ผู้ใดเป็นปีศาจร้ายกัน

2331 คำ
สิบวันถัดมา... ลั่วเฟยเซียนก็ได้หนังสือหย่ามาไว้ในมือ นางไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าใช้วิธีใดจึงได้มันมา แต่ว่าอีกฝ่ายนำมาให้ในวันที่หวังเหยียนเหว่ยเดินทางไปตรวจกิจการยังต่างเมือง ลั่วเจียวเหม่ยเองก็หายเงียบไปเช่นกัน “เสี่ยวฝาน ไปติดต่อเรื่องการเดินทางกับนายท่านจางมาหรือยัง” เอ่ยถามทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาหัดคัดอักษรอยู่ “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้บ่าวเก็บของเลยหรือไม่เจ้าคะ” “เก็บเลยก็ได้ เหลืออีกแค่สิบวันเท่านั้นเดี๋ยวจะไม่ทัน ของของข้ามีเยอะหรือไม่” “ไม่เยอะเจ้าค่ะ เพราะคุณหนูให้บ่าวนำสินเจ้าสาวไปขายหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงอาภรณ์ผ้าไหมสองหีบกับตำราอีกเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ” “หากของมีไม่มาก เช่นนั้นเจ้าไปเช่ารถม้าคันเล็กๆ มาก็ได้ จะได้ไม่สิ้นเปลืองเงินด้วย” เงยหน้าขึ้นมาสั่งความคน ก่อนจะก้มลงไปสนใจอักษรเหล่านั้นต่อ “เจ้าค่ะ คุณหนูจะรับมื้อเที่ยงเลยหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวฝานถาม ดูเอาเถิด ตอนนี้ก็ปลายยามอู๋ (11.00น.-12.59น.) แล้ว แต่นายหญิงมัวแต่ตั้งใจคัดอักษรจนไม่สนใจอาหาร “ยกเข้ามาเลยก็ได้ข้าคัดอักษรเสร็จพอดี” ลั่วเฟยเซียนรับมื้อกลางวันอยู่ในเรือนอย่างเงียบงัน แต่เพียงไม่นาน กลับมีเสียงเอะอะดังมารบกวนการทานอาหารของนาง จึงให้สาวใช้ออกไปดู เสี่ยวฝานเร่งรุดไปหน้าเรือนตามคำสั่งของผู้เป็นนาย มือบางแง้มบานประตูออกดูความวุ่นวายภายนอกเรือน แล้วกลับเข้าไปรายงาน “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินรองกับนักพรตผู้นั้นกลับมาอีกแล้ว ซ้ำยังกำลังตั้งโต๊ะทำพิธีขับไล่ภูตผีอยู่ที่หน้าเรือนอิ๋งชุนด้วยเจ้าค่ะ” ลั่วเฟยเซียนเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้าว่าแล้วเชียวทำไมช่วงนี้ลั่วเจียวเหม่ยจึงได้เงียบหายไป ที่แท้ก็ไปวางแผนชั่วมานี่เอง ซ้ำยังเลือกลงมือได้ถูกวันเสียด้วย” “ทำเช่นไรดีเจ้าคะ วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อยู่จวนเสียด้วย” เสี่ยวฝานถามอย่างเป็นกังวล “ในเมื่อนางอยากจะเล่นไล่จับผี เช่นนั้นข้าก็จะเล่นด้วย” เอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริง แววตามีประกายเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าลั่วเจียวเหมยหวาดกลัวสิ่งใด” เสี่ยวฝานขมวดคิ้วงุนงงในคำถามของนายหญิง ถึงแม้จะสงสัยแต่กระนั้นก็ยอมตอบความออกไป “นางเกลียดพวกสัตว์เลื้อยคลาน หนอน และแมลงเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นรึ” ลั่วเฟยเซียนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างมาดร้าย พร้อมกับเดินไปที่หน้าต่างพลางมองไปยังต้นเฟิ่งเซียน(เทียนบ้าน)หลังเรือน “เสี่ยวฝานตามข้ามา นำโถใบนั้นมาด้วย” สิ้นคำก็เดินออกไปหลังเรือนทันที เสี่ยวฝานถือโถกระเบื้องเดินตามนายหญิงไปอย่างงุนงง และแล้วความสงสัยของนางก็หายไป เมื่อคุณหนูจับเจ้าหนอนตัวอวบอ้วนขึ้นมาจากต้นเฟิ่งเซียน “ว้าย! คุณหนู ท่านจะทำอันใดเจ้าคะ อย่ายื่นมันมาทางนี้บ่าวกลัวเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานหวีดร้องออกมา พร้อมกับถอยหลังไปสามก้าวยามผู้เป็นนายยื่นหนอนสีเขียวตัวอวบมาให้ “เจ้าจะกลัวอะไร ดูสิ มันออกจะน่ารัก” ลั่วเฟยเซียนขบขันแผ่วเบา “หากเจ้ากลัวนัก เช่นนั้นก็เอาโถมาให้ข้า” เสี่ยวฝานรีบยื่นโถไปให้อย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณหนูจะนำเสี่ยวฉงจื่อ(หนอนน้อย)เหล่านี้ไปทำอันใดหรือเจ้าคะ” “หึหึ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” นางจับหนอนน้อยสีเขียวตัวอวบใส่ลงไปในโถถึงห้าตัว เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจึงกลับเข้าเรือน   ด้านหน้าเรือนอิ๋งชุน... ลั่วเจียวเหม่ยมองไปยังตัวเรือนด้วยสายตามาดร้าย วันนี้นางเห็นว่าทางสะดวกและไม่มีผู้ใดมาคอยขัดขวางแผนการของตน จึงได้เชิญนักพรตชรามาทำพิธีไล่ผี ซ้ำยังให้สาวใช้ไปป่าวประกาศจนทั่วเมือง บัดนี้หน้าจวนสกุลหวังต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน “จะทำเช่นนี้จริงหรือขอรับฮูหยินรอง ข้าน้อยว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าทราบเข้าจะโกรธเอานะขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนเอ่ยทัดทาน ใช่ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ของหญิงสาว แต่ว่าการตายแล้วฟื้นของฮูหยินใหญ่ก็สร้างความหวาดกลัวให้แก่ทุกคนไม่น้อย “หุบปากของเจ้าไปเถอะน่า หากมีเรื่องอันใดข้ารับผิดชอบเอง ท่านพี่ต้องเข้าข้างข้าอยู่แล้ว” ลั่วเจียวเหม่ยเอ่ยอย่างลำพองใจ “ขอรับ” พ่อบ้านรับคำ ก่อนจะถอยไปยืนรวมกับบรรดาบ่าวไพร่คนอื่นๆ เมื่อนักพรตชราจัดโต๊ะสำหรับทำพิธีเสร็จ ก็หยิบแส้หางม้าขึ้นมาแล้วท่องคาถาบางอย่าง มือเหี่ยวย่นตวัดแส้หางม้าไปมา มืออีกข้างก็หยิบกระดาษยันต์สีเหลืองที่ถูกเขียนไว้ด้วยอักษรสีแดงออกมา แล้วนำไปเผาไฟ “ไปลากตัววิญญาณร้ายตนนั้นออกมาจากเรือน ข้าจะให้ทุกคนได้เห็นว่านางชั่วร้ายปานใด” นักพรตชราสั่งสาวใช้ของลั่วเจียวเหม่ย ลั่วเฟยเซียนที่แอบมองทุกอย่างอยู่นานแล้ว ก็เปิดประตูพรวดออกมา นางเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าชายชราโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น “ฮึ! ออกมาแล้วรึนางปีศาจร้าย” คิ้วโก่งดั่งคันศรกระตุกทันทีที่ได้ยินวาจาเช่นนั้น ‘หึหึ ว่าข้าเป็นปีศาจร้ายอย่างนั้นรึ เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้รู้ว่าร้ายจริงๆ น่ะเป็นเช่นไร แค่นี้ไม่คณามือข้าหรอก ภพชาติที่แล้วข้าต้องรับมือกับน้องต่างมารดามาหนักกว่านี้อีก’ ลั่วเฟยเซียนยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น และมีเสี่ยวฝานยืนอยู่ข้างๆ เสียงซุบซิบนินทาจากบ่าวไพร่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ  ทว่านางก็หาได้สนใจเสียงเหล่านั้นไม่ นักพรตชราท่องคาถาบางอย่าง ก่อนจะหยิบบางสิ่งโยนใส่หญิงสาวอย่างแรง “โอ๊ย!” ลั่วเฟยเซียนที่ยังไม่ได้ตั้งตัวก็เผลอร้องออกมา ยามเจ้าสิ่งนั้นมาโดนใบหน้า นางก้มลงไปมองกลับพบว่ามันเป็นเมล็ดเล็กๆ คล้ายธัญพืช แต่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด “กรีดร้องโหยหวนเช่นนี้เจ้าเป็นปีศาจร้ายจริงสินะ เป็นอย่างไรเล่าเจ้าวิญญาณชั่วร้าย ออกไปจากจวนแห่งนี้ซะ” นักพรตยังคงปาสิ่งนั้นใส่หญิงสาวไม่หยุด ครั้นเห็นว่านางพยายามหลบหลีก เขาก็ยิ่งไล่ต้อนอย่างไม่ยินยอมให้หนีพ้น ลั่วเฟยเซียนเดือดดาลขึ้นมาทันใด คนผู้นี้กล้าปาของเช่นนี้ใส่นาง ไม่รู้บ้างหรือไรว่ามันเจ็บ เสียงผู้คนรอบข้างก็เริ่มเซ็งแซ่เมื่อนางร้องออกมาเพราะเจ็บ “เสี่ยวฝาน ไปนำถั่วแดงมาให้ข้า เอามาเยอะๆ นะ” เอ่ยความด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ประกายตาแสดงออกว่ามีโทสะอย่างที่สุด เพียงไม่นาน เสี่ยวฝานก็กลับมาพร้อมกับถั่วแดงหนึ่งถุง “เจ้าถือนี่ไว้ให้ข้าก่อน” ลั่วเฟยเซียนยื่นโถไปให้สาวใช้ แล้วฉวยเอาถุงใส่ถั่วแดงมาอย่างรวดเร็ว เสี่ยวฝานทำหน้าราวกับจะร้องไห้ เมื่อคิดว่าต้องถือโถใส่หนอนน้อยเหล่านี้ไว้ ถึงกระนั้นก็ยอมรับมันมาถือไว้แต่โดยดี “หมดหรือยัง” ลั่วเฟยเซียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าวิญญาณร้าย ดื้อด้านเสียจริง คงต้องโดนข้าหวดด้วยแส้ก่อนสินะเจ้าถึงจะไปจากจวนนี้ได้” นักพรตชราแม้จะงุนงงกับคำถามของอีกฝ่าย แต่หาได้ใส่ใจไม่ เขาหยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกใบเพื่อทำพิธีต่อ “หมดแล้วสินะ” สิ้นคำก็แสยะยิ้มร้ายกาจ มือเรียวปาถั่วแดงใส่นักพรตผู้นั้นสุดแรง “โอ๊ย” นักพรตชราร้องลั่น เมื่อถั่วแดงเม็ดใหญ่โดนเข้าที่ดวงตาเต็มๆ เขาถูกสตรีนางนี้ไล่ปาถั่วแดงใส่ เหมือนอย่างที่ตนทำกับนางเมื่อครู่ไม่มีผิด “อ้าว ท่านนักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านร้องโหยหวนเช่นนี้ใช่โดนวิญญาณร้ายเข้าสิงเช่นกันใช่หรือไม่” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยเสียงดังเพื่อให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินกันอย่างถ้วนทั่ว “ถั่วแดงปลุกเสกของข้าได้ผลดีจริงๆ ” บ่าวไพร่ที่อยู่บริเวณเรือนอิ๋งชุนต่างมองเหตุการณ์นี้ด้วยความสับสนงุนงง พวกเขาไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยผู้ใดดี จะไปช่วยฮูหยินใหญ่ก็ยังกลัว เพราะภาพที่นางลุกนั่งในโลงวันนั้นยังติดตาอยู่ แต่ถ้าเข้าไปช่วยนักพรต ก็กลัวว่าจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าสั่งโบยจนหลังขาด พวกเขาได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ลั่วเฟยเซียนเองเมื่อปาถั่วแดงใส่นักพรตชราจนหมดแล้ว และเห็นอีกฝ่ายหกล้มไปกองอยู่กับพื้น จึงหันไปขอโถกระเบื้องจากเสี่ยวฝาน “ส่งมาให้ข้า” หญิงสาวแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะย่างสามขุมไปหาลั่วเจียวเหม่ยอย่างรวดเร็ว ฉับพลันที่เข้าใกล้อีกฝ่าย นางก็หยิบหนอนน้อยตัวอวบอ้วนโยนใส่น้องสาวต่างมารดา “กรี๊ด!” ลั่วเจียวเหม่ยร้องเสียงหลงยามเห็นว่าสิ่งใดเกาะอยู่บนอกเสื้อ มือบางปัดเนื้อปัดตัวอย่างรังเกียจ นางเต้นเร่าๆ ซ้ำยังกรีดร้องไม่หยุด “ฮูหยินรอง บนหัวเจ้าค่ะ มีหนอนอยู่บนศีรษะท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้ของลั่วเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว พลางถอยไปยืนห่างจากผู้เป็นนายถึงสิบก้าว เพราะกลัวหนอนเช่นกัน สิ้นคำของสาวใช้ ร่างระหงก็เริ่มทึ้งศีรษะตัวเองอย่างต้องการให้หนอนตัวนั้นออกไปจากผม “กรี๊ด..” “อ้าวน้องรอง นี่เจ้าก็โดนวิญญาณร้ายสิงสู่เช่นกันรึ ดูสิ โดนหนอนปลุกเสกของข้าเข้าไป ถึงกับกรีดร้องโหยหวนเช่นนี้เลยหรือ” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยความออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม “จับมันโยนออกไปจากจวน พวกเจ้ากล้าปล่อยให้นักต้มตุ๋นผู้นี้เข้ามาในจวนได้เยี่ยงไร ไม่รู้รึว่ามันเป็นนักพรตปลอม” นางชี้นิ้วไปยังชายชรา ก่อนจะกราดสายตาฉุนเฉียวใส่บ่าวไพร่ทั้งหลาย สิ้นคำกล่าวของหญิงสาว บ่าวชายที่อยู่บริเวณนั้นก็รีบเข้ามาลากตัวนักพรตชราออกไปจากจวน “พวกเจ้าฟังให้ดี อย่าได้เชื่อวาจาเพ้อเจ้อของพวกต้มตุ๋นเช่นนั้นอีก หากพวกเจ้ายังเอาเรื่องไร้สาระเหล่านี้ไปพูดต่อ ข้าคงต้องรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แก่ฮูหยินผู้เฒ่า แล้วหลังของพวกเจ้าคงถูกโบยจนขาดเป็นแน่” ลั่วเฟยเซียนข่มขู่คนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เอ่ยความกับบ่าวไพร่เสร็จแล้ว ก็ผินหน้าไปมองลั่วเจียวเหม่ยที่เพิ่งสงบสติได้ “สำหรับฮูหยินรอง นางคงหูเบาไปหลงเชื่อคำลวงของคนเหล่านั้น จึงได้กระทำการขาดสติเช่นนี้ออกไป สำหรับโทษของนาง ไว้รอท่านแม่กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนได้แล้ว” สิ้นคำกล่าวนั้น กลุ่มคนที่เคยมามุงดูพิธีขับไล่วิญญาณร้ายหน้าเรือนอิ๋งชุน ก็อันตรธานไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีผู้ใดเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน ลั่วเฟยเซียนปรายตามองโต๊ะทำพิธีที่ล้มระเนระนาดอย่างเฉยเมย เหยียดยิ้มหยันออกมา แล้วเดินกลับเข้าเรือนไปโดยมีเสี่ยวฝานตามมาติดๆ หญิงสาวเห็นสาวใช้เอาแต่มองนางด้วยท่าทางละล้าละลัง จึงถามความออกไปอย่างอดไม่ได้ “มีอันใด เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้น” “คุณหนู เอ่อ... คือว่า” เสี่ยวฝานยังคงอึกอักไม่กล้าเอ่ยถาม “คือว่าอันใด มีสิ่งใดอยากรู้ก็ถามมา” ลั่วเฟยเซียนส่ายศีรษะเบาๆ อย่างอ่อนใจในความช่างสงสัยของอีกฝ่าย “เอ่อคือว่า... คุณหนูปลุกเสกสิ่งของได้ด้วยหรือเจ้าคะ” เสี่ยวฝานกลั้นใจถามออกไปในที่สุด “ฮ่าๆ โอ๊ย เสี่ยวฝานเอ๊ยเสี่ยวฝาน” นางหัวเราะเสียงดังโดยไม่สงวนท่าทีเช่นสตรีในห้องหออีกต่อไป นิ้วเรียวปาดน้ำสีใสหยดเล็กที่ซึมออกมาจากหางตาเพราะขบขันอย่างหนัก “ข้าจะไปมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร ดูก็รู้แล้วว่าคนผู้นั้นมิใช่นักพรตตัวจริง ข้าก็เลยใช้วิธีการเดียวกันนี้ตลบหลังมันเข้าเสียเลย” ลั่วเฟยเซียนตอบความออกไปเมื่อหยุดหัวเราะได้แล้ว เสี่ยวฝานยิ้มกว้าง แล้วรีบเข้าไปบีบนวดให้นายหญิงอย่างเอาใจ “คุณหนูของบ่าวหลักแหลมที่สุดเลยเจ้าค่ะ เมื่อยตรงไหนอีกหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะนวดให้” สองนายบ่าวต่างเก็บตัวอยู่ในเรือนหลังจากเหตุการณ์นั้น โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ข่าวลือของตนแพร่ไปไกลแค่ไหน ช่วงเย็นของวันนั้น มีข่าวฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลหวังไล่ตะเพิดนักพรตตัวปลอมออกจากจวน ในสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง และข่าวว่านางสามารถปลุกเสกของวิเศษได้ก็เล่าลือกันไปในหมู่ชาวเมือง หนำซ้ำบวกกับข่าวที่ว่าหญิงสาวตายแล้วฟื้น ยิ่งส่งเสริมให้ผู้คนเชื่อข่าวลือนี้มากขึ้นไปอีก มีทั้งคนที่หวาดกลัวและเลื่อมใสในตัวของลั่วเฟยเซียนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม