หลังจากเรื่องวุ่นวายหน้าเรือนอิ๋งชุนในวันนั้น ลั่วเจียวเหม่ยถูกสั่งให้ไปสำนึกผิดอยู่ที่ศาลบรรพชนของสกุลหวังเป็นเวลาหนึ่งเดือน ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายก่อเรื่องขึ้นในตอนที่นางไม่อยู่ ฟางเลี่ยงหรงสั่งโบยพ่อบ้านสิบไม้ โทษฐานที่ปล่อยให้คนนอกเข้ามาในจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ลั่วเฟยเซียนยังคงเก็บตัวอยู่ในเรือนอย่างเงียบเชียบ หลังจากวันนั้นนางก็มิได้ย่างเท้าออกจากเรือนเช่นกัน แม้จะไม่ได้ออกไปที่ใด แต่ก็รับรู้เรื่องข่าวลือของตนได้เป็นอย่างดี เพราะเสี่ยวฝานเป็นผู้ไปสืบความเรื่องต่างๆ แล้วมารายงานต่อนาง
“คุณหนู แล้วของในหีบใบนี้จะเอาไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวฝานถามอย่างลังเล หลังจากได้เห็นของในหีบใบนั้น
ลั่วเฟยเซียนวางมือจากการคัดอักษรแล้วเดินไปหาสาวใช้ พลางมองของในหีบด้วยความสงสัย เหตุใดจึงมีอาภรณ์บุรุษมาอยู่ในห้องของนาง “สิ่งของเหล่านี้คือ?”
เสี่ยวฝานมองหญิงสาวด้วยสายตาเห็นใจ “ก็เป็นอาภรณ์ที่คุณหนูปักให้นายท่านหวังอย่างไรเล่าเจ้าคะ มิใช่แค่อาภรณ์เท่านั้น แต่ยังมีรองเท้า ถุงหอม และถุงเงินอีกด้วยเจ้าค่ะ แต่ว่า... ”
“แต่ว่าข้ามิได้มอบให้คนผู้นั้น จึงได้เก็บไว้ในหีบนี่ใช่หรือไม่” ลั่วเฟยเซียนเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่อ้ำอึ้งไม่ยอมกล่าวต่อให้จบ
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานตอบเสียงแผ่ว
“ช่างเถิด ทิ้งมันไว้ที่นี่แหละ เอาไปด้วยข้าก็ไม่ได้ใช้” กล่าวจบก็กลับไปนั่งคัดอักษรต่อ
ผ่านไปราวสองชั่วยามของทุกอย่างก็ถูกเก็บลงหีบจนหมดสิ้น ลั่วเฟยเซียนยิ้มให้เสี่ยวฝานเล็กน้อยยามเห็นว่านางจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกเพียงห้าวันเท่านั้นก็จะถึงเวลาเดินทาง
“คุณหนู แล้วเรื่องสกุลลั่วจะเอาเช่นไรดีเจ้าคะ” เสี่ยวฝานถามอย่างร้อนใจ
“นั่นน่ะสิ จนป่านนี้แล้วทางสกุลลั่วก็ยังเงียบอยู่อีก ยังไม่เห็นว่าจะขับข้าออกจากตระกูลเสียที” กล่าวด้วยความสงสัย
“หรือเป็นเพราะใต้เท้าลั่วยังไม่ทราบว่าคุณหนูหย่ากับคุณชายหวังแล้วเจ้าคะ”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้นะ” ลั่วเฟยเซียนยิ้มกว้างจนตาหยีเมื่อคิดบางสิ่งออก “ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร เสี่ยวฝาน มาฝนหมึกให้ข้าที ข้าจะเขียนจดหมายไปหาใต้เท้าลั่ว ในเมื่อคนผู้นั้นไม่ยอมขับข้าออกจากตระกูลเสียที เช่นนั้นข้าก็จะเป็นฝ่ายขับตัวเองออกจากตระกูลลั่วแทนก็แล้วกัน”
เสี่ยวฝานแม้จะสะดุดใจในวาจาของผู้เป็นนาย ที่เรียกขานบิดาตนเองห่างเหินเช่นนี้ แต่นางก็ปัดความสงสัยเหล่านั้นทิ้งไปแล้วรีบไปทำหน้าที่ฝนหมึก
ลั่วเฟยเซียนตั้งใจเขียนจดหมายให้แก่ใต้เท้าลั่ว เขียนเสร็จก็ยื่นซองกระดาษปิดผนึกไปให้เสี่ยวฝาน “นำไปมอบให้ใต้เท้าลั่ว แล้วเจ้าก็รอเอาหนังสือรับรองของข้ากลับมาด้วยนะ”
เสี่ยวฝานยื่นมือไปรับจดหมายมาทั้งที่ยังมึนงง แล้วออกจากเรือนไปทันใด
คล้อยหลังสาวใช้ลั่วเฟยเซียนก็นำตั๋วเงินออกมานับ และทำรายการว่าจะจัดการเช่นไรกับเงินสามพันตำลึงทองนี่ดี ‘สินเดิมของเจ้าสาวก็มิได้มีมากมายอันใดจึงขายได้เงินมาแค่นี้ แต่ด้วยเงินเพียงเท่านี้คงพอให้ข้าหาซื้อจวนเล็กๆ ได้สักหลังกระมัง อืม... หากใช้จ่ายอย่างประหยัดคงเหลือใช้ต่อไปได้อีกราวสองปี’
ยามเซิน(15.00น.-16.59น.) ณ จวนสกุลลั่ว...
เสี่ยวฝานยืนมองประตูบานใหญ่ของตระกูลลั่วอยู่ชั่วครู่ นางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้แก่ตนเอง ก่อนจะเดินตรงไปหายามเฝ้าประตูพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
“พี่ชาย ข้ามาขอพบใต้เท้าลั่วเจ้าค่ะ ข้ามีจดหมายจากคุณหนูใหญ่มามอบให้ใต้เท้า ข้าขอเข้าไปในจวนได้หรือไม่” นางถามอย่างเป็นมิตร
ชายผู้นั้นปรายตามองคนแวบเดียว แล้วเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “ไปให้พ้น ตอนนี้ใต้เท้าไม่ว่าง มีเรื่องอันใดก็ค่อยมาวันหลัง”
ประกายตาของหญิงสาววาวโรจน์ขึ้นมาทันใดเมื่อถูกคนผู้นี้ไล่เยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง
“ข้าบอกว่ามีของที่ต้องมอบให้ใต้เท้าลั่ว ใต้เท้าจะว่างหรือไม่เจ้าไม่ลองไปรายงานดูก่อนล่ะ มิใช่ว่าเจ้าคิดเองเออเองหรอกนะ” เสี่ยวฝานกล่าวออกมาด้วยความเดือดดาล
“ข้าบอกว่าไปให้พ้น!”
“เจ้า!” นางชี้หน้าคนผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัว
“มีเรื่องอันใดกัน เหตุใดจึงได้ส่งเสียงเอะอะดังเข้าไปถึงในเรือนเช่นนี้” เสียงกล่าวดังขึ้นมาพร้อมกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังเยื้องย่างออกมาหน้าประตูจวน
เสี่ยวฝานยิ้มกว้างยามเห็นว่าเป็นผู้ใด “คารวะท่านพ่อบ้านตงเจ้าค่ะ”
“ขออภัยที่ข้าน้อยทำเสียงดังรบกวน แต่ว่า... ข้าน้อยขอเข้าไปพบใต้เท้าเพราะมีจดหมายจากคุณหนูมามอบให้ แต่คนผู้นี้กลับไม่ยอมให้ข้าเข้าจวนเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานรีบฟ้องพ่อบ้านตง
พ่อบ้านวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ “เจ้าก็อย่าไปถือสาอาฮุ๋ยเลย เจ้านี่เพิ่งเข้ามาใหม่จึงไม่รู้จักเจ้า มาเถอะ ข้าจะพาไปพบนายท่านเอง”
สิ้นคำพ่อบ้านตงก็เดินนำเสี่ยวฝานเข้าไปในจวน หญิงสาวปรายตามองอาฮุ๋ยเล็กน้อย คนผู้นี้คงไม่แคล้วเป็นคนของมี่เหม่ยเอินเป็นแน่ หากมิใช่คงไม่ขัดขวางนางเช่นนี้หรอก ต้องเป็นคำสั่งของสตรีร้ายกาจผู้นั้นแน่นอน
เมื่อมาถึงหน้าห้องหนังสือ พ่อบ้านตงก็เข้าไปรายงานผู้เป็นนายของจวน เพียงไม่นานก็กลับออกมาเรียกเสี่ยวฝานให้เข้าไปด้านใน
“คารวะใต้เท้าเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานยอบกายทำความเคารพ ก่อนจะยื่นจดหมายไปให้ “คุณหนูให้บ่าวนำมามอบให้ใต้เท้าเจ้าค่ะ”
‘ลั่วซิ่นจง’ รับจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่านด้วยแววตาเรียบเฉย เขากวาดสายตามองอักษรที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าใดนักบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้าๆ
เรียนท่านพ่อที่เคารพ
ขออภัยที่ลูกไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่านก่อน บัดนี้เซียนเอ๋อร์ได้หย่าร้างกับคุณชายสกุลหวังแล้วเจ้าค่ะ เพราะเซียนเอ๋อร์ไม่อยากขัดขวางความรักของน้องรองอีกต่อไป ซ้ำตอนนี้ลูกก็ความจำเลอะเลือน มิอาจจดจำผู้ใดได้แม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ทำให้ลูกทุกข์ใจยิ่งนัก ดังนั้นเซียนเอ๋อร์จึงอยากจะหาที่สงบๆ เพื่อรักษาตัวเอง
ทว่าการที่ลูกหย่าขาดกับท่านพี่เหว่ยนั้น จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลพลอยด่างพร้อยไปด้วย หนำซ้ำยังมีข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเซียนเอ๋อร์มากมาย ลูกจึงอยากให้ท่านพ่อตัดลูกออกจากทำเนียบของตระกูลลั่ว เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลไว้เจ้าค่ะ
เซียนเอ๋อร์หวังว่าท่านพ่อจะอภัยให้กับความโง่เขลาของบุตรสาวผู้นี้ เป็นความผิดของลูกเองที่มิอาจรักษาเกียรติของคนสกุลลั่วไว้ได้ ขอท่านพ่อโปรดเมตตาบุตรีอกตัญญูผู้นี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ
รักและเคารพเสมอ
ลั่วเฟยเซียน
ลั่วซิ่นจงอ่านเนื้อความบนจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีก แววตามีประกายสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว มือหนาโบกไล่ทุกคนให้ออกไปจากห้องหนังสือ แล้วเอ่ยถามความกับเสี่ยวฝาน
“เซียนเอ๋อร์หย่าขาดกับหวังเหยียนเหว่ยแล้วจริงรึ”
“จริงเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูยังจดจำสิ่งใดมิได้ซ้ำยังมีข่าวลือมากมาย จึงทำให้คุณหนูหวาดกลัวที่จะอยู่เมืองหลวงต่อไปเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานรีบเอ่ยตามที่นายหญิงสั่งสอนมา นางบีบน้ำตาแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าใต้เท้าลั่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ขอใต้เท้าโปรดส่งเสริมในความต้องการของคุณหนูด้วยเถิดเจ้าค่ะ บ่าวต้องเห็นคุณหนูทุกข์ใจเช่นนี้ บ่าวปวดใจยิ่งนัก”
ลั่วซิ่นจงกำจดหมายในมือแน่น แววตาเรียบเฉยอย่างไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขายังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นไปอีกครู่ใหญ่ จากนั้นจึงตัดสินใจหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง มือถือพู่กันไว้แต่ก็มิยอมเขียนสิ่งใดลงไป
ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ใต้เท้าลั่วก็เริ่มเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษแผ่นเล็ก ถือตราประทับของตนไว้อย่างลังเลใจ ว่าจะประทับลงไปบนกระดาษแผ่นนี้ดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นจดหมายที่ตนเพิ่งเปิดอ่าน จึงประทับตราลงไปอย่างไม่ลังเลอีก
“เอาไปให้นายของเจ้า” ลั่วซิ่นจงยื่นกระดาษที่มีตราประทับไปให้สาวใช้ของอดีตบุตรสาวคนโต
เสี่ยวฝานรีบรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างรวดเร็ว พยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉยอย่างที่สุด แต่ในใจนั้นกลับดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ใต้เท้าลั่วหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วยื่นไปให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน “บอกนางให้ดูแลตัวเองด้วย นับจากนี้ไปไม่ว่าจะอยู่หรือตาย นางก็มิใช่คนสกุลลั่วอีกต่อไป”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานรับคำเสียงแผ่วเบา พร้อมกับรับเอากล่องไม้มาถือไว้
“ปิ่นทองอันนี้ ข้าว่าจะมอบให้เซียนเอ๋อร์ในพิธีปักปิ่น แต่ก็ไม่มีโอกาสให้ จึงได้แต่เก็บไว้เรื่อยมา ตอนนี้เจ้าก็นำไปให้นางด้วยเถิด จะเก็บไว้หรือจะขายก็สุดแล้วแต่นาง” กล่าวจบก็โบกมือไล่คนให้ออกไปจากห้อง ลั่วซิ่นจงทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง แล้วปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้า
เสี่ยวฝานเองเมื่อออกมาจากห้องหนังสือของใต้เท้าลั่ว ก็ตรงกลับจวนสกุลหวังทันใด
ยามซวี(19.00น.-20.59น.)... ลั่วเฟยเซียนซึ่งก้มหน้าเย็บเอี๊ยมตัวใหม่อยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมาทันทียามเห็นเสี่ยวฝานเดินเข้ามาในเรือน
“เป็นเช่นไรบ้าง ได้มาหรือไม่” ถามด้วยความร้อนใจ
“นี่เจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวฝานยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมกล่องไม้ไปให้
ลั่วเฟยเซียนเปิดอ่านใจความบนกระดาษ ใบหน้างดงามเผยยิ้มกว้างออกมา นางเปิดกล่องไม้ออกดู กลับพบว่าเป็นปิ่นทองสลักลายเถาฮวา(ดอกท้อ)ห้อยระย้า กลางดอกของเถาฮวาประดับด้วยทับทิมเม็ดใหญ่
“ปิ่นทองอันนี้?” หยิบปิ่นขึ้นมาแล้วยื่นไปทางสาวใช้
“ใต้เท้าลั่วฝากมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ แล้วยังฝากถ้อยคำมาว่าให้คุณหนูดูแลตัวเองให้ดี ต่อแต่นี้ไปจะอยู่หรือตายก็ไม่ใช่คนสกุลลั่วอีกต่อไป สำหรับปิ่นทองอันนี้ จะเก็บไว้หรือขายก็สุดแล้วแต่ความปรารถนาของคุณหนูเจ้าค่ะ” เสี่ยวฝานกล่าวรายงานคำพูดของลั่วซิ่นจงอย่างไม่ขาดไปสักประโยค
“อืม” ลั่วเฟยเซียนพยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนจะเก็บปิ่นลงกล่องดังเดิม
“คุณหนูทานมื้อเย็นหรือยังเจ้าคะ”
“ยังเลย ข้ารอเจ้าอยู่ ไปยกมาเลยก็ได้ แล้วเจ้าก็มาทานพร้อมกันกับข้านี่แหละ”
สิ้นคำของผู้เป็นนาย เสี่ยวฝานก็ไปยังโรงครัวทันใด สองนายบ่าวต่างทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้วเข้านอน