ภายในเรือนอิ๋งชุน ลั่วเฟยเซียนมองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหวังนิ่งงัน คิ้วขมวดเป็นปมจนแทบจะผูกกัน นางพยายามคิดหาคำพูดที่จะให้คนผู้นี้ปล่อยตนไป โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจมากนัก
‘ข้าจะทำเช่นไรดี จากที่ฟังมาที่ชีวิตเจ้าของร่างเป็นเช่นนี้เพราะสตรีผู้นี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้นางจะเอ็นดูกันมากก็เถอะ’
“เซียนเอ๋อร์ เป็นอันใด ปวดหัวเช่นนั้นรึ” ฟางเลี่ยงหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาทร มือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามวัยกุมมือของหญิงสาวไว้มั่น
“เซียนเอ๋อร์มิได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง” ลั่วเฟยเซียนช้อนสายตามอง แล้วเอ่ยในสิ่งที่ปรารถนาออกมา
“ท่านแม่ เซียนเอ๋อร์ไม่มีความทรงจำเหลืออยู่แล้ว และตอนนี้เซียนเอ๋อร์ก็ไม่อยากอยู่ขวางทางรักของท่านพี่กับน้องรอง ท่านแม่อนุญาตให้เซียนเอ๋อร์ไปจากที่นี่เถิดเจ้าค่ะ เพราะอย่างไรเสียท่านพี่เหว่ยก็ไม่ได้รักข้า” นางแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับบีบน้ำตาให้ดูน่าสงสารที่สุด
“แม่ขอโทษ เป็นความเห็นแก่ตัวของแม่เองที่ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทนอยู่เช่นนี้ แต่ว่าหากไปจากที่นี่แล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ใด คนสกุลลั่วคงได้ขับไสไล่ส่งเจ้าเป็นแน่ อยู่ด้วยกันกับแม่เถอะนะเซียนเอ๋อร์” ฮูหยินผู้เฒ่าหวังดึงหญิงสาวเข้ามากอดไว้แน่น
ลั่วเฟยเซียนนั่งนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายกอดอยู่เช่นนั้น “เป็นเพราะคำสัญญาของท่านกับมารดาข้าหรือเจ้าคะ ท่านแม่จึงอยากให้เซียนเอ๋อร์อยู่ด้วยกันที่นี่”
ฟางเลี่ยงหรงคลายอ้อมกอดทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง “เจ้าจำได้แล้วรึ”
ส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าเจ้าค่ะ เซียนเอ๋อร์ยังจำสิ่งใดมิได้ เป็นเสี่ยวฝานที่เล่าให้ฟังเจ้าค่ะ”
ฟางเลี่ยงหรงพยักหน้ารับเบาๆ แววตาที่ทอประกายความหวังเมื่อครู่ดับลงทันใด “ข้าสัญญากับมารดาของเจ้าไว้ว่าจะดูแลเจ้าให้ดี แต่ก็ทำไม่ได้ ข้าละอายแก่ใจยิ่งนัก”
ลั่วเฟยเซียนรีบกุมมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้ นางบีบกระชับมือที่เริ่มเหี่ยวย่นนั้น “ท่านแม่..ท่านอย่าโทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ ท่านได้ดูแลและช่วยเหลือข้ามาเป็นอย่างดีแล้ว สำหรับคำสัญญาเหล่านั้น ท่านก็ได้ทำมันแล้วนี่เจ้าคะ ข้าก็เป็นสะใภ้ตระกูลหวังแล้วอย่างไรเล่า”
“เจ้าไม่คิดเปลี่ยนใจจริงหรือ” ฟางเลี่ยงหรงอดที่จะถามออกมาอีกครั้งไม่ได้ นางเห็นแววตาแน่วแน่ของคนเบื้องหน้า หากเป็นเซียนเอ๋อร์คนเก่าคงไม่มีแววตาเช่นนี้ นับว่าเด็กคนนี้เข้มแข็งขึ้นไม่น้อย
เดิมทีที่นางต้องการลั่วเฟยเซียนมาเป็นสะใภ้ มิใช่เพราะคำสัญญากับสหายรักเพียงอย่างเดียว แต่เพราะมิอาจทนเห็นคนสกุลลั่วรังแกหญิงสาวตัวเล็กๆ เช่นนี้ได้
“หากตัดสินใจแล้วแม่ก็จะไม่ห้าม แต่ถ้าเจ้าหย่ากับอาเหว่ยทางสกุลลั่วคงไม่รับเจ้ากลับไปแน่” ฮูหยินผู้เฒ่ามองร่างแน่งน้อยด้วยความอาทร นางเองก็เคยคิดที่จะให้อีกฝ่ายไปจากที่นี่เช่นกัน ตอนแรกคิดว่าตนช่วยหญิงสาวมาจากตระกูลลั่วได้แล้ว และลั่วเฟยเซียนก็จะไม่ต้องถูกรังแกอีก ทว่าเด็กคนนี้กลับต้องมาทุกข์ใจเพราะบุตรชายผู้โง่เขลาของนางเสียอย่างนั้น
“เซียนเอ๋อร์ก็ไม่คิดจะกลับไปยังสกุลลั่วเช่นกันเจ้าค่ะ” นางหลุบตาลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด หากบอกว่าจะไปอยู่ต่างแคว้นฮูหยินผู้เฒ่าหวังคงตกใจเป็นแน่
“เซียนเอ๋อร์จะหาวัดที่สงบสักแห่งเพื่อสวดมนต์และฟื้นฟูความทรงจำ แล้วเซียนเอ๋อร์ก็อยากไปใช้ชีวิตเรียบง่ายยังต่างเมืองเจ้าค่ะ” ลั่วเฟยเซียนจำต้องโกหกคำโตออกไป ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่านางจะไปไกลถึงต่างแดนคงไม่ยอมแน่นอน
“เช่นนั้นแม่จะให้คนไปหาที่อยู่ให้เจ้าเอง”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ!” ปฏิเสธทันใด “เอ่อคือ..เซียนเอ๋อร์หมายความว่า ท่านแม่ไม่ต้องลำบากกับเรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ ข้าได้ให้เสี่ยวฝานไปหาไว้แล้ว”
“เช่นนั้นรึ” ฟางเลี่ยงหรงพยักหน้ารับเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะไปเมื่อใด”
“อีกยี่สิบวันข้างหน้าเจ้าค่ะ” ตอบเสียงอ่อย
“เร็วปานนั้นเชียว เหตุใดต้องเร่งรีบถึงเพียงนี้ด้วย” ฟางเลี่ยงหรงอดรู้สึกใจหายไม่ได้
“หากเซียนเอ๋อร์ยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ท่านพี่เหว่ยขุ่นเคืองใจ และพวกท่านต้องมีปากเสียงกันเพราะเรื่องของข้าอีก เซียนเอ๋อร์ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ท่านแม่กับท่านพี่ต้องผิดใจกันเจ้าค่ะ ขอท่านแม่โปรดส่งเสริมเซียนเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยอย่างนอบน้อม แสร้งทำน้ำเสียงสั่นเครืออย่างรู้สึกผิด นางรู้มาจากเสี่ยวฝานว่าแม่ลูกคู่นี้ทะเลาะกันเพราะเรื่องของนางบ่อยครั้ง
“เฮ้อ คงถึงเวลาแล้วสินะ แม่คงต้องปล่อยเจ้าไปจริงๆ บางทีการที่เจ้าออกไปจากที่นี่อาจจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” ฟางเลี่ยงหรงกุมมือบางไว้มั่น “หากมีสิ่งใดให้แม่ช่วยเหลือเจ้าบอกมาได้เลย”
ลั่วเฟยเซียนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ นึกขอบคุณในความห่วงใยที่สตรีผู้นี้มอบให้กัน “ขอบคุณท่านแม่ที่เมตตาเซียนเอ๋อร์เจ้าค่ะ เอ่อคือ… เรื่องหนังสือหย่า”
ครั้นเห็นหญิงสาวเอาแต่อึกอักไม่ยอมกล่าววาจาออกมาก็เข้าใจได้ทันทีว่านางต้องการสิ่งใด “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงแม่จะจัดการให้เอง เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของแม่จึงทำให้เจ้าต้องเจ็บทั้งกายและใจ หนำซ้ำยังมีประวัติด่างพร้อยเช่นนี้อีก อภัยให้หญิงชราโง่เขลาผู้นี้ด้วยเถิดนะเซียนเอ๋อร์”
“ท่านแม่อย่าได้กล่าวเช่นนี้ เซียนเอ๋อร์มิเคยโกรธเคืองอันใดท่านเลย เป็นท่านเสียอีกที่คอยดูแลเซียนเอ๋อร์เสมอมา” รีบปลอบคนอย่างลนลาน
ฟางเลี่ยงหรงอยู่สนทนากับลั่วเฟยเซียนต่ออีกครู่ใหญ่ ทว่าเมื่อกำลังจะกลับเรือนของตน ก็เห็นร่างบางมองมาเหมือนมีสิ่งใดจะกล่าว แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา
“เจ้ามีสิ่งใดจะบอกแม่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าหวังถามอย่างใคร่รู้
ลั่วเฟยเซียนหันไปหาเสี่ยวฝาน เมื่อเห็นสาวใช้พยักหน้าให้กำลังใจ จึงกลั้นใจเอ่ยความออกมา
“เอ่อคือ... ท่านแม่ คือว่า... เรื่องลั่วเจียวเหม่ยเจ้าค่ะ”
“ทำไมรึ นางจิ้งจอกนั่นมากลั่นแกล้งอันใดเจ้าอีก” ฟางเลี่ยงหรงถามเสียงแข็ง
“ท่านแม่รู้เรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” คิ้วสวยได้รูปเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เจ้าคิดว่าแม่แก่แล้วจะหูตาฝ้าฟางเช่นนั้นรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
ฟางเลี่ยงหรงทอดถอนใจแผ่วเบา “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเพิ่งแต่งเข้าจวนสกุลหวังมาได้เพียงไม่กี่เดือน และนางจิ้งจอกนั่นจะไม่เคยรังแกเจ้าในจวนแห่งนี้เลย แต่เรื่องราวของเจ้าที่จวนสกุลลั่วแม่ย่อมรู้เป็นอย่างดี แม่ติดสินบนบ่าวผู้หนึ่งในจวนใต้เท้าลั่ว เพื่อให้นำข่าวคราวของเจ้ามาบอกแม่”
“ท่านแม่” เรียกเสียงแผ่ว น่าดีใจแทนลั่วเฟยเซียนตัวจริงยิ่งนักที่มีคนเป็นห่วงเป็นใยถึงเพียงนี้
“ก็เพราะว่าลั่วเจียวเหม่ยร้ายกาจอย่างไรเล่า แม่จึงไม่อยากได้สตรีเช่นนั้นมาเป็นนายหญิงของจวนสกุลหวัง ร้ายกาจทั้งแม่ทั้งลูก น่ารังเกียจเสียจริง เหอะ!” ฟางเลี่ยงหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
“ท่านแม่ ท่านก็รู้ว่านางร้ายกาจ เซียนเอ๋อร์เกรงว่านางจะทำร้ายท่านอีกคนเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แม่ไม่ปล่อยให้นางทำอันใดแน่ ตอนนี้แค่รอให้อาเหว่ยได้เห็นธาตุแท้ของนางจิ้งจอกนั่นก่อนเถิด แม่จะทำให้มันอยู่ที่จวนแห่งนี้ไม่ได้อีกเลย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างมาดหมาย ประกายตามีแววอำมหิตพาดผ่านก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วเฟยเซียนได้แต่ยิ้มแห้งตอบรับออกไป ดูท่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เมื่อเห็นว่ารบกวนเวลาพักผ่อนของหญิงสาวมานานแล้ว ฟางเลี่ยงหรงจึงกลับเรือนพักของตนไป