูให้หลีกหนีไปอีกทาง แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามายังทิศทางที่นางกับคุณหนูเจ็ดยืนอยู่ เพียงจะหมุนกายหาที่เลี่ยงหลบ กระบี่สีเงินเล่มนั้นก็บั่นบ่าข้างหนึ่งจนร่างกายทรุดลง
“คุณหนู...หนะ...หนีไป” เอ่ยได้แค่นั้นก็พลันสิ้นลม
ทิ้งให้เจิ้งซวีจูในวัยสิบเอ็ดปีเบิกตาโพลง ก่อนจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงตรงหน้าท้อง ลมหายใจค่อยๆ แผ่วลงๆ ทรมานอย่างที่ในชีวิตไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย เด็กน้อยพยายามมองผู้ลงมือปลิดชีวิตตัวเองให้ชัดๆ แต่น่าเสียดายที่ต่อให้พยายามกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดเพื่อดูหน้าอีกฝ่ายแค่ไหน กลับเห็นเพียงชายชุดสีดำที่กลมกลืนกับยามค่ำคืนเท่านั้นเอง
ท่ามกลางกลุ่มควันสีเทา แพขนตาโค้งงอนราวคันศรพลันกะพริบ ยังไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็เผยให้เห็นดวงตากลมโตราวกับผลท้อ แต่น่าเสียดายที่ไร้ประกายชีวิตชีวา เมื่อลืมตาได้กว้างแล้วเด็กน้อยกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงหน้าท้องอีก มีแค่เพียงร่างกายเบาหวิวคล้ายจะปลิดปลิวไปในทิศทางใดก็ได้
เจิ้งซวีจูค่อยๆ ลุกขึ้น ภาพตรงหน้าไม่ใช่ร่างจมกองเลือด และก็ไม่มีบุรุษตัวโตที่สังหารนางผู้นั้น กลับเหลือเพียงควันขมุกขมัวบดบังสายตาจนพร่าเลือน
เมื่อร่างเล็กเดินผ่านกลุ่มควันนั้นไป กลับได้เห็นร่างของผู้เป็นบิดานอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ร่างกายไม่มีศีรษะ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีถ้อยคำเรียกขานนางว่าจูเอ๋ออีกแล้ว มีเพียงเลือดไหลนองออกจากร่างกายไม่หยุดเท่านั้น เจิ้งซวีจูพยายามเรียกขาน นางเอื้อมมือไปจับแขนแต่ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งกลับไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
แล้วภาพก็ตัดไปยังแม่ใหญ่ แม่รอง อี๋เหนียงของท่านพ่อแต่ละคนล้วนนอนจมอยู่กับกองเลือด ภาพที่เห็นทำให้ดวงตากลมโตได้แต่เบิกค้าง แดงก่ำเสียจนแทบจะคั้นเลือดออกมาได้ แต่ภาพเหล่านี้ก็ยังไม่สะเทือนใจเท่ากับการได้เห็นพี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง และพี่น้องคนอื่นๆ ล้วนไร้ชีวิต เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทุกคนสวมใส่มีแต่รอยเลือดสีแดงเข้มทั้งสิ้น
ริมฝีปากของนางสั่นเทา น้ำตาหลั่งไหลราวกับไข่มุกขาดจากสายร้อย แล้วร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าพลันค้างแข็ง ในยามที่สายตาปะทะกับภาพของมารดาจมอยู่ในถังน้ำ เส้นผมสีดำนุ่มของท่านแม่ถูกปล่อยสยาย ปะปนกับกลีบกุหลาบสีแดงสด มือเล็กๆ ทำได้เพียงจับขอบถังไม้ด้วยความสั่นเทา
“ทะ...ท่านแม่” เสียงสั่นเครือขาดห้วง “ท่านแม่”
เจิ้งซวีจูพยายามโน้มกายไปดึงร่างของมารดาขึ้นจากน้ำ แต่น่าเสียดายเพียงขยับทุกอย่างก็พลันหายไปเหลือแค่เพียงตัวนางที่นั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มควัน
นางได้แต่นั่งคุกเข่าร้องไห้ออกมาจนเสียงแหบเสียงแห้ง และทันทีที่เงยหน้าขึ้น ภาพที่เห็นก็คือร่างโชกเลือดของนางที่กองอยู่กับพื้น อาภรณ์ปักลายฮุ่ยจื่อสีฟ้ากลายเป็นสีแดงฉานดูน่ากลัว
เจิ้งซวีจูรู้ว่าตัวเองตายแล้ว บิดา มารดา บรรดาอี๋เหนียง และพี่ชายหญิง ผู้คนในจวนสกุลเจิ้งเจ็ดสิบเจ็ดชีวิตไม่มีใครเหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว เหตุใดบ้านสกุลเจิ้งที่อยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นมาหลายสิบปีกลับต้องมีชะตาน่าอเนจอนาถเช่นนี้ มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ควันไฟโหมกระหน่ำจนมองภาพตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน ไกลๆ นั้นยังมองเห็นเปลวไฟสีแดงฉานที่กำลังลุกไหม้เผาผลาญเรือนแต่ละหมู่จนวอดวาย
เหตุใดนางถึงเป็นเพียงผู้เดียวที่มองเห็นภาพนี้ เหตุใดสวรรค์ถึงไม่ปิดตาปิดหูแล้วปล่อยให้นางนอนจมกองเลือดเฉกเช่นผู้อื่นกัน ทำไมต้องทำให้นางมองเห็นความทุกข์ทรมานจนใจเจียนขาดเช่นนี้ด้วย
“เจิ้งซวีจู” เสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อนาง ทำให้ต้องเหลียวมองไปรอบๆ
“เจิ้งซวีจู” น้ำเสียงนั้นดูเหมือนจะดังอยู่ใกล้ๆ แต่พอเงี่ยหูฟังดีๆ กลับรู้สึกว่าไกลห่างเหลือเกิน