บทที่ ๑ สตรีในภาพวาด(๓)

1647 คำ
“ฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งเชิญเสด็จองค์รัชทายาทเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” มุมปากของหลิ่งเซียวฉินกดลง “ในเมื่อเสด็จพ่อเรียกเข้าเฝ้า ก็เชิญกงกงนำทางเถิด” กงกงรับใช้ข้างกายองค์ฮ่องเต้ทำได้เพียงโค้งคำนับเชื้อเชิญองค์รัชทายาทเสด็จยังตำหนักเหยียบเมฆ ทันทีที่ส่งเสด็จเข้าสู่ตำหนักใหญ่ไป กงกงเฒ่าก็กลายร่างเป็นเทพเฝ้าประตู โดยสายตานั้นทิ้งลงบนพื้นหน้าประตูตำหนัก ท่าทีของมู่หยางเองก็ไม่ได้แตกต่างจากหวงกงกงเลยสักนิด เพราะตอนนี้องครักษ์หนุ่มก็ทำได้เพียงหลุบตามองขั้นบันไดตำหนักที่ประทับของเจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้น ทันทีที่บานประตูไม้สลักมังกรสวรรค์ปิดสนิทลง ดวงตาดำทมิฬของหลิ่งเซียวฉินก็หลุบมองเพียงรองเท้าปักลายมังกรเหินของตนเอง ท่าทางของหลิ่งเซียวฉินในเพลานี้ดูสำรวม เรียบร้อย แล้วก็สุขุมกว่าในยามปกติยิ่งนัก พริบตาเดียว บุรุษผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้สลักลายมังกรตัวใหญ่ก็ละสายตาจากฎีกาในมือ สายพระเนตรของฮ่องเต้หลิ่งเซียวเอ้าหยุดลงบนร่างของพระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของตนนิ่งนาน องค์ชายน้อยในวันวานบัดนนี้เติบใหญ่เป็นบุรุษมากความสามารถเหมือนกับเขาเมื่อสามสิบปีก่อนไม่มีผิด “ลูกคารวะเสด็จพ่อ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ฮ่องเต้แห่งหลิ่งซานโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ามานี่ มาใกล้ๆ” หลิ่งเซียวฉินขยับไปด้านหน้าเพียงก้าวเดียวแล้วหยุดนิ่ง “อีกสามเดือนเจ้าก็อายุยี่สิบห้าปีเต็มแล้ว” คนมีอำนาจล้นฟ้าเริ่มอารัมภบท “เจ้ายังจำพระประสงค์ของเสด็จย่าได้หรือไม่” “แม้เสด็จย่าจะสวรรคตไปหลายปีแล้ว แต่ลูกก็ยังจำพระดำรัสทุกอย่างของเสด็จย่าได้เป็นอย่างดี” “เช่นนั้นก็ถึงเวลา ทำเรื่องหมั้นหมายในคราวนั้นให้เป็นจริงสักที” ร่างกายของหลิ่งเซียวฉินคล้ายจะแข็งค้างไปชั่วครู่ แต่เพียงอึดใจเดียวความรู้สึกนั้นก็หายไป องค์รัชทายาททำเพียงประสานมือตอบ “ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นสมควรแก่เวลา เช่นนั้นก็ตามพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้า...ยินยอมแต่งพระชายาแล้วเช่นนั้นหรือ” “ในเมื่อเป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อกับเสด็จย่า ลูกจะขัดข้องได้เช่นไร” น้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับพูดคุยเรื่องพรุ่งนี้ดอกเหมยบาน หรือไม่ก็ สำรับนั้นรสชาติไม่ได้เรื่องก็ไม่ปาน “ในเมื่อต้องมีงานมงคลทั้งที ลูกเห็นสมควรว่าพระชายาเอกและ พระชายารอง ก็ให้แต่งเข้าตำหนักของลูกพร้อมกันเถิด” “ฉินเอ๋อ” เมื่อสักครู่ฮ่องเต้หลิ่งเซียวฉินยังพยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรชาย แต่ครานี้กลับต้องหรี่พระเนตรลงอย่างจับสังเกตกับทีท่าที่เปลี่ยนไป “ไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ ขุนนางใหญ่ข้างกายเสด็จพ่อจะได้ไม่น้อยหน้ากัน ให้หญิงสาวสกุลมู่เป็นพระชายาเอก ส่วนหญิงสาวสกุลหลิวก็นั่งตำแหน่งพระชายารองไป เช่นนี้เสด็จพ่อว่าเหมาะสมหรือไม่” “เดิมทีเสด็จย่าของเจ้าหวังให้สกุลมู่เป็นพระชายาเอกอยู่แล้ว เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด” องค์รัชทายาทประสานมือคำนับเต็มพิธีการ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี” ท่าทางของหลิ่งเซียวฉินดูไร้ข้อโต้แย้งก็จริง แต่คนเป็นพระบิดาย่อมรู้ดีว่าตอนนี้ในหัวของพระโอรสกำลังคิดหกคะเมนตีลังกาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายแค่ไหน แต่ในเมื่อเบื้องหน้ายังแสดงออกถึงความอ่อนน้อมเชื่อฟัง เหตุใดคนเป็นฮ่องเต้อย่างตนต้องกวนน้ำให้ขุ่นไปมากกว่านี้ด้วย สู้มองดูบุตรชายคนเดียวดิ้นรนเกี่ยวกับเรื่องนี้สนุกกว่าเป็นไหนๆ ท่าทีเรียบเฉย เย่อหยิ่ง สูงส่งของหลิ่งเซียวฉินยังเป็นเช่นนั้นอยู่ จนกระทั่งปลายเท้าเหยียบย่างเข้าสู่ตำหนักย่ำรุ่งนั่นแหละ ถึงได้แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ก้อนเมฆสีขาวลอยวน พร้อมกับเกิดคำถามในใจ ในเมื่อเสด็จพ่อต้องการให้เป็นไปตามพระประสงค์เดิมของเสด็จย่า แล้วพระองค์จะเรียกเขาเข้าเฝ้าทำไม เพราะทั้งสกุลมู่และสกุลหลิวก็ล้วนต้องแต่งเข้าตำหนักย่ำรุ่งของเขาทั้งสิ้น หรือการเรียกเข้าเฝ้าครั้งนี้จะมีพระประสงค์แอบแฝงกัน ช่วงต้นฤดูเหมันต์ในหกปีก่อน ซูโจวคือหนึ่งในสี่ของเมืองหลักที่โอบล้อมเมืองหลวงของแคว้นหลิ่งซาน เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ห่างจากเมืองหลวงอย่างเซียนโจวเกือบเจ็ดร้อยลี้ ผู้ปกครองเมืองคือนายท่านสกุลเกิง และมีรองเจ้าเมืองอย่างนายท่านสกุลเจิ้ง หลายปีมานี้ทั้งสองสกุลช่วยกันดูแลเมืองซูโจวได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่า ทองคำที่ขุดได้หลายสิบหีบกับเกลือหลายสิบคันรถนั้นหายไป ทางเมืองหลวงจึงได้ส่งผู้ตรวจการมาสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ และคืนวันเดือนดับใกล้ช่วงปีใหม่นั้นบ้านสกุลเจิ้งที่คงอยู่มานับห้าสิบปี มีลูกหลานในตระกูลเกือบเจ็ดสิบเจ็ดชีวิตกลับถูกสังหารล้างตระกูลในชั่วข้ามคืน ว่ากันว่าในคราวนั้น เลือดสีแดงฉานไหลนองออกมานอกประตู บนพื้นหิมะสีขาวถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงในชั่วพริบตา กลิ่นคาวเลือดโชยคละคลุ้ง สิ้นเสียงดาบ เสียงฟาดฟันสลับกับเสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ก็เหลือไว้เพียงเศษเถ้าธุลีที่มอดไหม้บ้านเรือนหลายสิบหมู่ในจวนสกุลเจิ้ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นล้วนตายไปอย่างน่าอนาถ นายท่านสกุลเจิ้ง อย่างเจิ้งเหยียน มีถึงสามภรรยาสี่อนุ และบุตรชายหญิงทั้งหมดรวมเจ็ดคน แม้มีภรรยามาก ลูกมากก็จริง แต่ความรักความเอ็นดูของนายท่านสกุลเจิ้งล้วนแจกจ่ายให้ทุกผู้คนในบ้านอย่างพอเหมาะพอดี บุตรชายหญิงทั้งเจ็ดรักใคร่กลมเกลียวเรียกขานกันพี่น้องทั้งต่อหน้าลับหลัง ภรรยาทั้งเจ็ดคนก็สนิทสนมกลมเกลียวกัน เรียกได้ว่าเป็นที่น่าอิจฉาสำหรับสกุลอื่นเป็นอย่างมาก อาจเพราะชีวิตของเจิ้งเหยียนราบรื่น มีความสุขจนเกินไปกระมัง สวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้งส่งวิบากกรรมหนาหนักมาให้เผชิญด้วยการตายทั้งตระกูล ค่ำคืนน่าสะพรึงกลัว ท้องฟ้าในยามราตรีมืดทมิฬราวกับย้อมด้วยสีน้ำหมึก สายลมแผ่วเบาที่เคยพัดโชยความหนาวเหน็บผสมผสานกับหิมะสีขาวพร่างพรมกลับยิ่งทำให้บรรยากาศหนาวเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเคย ทุกๆ วันที่ผ่านมา คุณหนูเจ็ดเจิ้งซวีจูล้วนต้องอยู่ในเรือน ไม่อาจออกมาเล่นหิมะสีขาวด้านนอกเรือนได้ เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางมักป่วยง่าย อนุภรรยาคนที่สี่ของเจิ้งเหยียนจึงไม่ยอมปล่อยให้บุตรสาวออกมาเล่นข้างนอกบ่อยนัก ทว่าเด็กสาวในวัยสิบเอ็ดปีกลับซุกซนและขี้อ้อนเกินกว่าจะยอมเชื่อฟัง เพียงคนเป็นมารดาหันหลังให้ นางก็ยกชายกระโปรงสีฟ้าปักลายฮุ่ยจื่อที่คนเป็นแม่ลงฝีเข็มด้วยเส้นสายอ่อนช้อยขึ้น ฉีกยิ้มตาหยีโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยววิ่งเร็วๆ ลงจากเรือนโดยมีสาวใช้ผู้หนึ่งขยับตามไปอย่างรวดเร็ว “จูเอ๋อ ช้าๆ หน่อยลูก” เสียงคนเป็นแม่ดังไล่หลัง “ระวังหกล้มนะลูก” เด็กสาววัยสิบเอ็ดหันกลับมาอวดแก้มอวบอูมสีชมพูให้ชม เครื่องหน้านั้นดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ตาของนางโตราวผลท้อ ผิวแก้มใสกระจ่าง ปากเล็กๆ มีสีชมพูระเรื่อคล้ายกลีบเสาเย่า ดูงดงามเย้ายวนไม่สมกับวัยเลยสักนิด เส้นผมสีดำที่นุ่มราวกับแพรไหมชั้นดีถูกเกล้าขึ้น ปักด้วยปิ่นไม้เรียบๆ ดีที่คนเป็นมารดาปักแซมเส้นผมให้นางด้วยดอกจูจิ่นสีชมพูดอกใหญ่ทำให้เด็กน้อยดูน่ารักสะดุดตา “จูเอ๋อ” เสียงคนเป็นมารดาที่ดังขึ้นนั้น ทำให้เจิ้งซวีจูหันมายิ้มตอบ “เดี๋ยวลูกมาเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกไปเล่นเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” ว่าแล้วก็รั้งชายกระโปรงสูง ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าที่ย่ำเดินไปตามหิมะสีขาวเท่านั้น อนุภรรยาของใต้เท้าเจิ้งเหยียนจึงได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับมาเก็บข้าวเก็บของภายในเรือนให้เข้าที่เข้าทาง ชีวิตของนางตั้งแต่ถูกรับเข้ามาในสกุลเจิ้งแห่งนี้เรียกได้ว่ามีความสุขยิ่ง นางเป็นอนุภรรยาคนที่สี่ของใต้เท้าเจิ้ง มีนายหญิงหลายคน ดีหน่อยที่พวกนางเหล่านั้นไม่ได้สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจเฉกเช่นภรรยาของสกุลอื่น พวกนางรักและเอ็นดูอนุภรรยาราวกับเป็นพี่เป็นน้องที่คลานตามกันมา อีกอย่างความรักของนายท่านเรียกได้ว่าทั่วถึงนัก หนึ่งวันในสัปดาห์ต้องมานอนค้างอ้างแรมกับนางเป็นประจำ และวันนี้เองก็เป็นวันของนาง ดังนั้นการต้อนรับสามีในแต่ละครั้งจึงพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ทว่าโชคร้ายก็ตรงที่ในระหว่างนางชำระร่างกายอยู่ในถังน้ำ กระบี่คมกริบเล่มหนึ่งกลับแทงทะลุหน้าอก ย้อมน้ำที่โปรยกลีบกุหลาบสีชมพูสดให้เป็นสีแดงฉานในชั่วพริบตา ไม่ทันได้เห็นด้วยซ้ำว่าผู้ลงมือคือใคร สิ่งสุดท้ายที่สัมผัสได้มีเพียงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง นางเจ็บที่ไม่อาจมีชีวิตปรนนิบัติสามีได้ และสิ้นหวังที่ไม่อาจอยู่เห็นบุตรสาวในไส้ออกเรือน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม