บทที่ ๒ พระพรหมยังไม่ลิขิต(๑)

1488 คำ
สองสัปดาห์ต่อมา เช้าวันนี้บ้านอภิศิรานนท์หลังโตกำลังวุ่นวายอย่างหนัก ข้าวของถูกขนเข้าบ้านหลายอย่างเหลือเกิน ดูท่าแม่งานคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่เลี้ยงแพรวพัตรา เพลิงอัคคีเห็นคนเป็นย่ายืนชี้ไม้ชี้มือสั่งโน่นสั่งนี่ โดยมีน้าต้นกล้าและน้าลิ้นจี่คอยรองรับคำสั่ง ชายหนุ่มยังจำเรื่องเล่าของน้าทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี พ่อไฟเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนนี้กว่าที่ทั้งสองคนจะลงเอยกันได้ก็สร้างความอลหม่านทั่วทั้งไร่ เมื่อคุณน้าลิ้นจี่เทียวไล้เทียวขื่อจีบน้าต้นกล้ามาหลายปีแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งฟ้าฝนเป็นใจ ดลบันดาลให้น้าลิ้นจี่โกรธน้าต้นกล้าในคืนวันหนึ่งจนถึงขั้นประกาศว่าต่อไปนี้จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก โอว...และฟ้าฝนก็เป็นสะพานให้ความรักสุขสมหวัง น้าต้นกล้าวิ่งตามไปง้องอน และก็เข้าพล็อตของละครไทย กระท่อมกลางไร่กับเนื้อนวลขาวผ่อง แถมเสียงสัตว์ป่าร้องระงมแข่งกันเป็นพยาน และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ทั้งสองคนครองคู่กันและยังมีเจ้าตัวเล็กอย่างนายเก่งกล้าและหนูส้มหวานออกมาเป็นพยานรัก ส่วนทำยังไงนั้นพ่อไฟก็ทำหน้าเพียงยิ้มแป้นเป็นคำตอบ ซึ่งชายหนุ่มก็เพิ่งจะเข้าใจเมื่อถูกส่งตัวไปเรียนเมืองนอกเมืองนานี่เอง นายเก่งกล้าตอนนี้ก็อายุยี่สิบสี่ปีเป็นรองผู้จัดการฝ่ายผลิตนั่งอยู่ในออฟฟิศ และหนูส้มหวานก็อายุยี่สิบเอ็ดปีตอนนี้เพิ่งจบปริญญาตรีอีกไม่นานจะกลับมาจากเมืองกรุง เห็นคุณย่าบอกว่าจะให้ทำงานเป็นผู้ชายน้ากล้วยว้าที่แบกรับหน้าที่เลขามาหลายสิบปี จนตอนนี้ร่างกายเริ่มร่วงโรยอาจเป็นเพราะมีเจ้านายเรื่องมากและมากเรื่องอย่างเขานี่แหละ ส่วนความรักของลุงละมุดกับน้าน้ำผึ้งไม่ได้หอมหวานสุกงอม ทั้งสองคนไม่ได้ครองคู่กัน อยู่กันอย่างมิตรภาพของคำว่าพี่ชายและน้องสาว เพราะฉะนั้นน้าน้ำผึ้งกับน้ากล้วยว้าจึงเกาะคานทองนิเวศน์มาจนถึงปัจจุบัน สายตาของน้าน้ำผึ้งก็ยังคงแอบมองลุงละมุดด้วยความรักข้างเดียวเสมอมา “เฟนย์ลูก...เฟนย์” เสียงคนเป็นย่าเรียกขาน แต่หลานชายสุดรักยังยืนนิ่ง “คุณเฟนย์ครับ” ต้นกล้าส่งเสียงเรียกอีกคน “เอ่อ...ครับ คุณย่ากับน้าต้นกล้ามีอะไรรึเปล่าครับ” เท่านั้นแหละชายหนุ่มถึงหลุดออกจากภวังค์ความคิด หันมายิ้มเจื่อนๆ ให้กับคนเป็นย่าและน้าต้นกล้ารวมทั้งน้าลิ้นจี่ที่รอฟังตาแป๋ว “วันนี้รีบกลับมาทานมื้อค่ำกับย่านะลูก” “ได้ครับคุณย่า ผมจะรีบกลับ ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ” เพลิงอัคคีโน้มใบหน้าคมๆ ก้มลงมาหอมแก้มของคนเป็นย่าทั้งซ้ายทั้งขวาก่อนจะก้าวขึ้นรถโฟร์วิลสีดำไป ถ้าหันหลังกลับมามองสักนิดก็จะได้เห็นแววตาแห่งความตั้งอกตั้งใจของคนเป็นย่า หากลูกพญาอินทรีรู้ว่าเย็นนี้จะเกิดอะไรขึ้น เชื่อได้เลยหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์เจ้าตัวต้องเบี้ยวนัดแน่ๆ “ต้นกล้าลิ้นจี่เก็บของให้เรียบร้อยนะ เดี๋ยวฉันจะไปดูตาฟิวส์สักหน่อย” สองสามีภรรยาน้อมรับคำสั่ง ก่อนดวงตาของต้นกล้าจะเบิกโพลงและแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อนึกได้ว่าคุณฟิวส์ไม่ได้อยู่บนเรือนไม้สักอย่างแน่นอน โน่น...ถ้ำของปู่อินทร์ ป่านนี้คงจะนั่งสมาธิกบดานแถมยังสั่งพยัคฆ์ขาวและพยัคฆ์ดำปิดปากเงียบห้ามบอกใครอีกต่างหาก หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์กำลังจะผละหนี แต่ดวงตาของเมียรักอย่างลิ้นจี่จับจ้องก่อนจะเอ่ยปาก “จะไปไหนคะพี่ต้นกล้า” คำตอบของชายหนุ่มก็คือการส่ายหน้าไปมา “ไม่ไปไหนจ๊ะ จะไปดูที่รถสักหน่อยว่าเหลืออะไรอีกรึเปล่า” “ไม่มีอะไรหลงเหลือหรอกค่ะ รีบยกไปของไปเก็บในครัวดีกว่า ลิ้นจี่จะโทรหายายหนูสักหน่อย” “ได้ครับผม” ลูกน้องเสือใหญ่น้อมรับคำสั่งเมียรัก ก่อนจะรีบจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย ในใจของต้นกล้ายังพะวงอยู่ตลอดเวลา งานได้เข้ากันหมดแน่ ลิ้นจี่ได้แต่มองตามแผ่นหลังพี่ต้นกล้าสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้น ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์กำลังคิดส่งสารให้ลูกน้องได้รับทราบ จะได้ตระเตรียมรับมือกับแม่เลี้ยงแพรวพัตราได้ทันเวลา แต่ไม่มีทางเสียล่ะ ถึงอย่างไรลิ้นจี่ก็ยังเคารพรักคุณท่านไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตกเย็นย่ำค่ำเวลาทุ่มตรง เพลิงอัคคีต้องเปิดลูกตากลมๆ ของตัวเองกวาดมองเสียรอบบ้าน รถแก๋งคันโก้สีดำสนิทจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเฉลียวใจเลยสักนิด หลานเฟนย์ของคุณย่าแพรวพัตราก้าวเข้าบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากทั้งวันวิ่งวุ่นคลุกฝุ่นอยู่ในไร่จนตอนนี้ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อที่ไม่พึงประสงค์ ความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้ชายหนุ่มมุ่งหน้ากลับเข้าห้องพักซึ่งแยกออกมาอยู่บริเวณด้านหลัง นั่นจึงไม่ต้องเดินผ่านผู้คนที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น เป็นอันว่าต่อจากนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็คง ‘หนีไม่ทัน’ ครึ่งชั่วโมงต่อมา สุภาพบุรุษรูปหล่อถอดแบบจากคนเป็นพ่อมาแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ก็พกพาตัวเองในชุดลำลองสบายๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร ‘ช๊อก อึ้ง ทึ่ง ยืนงงเป็นไก่ตาแตก’ สาบานได้ว่าที่ตัวเองยืนอยู่ในเวลานี้คือห้องอาหารของบ้านอภิศิรานนท์ ทุกวันจะมีคนนั่งรับประทานร่วมกันอย่างอบอุ่น มีคุณแม่เนย คุณพ่อไฟ คุณปู่เพลิง คุณย่าแพรว และตัวของชายหนุ่มเองรวมทั้งน้องชายที่นานๆ ครั้งจะมานั่งกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนครอบครัวของน้าต้นกล้าแยกไปรับประทานในบ้านของเจ้าตัว ส่วนมากจะไม่ค่อยมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่เวลานี้ หรือว่าชายหนุ่มยืนอยู่ผิดที่ เพลิงอัคคีกะพริบตาปริบๆ จ้องทุกคนที่นั่งเรียงรายและแขกแปลกหน้าสามคนกับอีกหนึ่งที่เคยเจอบ่อยครั้งตามงานประจำปีของทางอำเภออย่างใช้ความคิด “เฟนย์นั่งก่อนสิลูก” เสียงนี้แหละที่ทำให้ชายหนุ่มรู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป เพลิงอัคคีส่งยิ้มจืดเจื่อนให้คนเป็นแม่ และแน่นอนเขาก็ได้รับรอยยิ้มแหยๆ ตอบกลับมา คราวนี้ก็พอจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ‘ย่าแพรวหาคู่ตุนาหงัน’ ดวงตาคมกริบดังพญาเหยี่ยวกวาดมองโดยรอบห้อง ชายหนุ่มหวังจะหาแนวร่วมขบวนการชิ่ง เจ้าน้องชายตัวดีนั่งอยู่ตรงไหน เปล่าเลยต่อให้หันมองจนคอแทบหลุด เจ้าฟิวส์ก็ไม่อยู่นั่นก็หมายความว่าน้องสุดที่รักชิ่งหนีไม่ยอมมา ทุกอย่างเลยตกอยู่กับแฝดที่เกิดก่อนเพียงสามนาทีอย่างเขา “ตาเฟนย์มานั่งข้างๆ ย่านี่มา ย่าจะแนะนำให้รู้จักกับแขกของย่า” “ครับ...” ชายหนุ่มรับคำอย่างงุนงงก่อนจะทรุดนั่งอย่างว่าง่าย กวาดสายตามองคุณปู่ คุณพ่อ น้าต้นกล้า น้าลิ้นจี่ ให้ตายเถิดไม่มีใครสักคนกล้าสบตา “เฟนย์จ้ะ นี่คุณปลัดเทียรรบ มณีกาญจน์และภรรยาของท่านคุณ มณียา” เพลิงอัคคียกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านด้วยความนอบน้อม ชายหนุ่มเคยเจอท่านปลัดมาแล้วเมื่อครั้งออกงานกับคุณพ่อบ่อยครั้ง “โตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะ อาแทบจำไม่ได้นะหลานชาย” ท่านปลัดเอ่ยปาก “ก็อย่างนี้แหละค่ะ เด็กสมัยนี้โตเร็ว อีกไม่กี่ปีพวกเราก็คงจะได้เห็นลูกหลานตัวน้อยๆ วิ่งเล่นจริงไหมคะคุณเนย” และนั่นคือประโยคที่เพลิงอัคคีได้ยินจากปากของภรรยาท่านปลัด ก่อนคนเป็นย่าจะหันมาแนะนำหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวถัดมา “เฟนย์จ้ะ นี่หนูมัสยาและหนูมีนมีนา บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณปลัด” สองหญิงสาวผู้ถูกแนะนำยกมือไหว้ชายหนุ่ม เพราะเพลิงอัคคีมีอายุมากกว่าเรียกว่าคงเป็นพี่อยู่หลายปี สองสาวคงอายุไล่เลี่ยกับหนูส้มหวาน บุตรสาวของน้าต้นกล้ากับน้าลิ้นจี่ ถ้ายายส้มหวานอยู่ก็คงจะดีกว่านี้ เพราะชื่อส้มหวานไม่เหมาะเลยสักนิด น่าจะชื่อส้มเปรี้ยวมากกว่า แสบสันเอาการจะตายไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม