บทที่ ๔ เสน่หาจอมโจร(๒)

1397 คำ
เพลิงอัคนีขานรับ เสียงห้าวทุ้มไร้การตะคอกเหมือนที่เคยได้ยินนั้น ทำให้เรียวปากอิ่มต้องเม้มสนิทเข้าหากัน ดวงตากลมๆ ทอประกายหวั่นไหว “อีตาบ้า! ขยันทำให้เธอ หนาวๆ ร้อนๆ พิกล” ค่อนขอดเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยอมให้ท่อนแขนกำยำเคลื่อนพาดผ่านเอวบาง อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยนอนให้ใครกอดมาก่อน ถือว่าอีตาโจรนี้เป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ ขนาดเพื่อนรักอย่างยัยเนตรดาว เวลามานอนค้างที่บ้านด้วย ยัยนั่นยังหันหลังนอนคนละฟากฝั่งของเตียง ความใกล้ชิดนี้ทำให้คุณหนูลูกจันทร์ต้องพยายามข่มหัวใจไม่ให้เต้นแรง เพราะกลัวคนที่กำลังแนบแผ่นอกเข้ากับแผ่นหลังของเธอได้ยินเข้า กว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงนิทราก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ไม่รู้ว่าคนที่นอนกอดอยู่นั้นหลับไปแล้วรึยัง นาทีนี้เพลิงอัคนียังเบิกตาโพลงอยู่ในความมืด อยากจะตบกบาลตัวเองให้หนักๆ เพราะว่าดันปากดีตกปากรับคำหญิงสาวในอ้อมแขนไว้ ตัวเองก็ดันเป็นคนรักษาสัจจะยิ่งชีพเสียด้วย แต่ถ้าหล่อนยินยอมพร้อมใจ เขาก็ไม่ผิดนี่ คิดได้แค่นั้นริมฝีปากหยักก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ เอนเอียงสายตามองร่างบางที่หายใจสม่ำเสมอ อยากจะลุกขึ้นมาปลุกเร้าอารมณ์สาวเจ้ายิ่งนัก แต่ท้ายสุดก็เลือกที่จะข่มอารมณ์ เอาเป็นว่าคืนนี้ต้องยอมปล่อยให้แม่สาวน้อยแสนสวยพ้นเงื้อมมือไปก่อน พรุ่งนี้ก่อนเถอะ เขาจะกินเจ้าหล่อนให้อิ่มหนำเชียว ร่างสูงใหญ่กำลังกลั้นลมหายใจตัวเอง ที่สะดุดกึกครั้งแล้วครั้งเล่า คืนนี้ดวงตาเพลิงอัคนีเบิกโพลงในความมืด ก่อนหญิงสาวจะหลับใหล เขาเป็นฝ่ายโอบกอดเธอไว้หลวมๆ แต่ทั้งคืน เวลาที่ร่างอรชรหลับสนิทนี่สิ เธอทั้งกอดทั้งก่าย ไหนจะซุกหน้าเข้ากับอกแกร่งอีก เสื้อผ้าเจ้าหล่อนก็บางเบาซะเกิน ราวกับเปลือยกายนอนข้างๆ ก็ไม่ปาน ความร้อนที่พยายามซ่อนลึกไว้นั้นมันวิ่งพล่าน อยากจะลงทัณฑ์คนที่ริอ่านยั่วยวนคนนี้ใจแทบขาด แต่ติดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ เดี๋ยวแม่คุณจะลุกขึ้นมาฟาดเขาหัวแบะอย่างที่ขู่ไว้ อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนรักษาคำพูดต่างหาก ปากดันซวยทำให้ตัวเองต้องนอนระงับความต้องการในส่วนลึก ทั้งที่ตอนนี้อะไรที่มันควรจะหลับใหล มันตื่นตัวพรักพร้อมจนน่ากังวล ฝ่ามือร้อนผ่าววาดไปตามแผ่นหลังของร่างเล็ก ไล้เบาๆ ราวกับขับกล่อม หากใบหน้าที่รุงรังไปด้วยหนวดเครานั้นเหยเก และขึ้นสีเข้มบ่อยครั้ง “ทูนหัว ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ” กระซิบแผ่วๆ ชิดขมับเล็ก แต่เจ้าหล่อนก็ยังทำยิ่งกว่าเดิม ทำราวกับเขาเป็นหมอนข้าง และหมอนข้างใบนี้ก็ดันเป็นสิ่งมีชีวิตซะด้วย ชายหนุ่มค่อยๆ ปลดลำแขนกลมกลึงที่พาดผ่านเอวตัวเองออก ประคองร่างบางให้ได้นอนในท่าสบาย จ้องมองดวงหน้าสะสวยผ่านความมืดมิด กลิ่นกายของเธอช่างหอมถูกใจเขานัก “ถ้าผมปล้ำคุณ คุณจะทำยังไงฮึ” ถามออกมาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้ ก้มหอมแก้มซ้ายทีขวาทีไปหลายฟอด รอยยิ้มจางๆ แสดงความพึงพอใจประดับบนเสี้ยวหน้าคม ก่อนจะจับจ้องไปยังกลีบปากนุ่มชื้น ไม่รอช้าค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้ ลมหายใจร้อนๆ รินรดปลายจมูกเล็ก เลื่อนริมฝีปากของตัวเองแตะไล้ขบเม้มเบาๆ ทั้งที่บอกตัวเองไม่ให้เรียกร้อง คลุกเคล้ากลีบปากอิ่ม มากไปกว่าการลองลิ้มชิมรส แต่เมื่อได้สัมผัส ยากนักที่จะห้ามใจ ปากหยักได้รูปเคล้าคลึงกลีบปากอ่อนนุ่มของหญิงสาว ท่าทีนั้นตะกละตะกลามคล้ายคนหิวโซ บดเบียดลากไล้ปลายลิ้นร้อนๆ พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ส่งปลายลิ้นนั้นบุกเข้าสู่โพรงปากอิ่ม แต่มันช่างยากยิ่ง หากทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อคนโดนรังแกส่งเสียงค้าน มือน้อยๆ พยายามผลักใบหน้าของเขาออกห่าง ชายหนุ่มกลั้นใจอยู่ชั่ววินาที รอดูปฏิกิริยาของหญิงสาว เมื่อคิดว่าเจ้าหล่อนคงแค่รำคาญเท่านั้น ก็แอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก บ้าเอ๊ย! เขากลายเป็นคนฉวยโอกาสแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ก่นด่าตัวเองเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มละลายใจให้คนหลับใหล “ปากคุณหวานเป็นบ้าเลยทูนหัว” เอ่ยชมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แต่สัญญาณบางอย่างที่ใกล้อรุณรุ่งเข้ามาทุกทีทำให้เพลิงอัคนี จำต้องละจากร่างหอมกรุ่น วาดขาตัวเองลงจากที่นอน ลงมายืนข้างๆ เช้าตรู่นี้เขามีภารกิจบางอย่างต้องทำ ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยกรอบหน้าเล็กพร้อมเอ่ยบอก “นอนรอก่อนนะ เดี๋ยวผมกลับมาต่อให้” จบประโยคนั้นร่างสูงใหญ่ก็ค่อยๆ หมุนกายก้าวออกจากถ้ำ ด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาเป็นที่สุด จุดมุ่งหมายก็คงไม่พ้นสถานที่ที่นัดแนะกับใครบางคนไว้ หลังจากเมื่อวานแอบโทรสั่งงานบางอย่างและมันเป็นสิ่งที่สำคัญเสียด้วย ขายาวๆ พุ่งออกพ้นจากตัวถ้ำ ก่อนจะตรงไปยังจุดมุ่งหมาย สายตาคู่คมจับจ้องอยู่กับทางเข้าของถ้ำ ซึ่งเป็นที่พักพิง ที่หลบลี้ของตัวเองมาหลายปี แต่เวลานี้มีใครบางคนอยู่ในนั้น และเป็นคนที่ทำให้เขาไม่อยากก้าวออกจากบริเวณนี้เลยด้วยซ้ำ ถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่อย่างตัดใจ ก่อนจะก้าวลิ่วๆ หมุนกายออกห่าง สถานที่นัดหมายห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก เมื่อมาถึงก็ส่งสัญญาณที่รู้กันในหน่วยพยัคฆ์ ไม่นานนักรูปร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ปรากฏ พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ กับข้าวของในมือพะรุงพะรัง หนำซ้ำยังมีปิ่นโตหนึ่งเถาใหญ่อีก “ของที่สั่งได้แล้วครับคุณฟิวส์” “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มเอื้อมมือรับของพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งให้ “เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราใช่ไหมครับ” “ได้อย่างที่คุณฟิวส์ต้องการครับ” พยัคฆ์ดำบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่สงสัย ว่าเจ้าของเสื้อผ้าที่สั่งให้ไปจัดการมานั้นคือใครกัน “ว่าแต่คุณฟิวส์จะไม่บอกสักหน่อยหรือครับ ว่าเจ้าของเสื้อผ้านับสิบชุดนี้คือใคร” “อีกไม่นานน้าดำก็เห็นเองนั่นแหละครับ” เพลิงอัคนีบอกพร้อมหลบตา คล้ายอยากเปลี่ยนเรื่อง แต่พยัคฆ์ดำก็ยังอุตส่าห์ถาม “คนนี้คือตัวจริงใช่ไหมครับ น้าหมายถึงหลานสะใภ้แม่เลี้ยงแพรวพัตรา” เข้าใจถามอีกเรื่อง หลานสะใภ้ย่าแพรวก็คือเมียเขานี่แหละ กระตุกยิ้มอย่างรู้ทัน ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่รู้สิครับ เอ่อ...ผมขอตัวก่อน” พยัคฆ์ดำก้มศีรษะเพียงนิดอย่างรู้ดีว่าเจ้านายหนุ่มคงไม่เปิดปากบอกในเวลานี้ หากยังเดินไปไม่กี่ก้าวคนเป็นนายก็เอี้ยวตัวกลับมาสั่ง “ฝากปิดปากคนอื่นๆ ด้วยนะครับ” ที่ต้องพูดแบบนี้เพราะว่า เรื่องที่เขากักขังผู้หญิงไว้ในถ้ำ คงไม่พ้นหูตาสับปะรดของคนพวกนั้น แน่ล่ะมีเหรอที่หน่วยช่ำชองจะพลาด คนได้รับคำสั่งก้มศีรษะเพียงเล็กน้อย แค่นั้นก็ถือว่าเรื่องที่เกี่ยวกับใครบางคน จะถูกปิดเป็นความลับ แม้แต่พี่ชายอย่างเพลิงอัคคีก็ไม่มีสิทธิ์รับรู้ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวเร็วๆ พร้อมของเต็มไม้เต็มมือ ในใจนั้นร้องถาม ไม่รู้ว่าร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นทั้งเนื้อทั้งตัว จะเป็นอย่างไรบ้าง หล่อนจะตื่นรึยัง ถ้าหากยังเขาจะไปปลุกด้วยจุมพิตหนักหน่วง เอาให้สาสมกับความอยากที่ค้างเติ่งมาหลายชั่วโมง บางทีอาจจะทำมากกว่าจูบ ยิ่งคิดเรียวปากหยักก็ยิ้มบางๆ แววตาพราวระยับเจ้าเล่ห์ หากเมื่อมาถึงสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กๆ ที่นั่งมองซ้ายทีขวาที เอาเป็นว่าสิ่งที่ขึ้นไว้เมื่อครู่จบเห่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม