แต่ใบหน้าสากระคายก็ยังยิ้มน้อยๆ ก้าวเร็วๆ เข้าไปใกล้ร่างระหง พร้อมเอ่ยเย้า
“ชะเง้อคอยาวเชียวคุณ คิดถึงผมรึไง”
คนฟังทำตาโต คิดถึงเขาเหรอ ไม่สักนิด ปากอิ่มนั้นเบะออกอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะถามออกไปส่งๆ
“นายหายไปไหนมา นึกว่าจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ซะอีก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ชั่วครู่นี้ตาฝาดไปรึเปล่า เมื่อเห็นแววตาน้อยใจของสาวตรงหน้า เพลิงอัคนีพยายามยิ้มบางๆ ส่งให้ พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ “ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกน่า”
นิศากรก้มหน้านิ่ง เธอยอมรับว่ากลัว การถูกทิ้งไว้ในถ้ำเพียงลำพัง มันน่ากลัวเหลือเกิน เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ใกล้ๆ หัวใจเธอก็หวาดกลัวสิ่งรอบตัวจนน่าตกใจ พยายามสูดหายใจเข้าปอดลึก ไม่ยอมมองหน้าผู้ชายใจร้าย แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ส่งถุงกระดาษนับสิบใบให้ พร้อมเสียงทุ้มละมุนที่ห้วนๆ แต่ก็น่าฟังเหลือเกิน
“ของคุณ”
ยื่นส่งให้พร้อมเอ่ยต่อ “ดูสิชอบรึเปล่า ไม่ชอบก็ช่วยไม่ได้หรือกนะ ยังไงคุณก็ต้องใส่อยู่ดี”
ดวงตากลมโตช้อนมองใบหน้าคมคร้ามนั้น ก่อนจะเอื้อมมือรับ คลี่ดูด้านในถุงก็พบกับชุดเสื้อผ้าผู้หญิง ดูแค่ตาเปล่าเธอก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์ดังทั้งนั้น เธออยากจะขอบคุณเขา แต่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อครู่ ทำให้ต่อมประชดประชันทำงาน ดวงหน้าเชิดขึ้น
“ถ้าจะบังคับฉัน แล้วนายจะถามให้ได้อะไรขึ้นมา”
“นั่นสิ”
เพลิงอัคนีไหวไหล่น้อยๆ ก่อนจะเอ่ยถาม ฟังดูดีๆ ประโยคนี้เจือความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด ท่าทีนั้นกระตือรือร้นเชิญชวนซะเหลือเกิน
“หิวรึยัง วันนี้ผมมีปิ่นโตมาด้วย อาหารอร่อยทั้งนั้นเลยนะคุณ”
คิ้วเรียงเส้นสวยดูยุ่งเหยิง จ้องเข้าไปในดวงตาดำทะมึน
“คุณเอาปิ่นโตมาจากไหน” กวาดมองขึ้นๆ ลงๆ ด้วยความสงสัยที่ปิดไม่มิด เพลิงอัคนีส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับท่าทางราวกับผู้สืบสวน ทั้งๆ ที่ก็แค่ผู้หญิงแสนอยากรู้ธรรมดา
“จากลูกน้องน่ะ ทำไม คิดว่าจะมีสาวๆ มาส่งข้าวส่งน้ำผมรึไง” อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่น้อยๆ
คนฟังส่งค้อนให้ตาแทบกลับ ก่อนจะประชดออกมา
“ผู้หญิงคนนั้นคงหน้ามืดเต็มทน”
เพลิงอัคนีได้แต่ซ่อนรอยยิ้ม ผ่อนลมหายใจออกมา อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านี้
“คุณนี่นะ ถ้าพูดจาหวานๆ เพราะๆ ก็คงจะน่ารักกว่านี้”
ผู้หญิงตรงหน้าขยันพูดจาให้เขาได้ปวดประสาทอยู่ร่ำไป ถ้าหล่อนพูดจาน่ารัก ก็คงหวานเหมือนกลีบปากนุ่มชื้นนั่น เมื่อเห็นว่าร่างบางไม่ตอบโต้ใดๆ อีก ชายหนุ่มก็หันมาจัดการกับมื้อเช้า ปิ่นโตหาชั้นถูกถอดออกจากเถา วางเรียงรายบนแคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่หน้าถ้ำ
“ดูสิคุณ น่ากินทั้งนั้น”
ร้องบอกหญิงสาว และดูเหมือนจะพูดง่าย เมื่อยอมวางของในมือ แล้วลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ จัดการมื้อเช้าโดยไม่ต้องให้เอ่ยคำใด ไม่เรื่องมากอีกต่างหาก ท่าทีกินง่ายอยู่ง่ายของร่างบาง สร้างรอยยิ้มประดับบนดวงหน้าคม แต่เมื่ออีกฝ่ายหันมอง เพลิงอัคนีก็ได้แต่ตักอาหารเข้าปากอย่างเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรก ที่รู้สึกว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่แสนพิเศษสุดๆ
เรือนไทยหลังงาม ตั้งกินพื้นที่นับหนึ่งไร่ รอบๆ ด้านเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ผู้คนในบ้านเดินกันขวักไขว่ สีหน้าแววตาเป็นกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะหญิงชราอายุร่วมหกสิบห้าปี ที่ต้องร้องหายาลมยาหม่องตลอดเวลา เด็กรับใช้ของบ้านโบกพัดหย็อยๆ เพื่อให้คุณย่าศศิธรอาการดีขึ้น
“โอ๊ย! ฉันจะเป็นลม”
ว่าพลางยกมือเหี่ยวย่นนั้นปาดน้ำตาเม็ดเล็กที่หยาดริน
“ทำไมถึงเกิดเรื่องเลวร้ายกับหลานรักของฉันได้ถึงขนาดนี้”
เสียงแหบๆ ปนความเหนื่อยล้า ละล่ำละลักออกมา ขณะที่ถูกมือนุ่มๆ ของลูกสะใภ้ประคับประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้สักตัวใหญ่
“คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะ”
บอกออกไปคุณนายผู้พันก็ต้องปาดน้ำตา หัวอกของคนเป็นแม่ที่ทราบข่าวว่าบุตรสาวหายไปร่วมยี่สิบสี่ชั่วโมงแทบขาดรอนๆ เสียให้ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้ลูกรักจะเป็นอย่างไรบ้าง เป็นตายร้ายดีแค่ไหน
“ทำไมป่านนี้ถึงไม่มีใครรู้ว่ายัยหนูหายไปไหน พ่อก็เป็นผู้พัน พี่ก็เป็นผู้กอง ทำไมถึงไม่ได้เรื่องสักคน”
น้ำคำเอาเรื่องจากปากหญิงชราเอ่ยขึ้น คนเพิ่งก้าวเข้ามาสองคนถึงกับชะงักหน้าเสีย ผู้พันฤทธิ์หันมามองหน้าบุตรชายแล้วพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปนั่งเคียงข้างเมียรัก สีหน้าแววเป็นกังวลไม่น้อย
ส่วนเอกฤทธิ์นั้นเลือกทรุดลงนั่งข้างๆ ร่มโพธิ์ของบ้าน ใบหน้าก้มลงอย่างรู้สึกผิด
“คุณย่าครับ”
“ตาเอก ไปตามหาน้องให้เจอนะลูก ย่าเป็นห่วงน้อง”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ พร้อมเอ่ยสำทับ
“ผมกำลังระดมตำรวจตามหาครับ อีกไม่นานคงจะพบตัวน้อง คุณย่าทำใจให้สบายนะครับ อย่าคิดมาก”
น้ำเสียงแสดงถึงความห่วงใย อย่างปิดไม่มิด
คนเป็นย่าคว้ายาดมมาสูดเข้าปอด
“ไม่ให้ย่าคิดมากเห็นทีจะไม่ได้หรือกตาเอก โธ่...ลูกจันทร์หลานย่า”
โอดครวญออกมา เพราะลูกจันทร์ไม่เคยไปไหนไกลหูไกลตา หลานรักหายไปทั้งคนคุณย่าศศิก็เลยอาการไม่สู้ดีนัก เมื่อสูดหายใจเข้าปอดจนเต็ม ก็หันไปถามลูกชาย
“พ่อฤทธิ์ เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวยัยหนูรึเปล่า”
พลตำรวจฤทธิ์ เทพฤทธิ์เม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่รู้มาให้คนเป็นแม่และเมียรักได้ฟัง
“คนของผมพบรถของลูกจันทร์บริเวณข้างทางครับห่างจากตัวเมืองราวๆ สิบกิโลเมตร แถวนั้นเปลี่ยวทีเดียว ก็เลยไม่มีคนพบเห็น ว่าเจ้าของรถไปไหน”
จบประโยค คุณย่าศศิก็ร้องครวญอีกรอบ
“โอ๊ย! ฉันจะเป็นลม”
เมื่อเห็นอาการของคนเฒ่าคนแก่ในบ้าน สีหน้าลูกๆ หลานๆ ก็เป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม ประมุขของเทพฤทธิ์หันไปสบตาภรรยารัก พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“คุณนี พาคุณแม่ขึ้นไปพักข้างบนเถอะ ส่วนเรื่องลูก ผมจะจัดการเอง”
เมื่อได้ยินคำของสามี คุณนายผู้พันก็พยักหน้าน้อยๆ ยกมือปัดคราบน้ำตาที่รินไหลนั้นทิ้ง เธอต้องเข้มแข็ง หากร้องไห้คุณแม่ก็จะอาการหนักมากกว่าเดิม แม่ย่าและลูกสะใภ้ ก้าวขึ้นไปพักบนห้องเรียบร้อย สองพ่อลูกก็ทิ้งแผ่นหลังลงแนบกับพนักพิงของโต๊ะไม้ สีหน้าแววตาดูกำลัง ชายต่างวัยสองคนถอนหายใจทิ้งออกมาเฮือกใหญ่แทบพร้อมเพรียงกัน ก่อนคนเป็นลูกจะเงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมร้องถาม
“คุณพ่อคิดยังไงครับ ผมชักใจคอไม่ดี”
“พ่อว่าต้องมีคนจับลูกจันทร์ไป เพราะข้าวของอื่นๆ ยังอยู่ครบ มันไม่ได้หยิบของมีค่าไปสักชิ้น”
“ผมก็คิดแบบนั้น แต่ที่สงสัยคือมันต้องการเงินค่าไถ่ หรือเหตุผลแค่อยากแก้แค้น เพราะที่ผ่านมาเราก็กวาดล้างพวกค้ายาเสพติดมาเยอะพอสมควร”
ผู้พ่อพยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย เป็นห่วงลูกน้อยกลอยใจไม่น้อย นิศากรเป็นเด็กดี ไม่เคยพบเจอกับอันตรายขึ้นนี้มาก่อน ได้แต่หวังว่าลูกรักยังไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต หากลูกมีแม้แต่แผลเท่าเศษเล็บ เขาก็จะไม่รีรอที่จะสั่งขังไอ้คนชั่ว ให้มันต้องทนทุกข์อยู่ในคุกมืดไปตลอดชีวิต
ถอนหายใจทิ้งออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คิดไว้
“รอสักวันสองวัน หากถูกจับไปเรียกค่าไถ่ พ่อเชื่อว่ามันจะติดต่อมา และยัยหนูจะยังคงปลอดภัย”
คนฟังยังอยู่ในโหมดหมองหม่นและหนักใจ
“แต่ถ้าประเด็นอื่นล่ะครับ”
ผู้กองหนุ่มรำพันแผ่วๆ ออกมา คนเป็นพ่อต้องทำหน้าย่นเข้าหากันด้วยความเครียดขรึม ก่อนจะโพล่งออกมา