เจิ้งซวีจูพยายามมองหาที่มาของเสียงอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน กลับมองเห็นเพียงควันสีเทาที่ลอยคลุ้งบดบังภาพเบื้องหน้าจนมองเห็นไม่ชัดนัก แม้แต่ร่างสิ้นลมของนางที่นอนอยู่เบื้องหน้าก็ยังมองไม่เห็น ไขว่คว้าไปก็จับต้องได้แต่ความว่างเปล่า
นางค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วหมุนกายออกจากความขมุกขมัว เดินไปตามทิศทางของเสียงเรียก แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่าง ยิ่งไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย กระทั่งภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนจากภายในจวนสกุลเจิ้งเป็นผืนน้ำสงบนิ่งแห่งหนึ่ง
“เจิ้งซวีจู” ครานี้เป็นเสียงของบุรุษที่เรียกนางเอาไว้ เสียงทุ้มนุ่มอบอุ่นราวกับวสันต์แรกฤดูฉุดรั้งฝีเท้าไม่ให้ก้าวต่อ ร่างกายคล้ายถูกตรึงอยู่กับที่ รับรู้เพียงความเยียบเย็นจากสายลมอ่อนจางจนขนกายลุกซู่
วิญญาณของนางที่ควรจะล่องลอยไปเบื้องหน้า ไหลไปตามกระแสน้ำกลับปลิดปลิวไปหาที่มาของเสียงนั้น ทว่าต่อให้ดิ้นรน ขวนขวายพยายามแค่ไหน กลับหาเจ้าของน้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นไม่พบ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใดแล้ว จนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของใครหลายคนดังขึ้นใกล้ๆ มีสัมผัสอบอุ่นปะทะเข้ากับฝ่ามือเล็กๆ มันเป็นความร้อนลวกจากน้ำตาที่ซึมซาบเข้าสู่ผิว
“คุณหนู...คุณหนู” น้ำเสียงสั่นๆ ชวนให้เจ็บปวดเหลือเกิน
“ท่านพี่...ลูกของเรา...ลูกของเรา”
แต่เสียงนี้ทำให้ความเจ็บนั้นซึมลึกไปจนถึงกระดูก วิญญาณของนางที่ล่องลอยอยู่ไม่ควรเจ็บปวดกับสิ่งใดกลับอึดอัดจนรู้สึกเหมือนกำลังตายซ้ำอีกรอบ
“เจินเอ๋อ...เจินเอ๋อของแม่”
เจิ้งซวีจูรู้ดีว่าชื่อนั้นไม่ใช่ชื่อของนาง น้ำเสียงร้าวรานของสตรีผู้นั้นก็ไม่ได้เรียกนางแต่อย่างใด ทว่าเหตุใดถึงไม่อาจฉุดรั้งฝีเท้าให้ก้าวเข้าไปยังจวนโอ่อ่า
ที่นี่คือแห่งใด เป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ เหตุใดวิญญาณที่ควรจะลงไปยังปรโลกถึงได้ถูกฉุดรั้งมาที่นี่ คำถามนี้ยังไม่กระจ่างใจเลยสักนิด ภาพตรงหน้ากลับกลายเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ประตูเรือนนั้นส่องสว่างแสงสีทองที่ทำเอาแสบตาเหลือเกิน แสบเสียจนนางต้องปิดตาลง ยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งแสงนั้นเจือจางลงถึงได้เบิกตาขึ้น
ยังมองได้ไม่ดีนัก ตัวนางก็พลันมาหยุดอยู่ตรงปลายเตียงไม้หลังใหญ่เสียแล้ว บัดนี้มองเห็นร่างของใครบางคนนอนนิ่งสนิทอยู่ตรงหลังม่านไข่มุก มีผู้คนกำลังฟูมฟายร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
อะไรบางอย่างผลักนางให้เข้าใกล้ร่างของสตรีผู้นั้น โดยไม่ทันได้ตั้งตัววิญญาณคล้ายถูกตรึงอยู่กับที่ นอนนิ่งอยู่หลายชั่วยาม แม้แต่จะลืมตาขึ้น จะขยับตัวสักเล็กน้อยก็ยังทำไม่ได้เลย
“เจินเอ๋อ” น้ำตาหยดหนึ่งจากสตรีผู้นั้นหยาดกระทบหลังมือของนาง “ตื่นเถิดลูก อย่าเป็นแบบนี้เลย ใจแม่จะขาดแล้ว”
เจิ้งซวีจูอยากลืมตาขึ้น แต่ช่างทำได้ยากเหลือเกิน นางรับรู้เพียงความขมปร่าที่ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ สุดท้ายก็กระอักไอเลือดคำโตออกมา ดูเหมือนร่างของสตรีที่นางถูกดึงเข้ามาอยู่นี้จะเจ็บป่วยไม่น้อย ร่างกายภายในถึงได้บอบช้ำเสียจนเหมือนคนใกล้ตาย
ตลอดเวลาที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ เจิ้งซวีจูรับรู้ว่ามีผู้คนเดินเข้ามาใกล้มากมาย มีทั้งคำพูดอบอุ่นที่แฝงไปด้วยความรักใคร่ มีทั้งความเอาใจใส่จากแววตาและท่าทีของผู้คนเหล่านี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เหตุใดแม้ว่าร่างของสตรีผู้นี้ยังนอนทุกข์ทรมาน กลับยังมีใครบางคนลอบทำร้ายและอยากให้นางตายเล่า
ตกลงแล้ว นางมาอยู่สถานที่ใดกันแน่ เจินเอ๋อ ที่พวกเขาเรียกขานเป็นใคร ความสงสัยมากมายเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากหนึ่งวัน สองวัน กลายเป็นเจ็ดวัน ตอนนี้นางแทบจำไม่ได้แล้วว่าตนเองนอนนิ่งๆ อยู่เช่นนี้นานเท่าไร
ทุกๆ วันคืนเหล่านั้นยังคงมีเสียงเรียกขาน เสียงร้องไห้ น้ำตาจากใครหลายคนไหลนองจนอดคิดไม่ได้ว่า สักวันหนึ่งน้ำตาเหล่านั้นคงท่วมสถานที่แห่งนี้เข้าให้แล้ว
กระทั่งความเจ็บปวดภายในร่างค่อยๆ ลดลง ร่างกายนี้ไม่ต่อต้านรสยาขมปร่าที่ใครบางคนบรรจงป้อนใส่ปากอีก นางกลืนความขมฝาดเฝื่อนลงคอไปชามแล้วชามเล่า จนวันหนึ่งแพขนตาโค้งงอนก็ค่อยๆ กะพริบแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ
ภาพที่เห็นเป็นผ้าม่านปักลายดอกไม้งดงาม เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนล้ำค่า มีการแกะสลักลายอย่างอ่อนช้อย ใครคนหนึ่งกำลังคุกเข่าก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ เตียง นางพยายามครุ่นคิดและความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็พลันหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาตื่นตระหนกเสียจนแทบหยุดหายใจ เด็กสาวที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นผู้นั้นคือสาวใช้คนสนิทของร่างนี้
“เสี่ยวเหยา”
รับรู้เพียงเสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากช่างแผ่วเบาเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นเจ้าของชื่อก็ยังรีบเงยหน้าขึ้นแล้วมองหน้านางอย่างตื่นตะลึง คล้ายกับไม่คิดฝันว่าชีวิตนี้จะได้ยินเสียงจากร่างนี้อีก
“คุ...คุณหนู”
เสี่ยวเหยาในตอนนี้อายุมากกว่านางในครั้งที่เป็นเจิ้งซวีจูเพียงไม่กี่ปี พอเห็นเสี่ยวเหยาแล้วน้ำตาพลันไหลออกมา เมื่อก่อนก็เคยได้ยินใครหลายคนเรียกนางว่าคุณหนูเหมือนกัน แต่บัดนี้ทุกชีวิตที่เคยเรียกขานกลับไม่มีใครเหลือลมหายใจอยู่อีก
“คุณหนู”
เสี่ยวเหยารีบพุ่งเข้ามาหา น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบดวงหน้ากลมขาว ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ “คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ”
น้ำตาอุ่นๆ ที่หล่นกระทบหลังมือในยามนี้ ทำให้เจิ้งซวีจูได้แต่คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น และนางก็ได้รู้ว่า ร่างนี้คือร่างของคุณหนูสาม มู่ซูเจิน แห่งจวนสกุลมู่ เมื่อหกปีก่อนเจ้าของร่างเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ มีบางครั้งทุกคนถึงขึ้นคิดว่ามู่ซูเจินได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่า ตัวนางที่เป็นเจิ้งซวีจูได้ตายไปแล้ว ตายไปนานถึงหกปี วิญญาณที่ลอยปลิดปลิวอยู่ก่อนหน้า ใช้เวลาถึงหกปีถึงได้เข้ามาอยู่ในร่างของมู่ซูเจินผู้นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากความตื่นตระหนก คงทำได้เพียงปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ในร่างนี้ให้ดีเท่านั้น และมีสิ่งหนึ่งที่นางต้องทำให้ได้ นั่นคือ ตามหาคนที่ฆ่าล้างตระกูลเจิ้งแล้วแก้แค้นให้พวกเขา ให้คนที่เกี่ยวข้องพวกนั้นมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย! ทว่าถึงแม้จะมีความตั้งใจเช่นนั้น แต่จะทำได้ยังไง ในเมื่อต่อให้มีร่างใหม่ นางก็เป็นได้แค่คุณหนูในห้องหับ อย่าว่าแต่จะออกไปแก้แค้นเลย แม้แต่จะก้าวออกไปจากเรือนแห่งนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากเย็น