“ฉันไม่เอาหน้าสวยๆ ไปพาดเครื่องประหารดีกว่า ปล่อยพี่เอกให้ยัยฟองน้ำไปก็แล้ว...”
ยังไม่จบประโยค เนตรดาวก็ทำตาโต
“ว้าย! พี่ชายแกคุยกับใคร พ่อเทพบุตรสุดเถื่อนของฉัน”
คำพูดของเพื่อนรักทำให้ดวงตากลมๆ ต้องมองตามแล้วถึงกับขนลุกขนพอง ขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
“แกบอกฉันหน่อยสิ ว่านั่นคือคน มนุษย์เดินได้เหมือนๆ กับเรา”
พูดพลางทำหน้าสยอง คนเป็นเพื่อนรักถึงกับต้องป้องปากหัวเราะ
“แกก็ปากเสีย เขาหล่อแบบเถื่อนๆ หรอกย่ะ ดูหน้าตาสิ คมคายซะยิ่งกว่าอะไร”
คนฟังสั่นศีรษะแรงๆ พร้อมเบะปากอย่างนึกหมั่นไส้ ไม่รู้พี่ชายเธอ มีเพื่อนน่ากลัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“ปีศาจชัดๆ แก”
“ฉันเบื่อรสนิยมผู้ชายของแกจริงๆ จะไปหาที่ไหน หน้าตี๋ๆ ตัวขาวๆ สูงยาวเข่าดี ที่สำคัญไม่เจ้าชู้น่ะ”
พูดเสร็จนันย์ตาของเนตรดาวก็พราวระยับ จ้องไปยังสองหนุ่มตาเขม็ง โดยเฉพาะหนุ่มมาดเซอร์ที่สวมเพียงเสื้อยืดตัวเก่ากับกางเกงยีนสีซีด แต่ดันเรียกอารมณ์บางอย่างให้วิ่งพล่าน เพียงแค่ได้มองแผ่นหลังกระด้าง ร่างกายของเธอยังเต้นระริกจนน่ารังเกียจ หากหันหน้ามาให้เห็นชัดๆ เชื่อว่าสายตาของเขาคงเปลื้องเธอให้เหลือแต่เพียงเรือนร่างเปลือยเปล่า ลูกจันทร์ได้แต่ส่ายหน้าให้กับเพื่อนรัก เมื่อกี้ยังหลงพี่ชายเธออยู่เลย ยังไม่ทันถึงห้านาที ก็ใจลอยไปหาหนุ่มอีกคน และช่วยยืนยันได้ไหม ว่านั่น คือคนปุถุชนธรรมดาเหมือนๆ กับเธอ ไม่ใช่อสุรกายตัวเป็นๆ ที่หลุดออกจากนรกภูมิ
รถโฟร์วิลสีดำสนิท เคลื่อนเข้าสู่ท้ายไร่ศิรานนท์ด้วยความเร็วไม่มากนัก ตัวรถส่ายไปมาซ้ายทีขวาที ขณะคนขับกำลังปรือตามองเส้นทางด้วยความง่วงจับจิต ดวงตาเหนื่อยล้าเพ่งมองเบื้องหน้า หมุนพวงมาลัยรถไปตามเส้นทางลูกรังของดินแดงด้วยความยากลำบาก ขับรถขณะมีสติเต็มร้อยก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่อาการเมาวิ่งพล่านไปทั่วร่าง
เสียงวิหคตัวใหญ่บินว่อน โห่ร้องไปทั่วท้องฟ้า พรานธงทนซึ่งเฝ้าอยู่นอกกรงไอ้เขี้ยวปักษา เสือหนุ่มกลัดมันต้องสะดุ้งน้อยๆ ย่นคิ้วคาดคิดว่าเสียงบนท้องฟ้านั้นก็คงไม่พ้นเป็นของเจ้าเหยี่ยวเวหาเป็นแน่ แต่ทำไมมันถึงได้ส่งเสียงน่าสะพรึงกลัวแบบนี้ ครุ่นคิดพร้อมกับกำลังจะเอนหลังลงนอนในกระต๊อบอีกรอบ หากคราวนี้ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสือหนุ่มก็คำรามดังลั่น
“เอาเข้าไป เอ็งสองตัว จะไม่ให้ข้าได้นอนเลยรึไง”
บ่นแค่นั้น แต่ก็จำต้องพาร่างกายพร้อมอาวุธปืนในมือ ก้าวออกจากที่พัก หันซ้ายแลขวาเมื่อรอบกายไม่มีสิ่งผิดปกติ ก็หวนไปถึงใครบางคน นายหนุ่มอาจจะอยู่ที่เรือนไม้ คิดเพียงเท่านั้นช่วงขาทรงพลังก็ก้าวมาหาคนเป็นนายทันที เรือนไม้นี้เป็นของคุณไฟแต่บัดนี้ยกให้กับบุตรชายคนเล็กซึ่งตั้งเด่นหราอยู่ไม่ไกล แต่ไฟในบ้านก็ดับพรืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ตะโกนร้องเรียกอยู่สักพัก หากคนบนบ้านก็เงียบ
“สงสัยคุณฟิวส์คงอยู่ในถ้ำ”
รำพันกับตัวเอง แต่แล้วต้องย่นคิ้ว เมื่อแสงสว่างพร้อมเครื่องยนต์ของรถคุ้นเคย วิ่งตรงเข้ามาในอาณาเขตท้ายไร่
“อ้าว! คุณฟิวส์ไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ยกมือเกาศีรษะแกรกๆ ก่อนจะทำตาโต เมื่อตัวรถที่มุ่งหน้าเข้ามาใกล้ วิ่งออกนอกเส้นทางไปซ้ายทีขวาที ทำหน้าขยาดหลายหนกว่าตัวรถจะจอดสนิทได้ ดีหน่อยที่เจ้านายหนุ่มอุตส่าห์ประคองตัวรถคันโปรดจนมาถึงจุดมุ่งหมาย เมื่อนายหนุ่มดับเครื่องยนต์ พรานธงก็รีบจ้ำอ้าวไปใกล้
“คุณฟิวส์ คุณฟิวส์ครับ”
เคาะกระจกเรียก พร้อมอีกฝ่ายพยายามเปิดประตูรถก้าวลงมา กลิ่นเหล้าคละคลุ้งออกมาจากเรือนกายกำยำ
“ทำไมกลิ่นเหล้าหึ่งอย่างนี้ล่ะครับ” บ่นออกมาแต่ก็อุตส่าห์ประคองคนเป็นนายก้าวลงจากรถได้สำเร็จ เมื่อรับรู้ว่าข้างกายมีเงาตะคุ่ม ดวงตาที่หรี่ลงอยู่นั้นก็ค่อยๆ เบิกออกกว้างอย่างช้าๆ
“คราย...อ้าว...ลุงธงนี่เอง”
คนเมาอุตส่าห์จำได้ แขนกำยำวาดพาดไหล่อีกฝ่ายทันที
“ผมม่ายเมานะคร้าบ...แค่ดื่มหนาก...ปายหน่อย...”
พรานธงได้แต่ส่ายหน้า ไม่เมาหรอกครับเจ้านายที่เคารพ หากแต่เสียงนี่ ยานยิ่งกว่าผู้เฒ่าพันปีซะอีก
“ไปครับ ลุงจะพาขึ้นไปพักบนเรือน คุณไฟรู้เข้ารับรองหูชาแน่ๆ”
“เอิ๊กก...คุนพ่อม่ายท่าวไหร่...คุณย่าหนาก...กว่า...เอิ๊กก”
เสียงคนเมาเปล่งออกมา แทบจับใจความไม่ได้ แต่พรานธงต้องส่งยิ้มเศร้าให้
“นี่กลุ้มเรื่องหาหลานสะใภ้ให้คุณย่าแพรวใช่ไหมครับ ถึงได้ดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้”
“เมียน้าน...สามคานนากหรืองาย”
“อันนี้ต้องไปถามคุณเฟนย์ครับ ลุงไม่รู้ ลุงก็อยู่คนเดียวมาตลอด คุณฟิวส์ก็เห็น”
แน่ล่ะพรานธงทนอยู่แต่กับไอ้เขี้ยวยักษ์เท่านั้น สาวๆ ไม่เคยพบเจอ คนงานในไร่ก็ไม่มีใครค่อยสุงสิงกับแก ที่จะสนิทที่สุดก็คงไม่พ้นคุณฟิวส์คนเดียวเท่านั้น พรานธงทนรักคุณฟิวส์และคุณเฟนย์ราวกับลูกแท้ๆ
“ผู้หญิงน่าเบื่อทู้กคน ผมม่าย...อยากมีเมียสาก...นิด คุณย่านะคุณย่า ทามมายทาม...กับฟิวส์แบบนี้”
เสียงคนเมายังอ้อแอ้ออกมาเถียง ลุงธงรีบพาเจ้านายผู้ไม่เมาก้าวขึ้นเรือนด้วยความทุลักทุเล กว่าจะถึงห้องต้องฟังคำคนเมานับสิบๆ ประโยค และไม่พ้นอาการน้อยใจ ที่ต้องหาเมียให้ทันก่อนครบกำหนดสามเดือน เป็นอันว่าเรื่องนี้คนทั้งไร่รับรู้ และยังรวมไปถึงไร่ข้างๆ อย่างลีละเดชา ซึ่งเป็นสมบัติของแม่เลี้ยงเนย์ญรินทร์คนงาม เมียรักของพ่อเลี้ยงเพลิงอินทรี
เมื่อผลักประตูเข้ามาได้ พรานธงก็จัดการประคองเจ้านายหนุ่มให้นอนบนเตียง จัดการถอดรองเท้าให้เสร็จสรรพ
“นอนพักดีกว่านะครับ” เลื่อนผ้าห่มมาจนถึงช่วงอกกระด้าง
“จะว่าไปคุณฟิวส์น่าจะมีภรรยานะครับ เมามายกลับมาจะได้มีคนดูแล”
น้ำเสียงห่วงใยเปรยออกมาเบาๆ แต่คนฟังก็ยังอุตส่าห์ค้าน
“มีเมียทามมัย ไม่อาว...ฟิวส์ม่าย...อาวเมีย”
“เฮ้อ! คุณฟิวส์นะคุณฟิวส์ กินเหล้าหนักขนาดนี้ เดี๋ยวได้ตับแข็งตายก่อนจะมีเมียจนได้”
อดต่อว่าออกมาอีกประโยคไม่ได้ หลังจากนั้นลุงธงก็ได้เห็นคนเมาเงียบเสียง ดวงตาปิดสนิท มือทั้งสองข้างวางลู่แนบลำตัว เวลาเจ้านายหนุ่มหลับอย่างนี้ดูไร้พิษสง หากเมื่อไหร่ที่คุณฟิวส์โกรธ อารมณ์รุนแรงกว่าคุณเฟนย์หลายเท่านัก และอีกอย่าง ผู้ชายคนนี้ยังมีอำนาจบางอย่างที่น่าทึ่งอีก เล่นอ่านใจคาดการณ์และรู้ความเคลื่อนไหว ของคนที่ต้องการล่วงหน้า พ่อมหาเวทดีๆ นี่เอง อำนาจนี้คงสืบทอดมาจากคนเป็นปู่ทวด พญาเสือผู้หญิงใหญ่ ปู่อินทร์ เพลิงอินทร์ อภิศิรานนท์
ประตูที่ปิดสนิทนั้น เงียบไปพร้อมกับเสียงโห่ร้องของสัตว์ตัวใหญ่ที่โผบินบนท้องฟ้า รวมถึงเสียงคำรามของเสือตัวใหญ่อีก คนเป็นพรานมาหลายสิบปีต้องส่ายหน้า เพราะอย่างนี้นี่เอง เจ้านายผู้ประเสริฐมีปัญหา เจ้าสองสัตว์ถึงได้คำรามดังลั่น เมื่อม่านฟ้าตรงหน้าเงียบสงบ สายตาของพรานธงก็เพ่งเล็งไปยังหน้าห้องเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง
“สงสัยถึงเวลาที่ผู้ครอบครอง สิ่งประเสริฐชิ้นที่สามจะต้องปรากฏแล้วมั้งครับคุณฟิวส์”