สำหรับมู่หยางแล้ว การเห็นบุรุษผู้หมั้นหมายกับน้องสาวของตนสนใจสตรีอื่นน่าเจ็บปวดนัก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมา นั่นเพราะเขาเป็นองครักษ์ข้างกายขององค์รัชทายาท เขาเป็นคนของพระองค์
“สิบแปดปีที่ผ่านมา พระองค์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลยพ่ะย่ะค่ะ” แต่สิ่งที่ควรพูด ก็ต้องพูด “ทรงปล่อยวางเถิด”
“ปล่อยวางหรือ ข้าหาทำเช่นนั้นได้ไม่ ในเมื่อหกปีก่อนข้ารู้ชื่อนางแล้ว ปีนี้ข้าต้องได้พบนาง”
มู่หยางพยักหน้า ชื่อนี้เป็นแม่นางลู่เพ่ยมอบให้พระองค์ สตรีผู้นั้นทิ้งตำแหน่งสูงศักดิ์แห่งวังหลวงของแคว้นเฟยเทียน มาเป็นเพียงหญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง แต่ในสายตาของเขาและ องค์รัชทายาทนางกลับพิเศษนัก
“เรื่องนี้ เห็นทีข้าคงต้องพึ่งพวกเขาแล้ว” สายพระเนตรที่แฝงแววคาดหวังตวัดมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก หวังว่าคนของตนที่กระจายกำลังกันอยู่ทั้งสี่หัวเมืองใหญ่จะนำข่าวเกี่ยวกับนางมาให้บ้าง ถึงแม้ว่าข่าวคราวนั้นอาจมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายก็ตามที
ภายในวังหลวงมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่จุดสูงสุด โดดเด่นที่สุด และเดินทางขึ้นไปได้ลำบากยิ่ง ผู้ที่จะเหยียบย่างเข้าสู่ตำหนัก อีกหนึ่งก้าวเยื้องย่างถึงสวรรค์ ได้นั้นต้องเป็นผู้มีกำลังภายในล้ำเลิศ บุรุษภายในแผ่นดินนี้เห็นทีจะมีไม่ถึงสามพันคน แต่สามพันคนที่ว่ากลับมีไม่ถึงสิบคนที่สามารถก้าวเข้ามาในวังหลวงแห่งแคว้นหลิ่งซานได้
หลายปีมานี้คงมีเพียงองค์รัชทายาทกับองครักษ์ข้างกายไม่กี่คนเท่านั้นที่มาเหยียบตำหนักแห่งนี้
มู่หยางยังคงยืนนิ่งเป็นรูปสลัก ด้านหน้าของเขาปรากฏแผ่นหลังสูงใหญ่ขององค์รัชทายาทหลิ่งเซียวฉิน นับตั้งแต่ตื่นบรรทมมา พระองค์ประทับเช่นนี้มาสองชั่วยามแล้ว
เพราะหนึ่งก้าวเยื้องย่างถึงสวรรค์ แห่งนี้สามารถมองเห็นทั่วทั้งแคว้นหลิ่งซานได้เกือบทั้งหมด ทำให้องค์รัชทายาทชอบขึ้นมาที่แห่งนี้ ปกติพระองค์อาจเพียงต้องการเห็นแผ่นดินรุ่งเรือง หรือไม่ก็ต้องการพักผ่อนจากการหักโหมงานหนัก ทว่าวันนี้มู่หยางรู้ดีว่าพระองค์กำลังรอคอยคนผู้หนึ่ง
ไม่นานนัก เงาดำวูบวาบสายหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏตามเส้นทางลาดชัน ทิ้งฝุ่นดินบางเบาไว้เบื้องหลัง เพียงพริบตาคนผู้นั้นพลันคุกเข่าลง
น้อยครั้งนักที่มู่หยางจะสัมผัสได้ถึงความหวั่นกลัวจากร่างขององค์รัชทายาท ตอนนี้หลิ่งเซียวฉินกำลังลอบสูดหายใจลึกยาว แต่ถึงกระนั้นองครักษ์ทั้งสองคนซึ่งมีกำลังภายในล้ำเลิศก็ยังคงสัมผัสได้
“รู้ข่าวนางหรือไม่” พระองค์ตรัสขึ้นทั้งๆ ที่สายพระเนตรยังคงทอดมองไปไกล
องครักษ์ลับอย่างอู่เจี้ยนก้มหน้าลง ท่าทีเช่นนั้นทำให้คนมองอยู่ด้านหลังอย่างมู่หยางอดหวาดหวั่นในอกไม่ได้
“แม่นางผู้นั้น ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตายแล้ว...”
มีความเยียบเย็นขุมหนึ่งพัดผ่านมา ทำเอาองครักษ์คนสนิททั้งสองไม่กล้ามองพระวรกายสูงส่งเลยสักนิดเดียว กระทั่งน้ำเสียงแผ่วเบาของพระองค์ดังขึ้นอีกครั้ง
“นางตายตั้งแต่เมื่อไร”
“เป็นหกปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบนั้นทำเอาหลิ่งเซียวฉินสะท้านไปทั้งอก “หวังว่าพระองค์จะพบนางก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปนะเพคะ” คำพูดของลู่เพ่ยดังขึ้น หกปีก่อนสตรีผู้นั้นมอบกระดาษแผ่นเล็กซึ่งระบุชื่อแซ่ และวาดหวังให้เขาหานางพบ แต่แล้วทุกอย่างก็สายเกินไป สตรีที่เขาฝันถึงมาตลอดหลายปีกลับกลายเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
นางตายแล้ว ตายตั้งแต่หกปีก่อน
“ช่างเถิด” ในที่สุดก็ตรัสออกมา “ในเมื่อนางตายไปแล้ว วาสนาระหว่างข้ากับนางก็ถือว่าสิ้นสุดลง พวกเจ้าไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว”
ถึงแม้องค์รัชทายาทจะตรัสราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเช่นนั้น แต่องครักษ์ทั้งสองรู้ดีว่าเพลานี้พระองค์คงเจ็บปวดไม่น้อย ดังนั้นระยะห่างที่พวกเขาเว้นจากนายเหนือหัวจึงค่อนข้างไกลเป็นเท่าตัว
พ้นมาหลายสิบก้าว มู่หยางถึงได้ถามเพื่อนร่วมสำนักเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางถึงตายได้”
“เป็นพระบัญชาจากฝ่าบาท”
อู่เจี้ยนบอกเสียงกระซิบ “เจ้าจำเหตุการณ์ใหญ่ในเมืองซูโจวได้หรือไม่”
เมืองซูโจวที่ถูกกล่าวถึง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ห่างจากเซียนโจวเกือบเจ็ดร้อยลี้ หัวคิ้วของมู่หยางขมวดมุ่น
“ขุนนางเมืองซูโจวกักเก็บเกลือยี่สิบรถม้ากับซุกซ่อนทองคำสามสิบหาบนั่นหรือ”
“ใช่แล้ว และขุนนางผู้นั้นคือ เจิ้งเหยียน คงไม่ต้องบอกใช่หรือไม่ โทษของขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงคืออะไร”
“ปลดจากตำแหน่ง ริบทรัพย์ ฆ่าล้างตระกูล”
เมื่อมู่หยางเอ่ยออกมา ก็ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดจากปากของอู่เจี้ยนอีก มีเพียงสายตาทั้งคู่ที่หลุบลงมองเพียงปลายเท้าของตนเองอย่างรู้ดีว่า โทษทัณฑ์ที่ขุนนางฉ้อฉลจะได้รับนั้นมันเป็นเช่นไรบ้าง และนั่นก็หมายความว่า เจิ้งซวีจู บุตรสาวของ ขุนนางต้องโทษผู้นั้น ก็ต้องได้รับการลงทัณฑ์ไม่ต่างจากบิดา
ได้ยินเรื่องราวของ เจิ้งซวีจูแล้ว ภายในอกของมู่หยางคล้ายจะรู้สึกแปลกๆ บางคราเขาก็โล่งใจเพราะต่อไปนี้น้องสาวของเขาอาจจะสามารถกุมพระทัยขององค์รัชทายาทได้บ้าง แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกว่านับต่อจากวันนี้ไปจะพบเจอเรื่องราวที่คาดไม่ถึง
ความคิดของมู่หยางหยุดลงทันทีที่องค์รัชทายาทขยับพระวรกาย องครักษ์หนุ่มสบตากับเพื่อนเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ได้รับสัญญาณให้หายตัวไป เพลานี้จึงได้แต่ยืนก้มหน้ารอพระบัญชา
“กลับกันเถิด”
พระองค์ตรัสเพียงเท่านั้นก็สาวพระบาทลงจากตำหนัก หนึ่งก้าวเยื้องย่างถึงสวรรค์ลงสู่ด้านล่างทันที แต่ความเร็วเทียบกับยามขึ้นมากลับช้าลงเป็นเท่าตัวทีเดียว
เพียงหลิ่งเซียวฉินเหยียบสู่พื้นดิน กงกงคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หนึ่งพลันประสานมือ
“บ่าวเฒ่าคารวะองค์รัชทายาท”
ทันทีที่สายพระเนตรทิ้งลงบนร่างกงกงเฒ่าแห่งตำหนักเหยียบเมฆของผู้เป็นบิดา สีหน้ากับแววตาของหลิ่งเซียวฉินพลันเปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพียงชั่วกะพริบตาเท่านั้น ตอนนี้คงเหลือแค่เพียงความเรียบเฉย