สรุปแล้วเมื่อคืน...
ฉันก็ไม่ได้ไปพักที่อื่นตามอย่างที่ตั้งใจ ทั้งหมดก็เพราะคำว่า ‘ห่วง’ จากคุณน้าเจ้าของบ้านแค่คำเดียว
เช้าวันต่อมา ฉันออกจากบ้านเดินทางไปวิลัยแต่เช้าเพื่อสอบซ่อมวิชานรกอย่างคณิตศาสตร์ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก เพราะใจจริงแล้วฉันมีเป้าหมายที่จะเดินทางไปโรงพยาบาลหลังจากทำธุระที่วิลัยเสร็จ
อ้อ! ฉันลืมบอกไปว่าฉันโรงเรียนเทคนิคศิลป์ชื่อดังแห่งหนึ่ง สาขาออกแบบศิลป์
ศิลปะคือความชอบของฉัน และยิ่งชอบมากเข้าไปใหญ่เมื่อแฟนสุดที่รักชื่นชอบศิลปะบนผิวหนัง (ฉันหมายถึงพี่โซลนะ ไม่ใช่คำราม!) ด้วยความที่เป็นแบบนี้ฉันจึงมักชอบออกแบบลายสักไว้ให้พี่โซลใช้กับงาน บางทีก็ช่วยออกแบบลายให้ลูกค้าอยู่บ่อยๆ แต่นับตั้งแต่แต่งงานฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาช่วยเขามากนัก
เวลา 11.40 น.
โรงพยาบาลเอกชน B
หลังจากเสร็จธุระ ฉันก็พาตัวเองไปโรงพยาบาลตามอย่างที่ตั้งใจไว้
ห้องพักผู้ป่วย หมายเลข 1702 คือสถานที่ที่ฉันพาตัวเองมา
แต่ยังไม่ทันได้ผลักประตูห้องเข้าไป
เพล้ง!
“ออกไป!!” เสียงกรีดร้องราวกับคนคลุ้มคลั่ง อีกทั้งเสียงปาข้าวของจากภายใน ทำฉันรีบผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“หวานหวาน!” เพื่อปรามเจ้าของเสียงเกรี้ยวกราดดังกล่าว
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือนางพยาบาล 2 คนที่พยายามช่วยกันจับตัวหวานหวานเอาไว้
“คุณญาติมาพอดีเลย...” พยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนเลื่อนสายตากลับไปยังหวานหวาน “ใจเย็นๆ นะคุณพี่สาวมาแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ฉันชิงถามออกไป เมื่อเห็นสภาพของทุกคนตรงหน้า
“คือคนป่วยไม่ยอมทานข้าว ทานยาค่ะ แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาละวาดขึ้นมา” หนึ่งในพยาบาลบอกอย่างอ่อนน้อม โดยที่เธอยังจับกุมตัวหวานหวานเอาไว้
“ปล่อยน้องฉันเถอะค่ะ” ภาพที่เห็นมันทำให้ฉันทนไม่ได้จริงๆ จำต้องออกปากสั่งไปเช่นนั้น
“พี่หอม... ฮือออ” ทันทีที่เป็นอิสระ หวานหวานก็วิ่งโผเข้าสวมกอดฉันทันที เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กไม่สมเป็นเธอเลย
หลังจากเหตุการณ์ภายในห้องพักสงบลง ฉันก็ทำหน้าพี่สาวที่ดีด้วยการพาหวานหวานกลับขึ้นเตียงผู้ป่วย อาการของเธอไม่ดีขึ้นแถมยังดูแย่ลงเพราะการอาละวาดใส่เหล่านางพยาบาล ส่วนตอนนี้ก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยบนเตียงคนไข้ แม้ว่าฉันเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เธอยอมคุยได้ก็ตาม
“หวาน หิวอะไรไหม เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อมาให้”
คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ แบบไม่หันกลับมามอง อาการเหม่อลอยไม่สนใจสิ่งรอบข้างของเธอทำฉันเผลอถอนหายใจทิ้งเบาๆ
“หวานต้องกินข้าว กินยาด้วยนะ จะได้หาย”
“หาย...หาย....พี่หอม...หวานหาย...” เธอพึมพำอย่างเลื่อนลอยตามสิ่งที่ฉันบอก
“ใช่ ถ้าหายแล้ว เราจะได้เอาตัวคนผิดมาลงโทษไง” ฉันจับมือเธอแทนการให้กำลังใจ การที่ทำเช่นนั้นเลยทำให้หวานหวานยอมเหลียวกลับมามองฉันในที่สุด
นัยน์ตาคู่สวยของเธอแดงกร่ำ ชุ่มไปด้วยน้ำตา สร้างความเวทนาต่อพี่สาวอย่างฉันมากเข้าไปอีก
“หวานจำได้ใช่ไหม ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“จำ...คืนนั้น...คืนนั้น...หวาน...กลับบ้าน...”
“ใช่... คืนนั้นกลับบ้านกับใครจำได้ไหม...”
“กลับบ้าน...พี่โซล...”
“ใช่คืนนั้นหวานกลับบ้านกับพี่โซล... จำได้หรือเปล่าว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น” สิ้นเสียงถามร่างกายหวานหวนก็สั่นเทิ้มขึ้นมาทันทีราวกับหวาดกลัวอะไร นัยน์ตาชุ่มน้ำตาเองก็แสดงแววตาเดียวกันให้เห็น
“ผู้ชาย!” เธอโพล่งเสียงขึ้นพลางสะบัดมือไปจากฉัน และพึมพำ “ผะ ผู้ชาย....น่ากลัว...น่ากลัว”
“หวาน...ใจเย็นๆ นะ...ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูด”
“ทำร้ายหวาน! ทะ ทำร้าย.... พวกมันทุกคน....คะ...คำราม”
ฉันกำมือแน่นเมื่อได้ยินวลีสั้นๆ สองคำหลุดจากปากเธอ
“ปะ...ปีศาจ....คะ คำราม...พวกมัน...พวกมัน...ไม่!...คะ คำราม!!!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่เธอเอ่ยชื่อปีศาจตนนั้นออกมาอีกครั้ง สองมือเลื่อนขึ้นกุมขมับราวกับคนเสียสติ ภาพของหวานหวานที่เริ่มแสดงอาการเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก กำลังบีบใจฉันให้เจ็บและแค้นมากยิ่งขึ้น
“กะ เกิดอะไรขึ้นคะคุณญาติ....อ๊ะนั่น... นี่ มาช่วยจับคนไข้หน่อย” ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของหวานหวานและเสียงโวยวายของเหล่าพยาบาลที่เข้ามาช่วยฉีดยาให้เธอสงบลง
“คุณคนไข้อยู่นิ่งๆ นะคะ...”
ฉันได้แต่ยืนกำมือแน่นจนสั่น มองภาพน้องสาวต่างสายเลือดในอาการคลุ้มคลั่ง
“คะ คำราม!...ฮึก....คำราม!” ฟังเธอกรีดร้อง วลีสั้นๆ สองพยางค์ก่อนที่เธอจะสงบสติลงหลังถูกฉีดยาว่า
คำ-ราม
เวลาต่อมา...
หลังเยี่ยมหวานหวานเสร็จฉันก็แลกเปลี่ยนคนเฝ้าไข้กับคุณน้าที่เข้ามาผลัดเปลี่ยน และออกมาใช้ตู้สารธารณะโทรหาพี่โซล หลังจากเมื่อวานมีอันต้องผิดนัดเพราะผู้ชายนิสัยเลวคนหนึ่ง อีกทั้งเวลานี้ฉันต้องการระบายกับใครสักคนและมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อเยี่ยมหวานหวานเสร็จ อย่างน้อยการได้พูดหรือบอกเล่าให้ใครสักคนฟัง มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ไม่ดีขึ้นเลยเหรอหวานน่ะ”
พี่โซลถามขึ้นเมื่อเรานั่งอยู่ด้วยกันบริเวณที่นัดพบ
“ไม่เลย” ฉันส่ายหน้า “เหมือนแม่ฉันไม่มีผิด”
“ไม่เอาน่า ไม่คิดมาก” พี่โซเอื้อมมือยีหัวคล้ายกับจะปลอบใจ เขาคงไม่อยากให้ฉันพูดถึงเรื่องของผู้หญิงก็ได้ ถึงได้ทำแบบนั้น “แม่หอมกับหวานน่ะ ไม่เหมือนกันหรอก”
และใช่! ผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของฉันเอง
“ก็พูดจริงนี่ ผู้หญิงคนนั้นกับหวานหวานน่ะ สภาพคล้ายกันจนน่ากลัว...”
“หวานไม่มีทางเป็นบ้าหรอกหอม!” เสียงเข้มของใครอีกคนขัดขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจ เรียกสายตาฉันกับพี่โซลให้เหลือบมองได้เป็นอย่างดี “หวานไม่มีทางเป็นบ้าหรอก หยุดพูดแบบนั้นสักที”
เขาชื่อ ‘ศิลป์’ เป็นน้องชายของพี่โซล และที่สำคัญเขายังเป็นแฟนกับหวานหวานอีกด้วย
“ยิ่งหอมพูด ศิลป์ยิ่งอยากไปฆ่าแม่งให้รู้แล้วรู้รอด!” คนที่แค้นคำรามไม่ต่างไปจากฉันหรือพี่โซล ก็คงเป็นเขานี่แหละ เพราะศิลป์พูดออกมาแบบนั้น ฉันเลยไม่อยากพูดจี้ใจดำเขาอีก
“ถ้าฉันได้หลักฐานเมื่อไหร่ เชื่อเถอะหมอนั่นไม่มีทางรอดแน่” และเปลี่ยนเป็นให้กำลังใจศิลป์แทน
“อยู่ที่นั่น โดนมันทำอะไรไว้บ้างหรือเปล่า?” จู่ๆ พี่โซลก็ถามขึ้นมาแบบไม่บอกไม่กล่าว ด้วยคำถามนั้นมันเลยทำให้ฉันสะอึกไปเล็กน้อย
“ไม่นี่”
“แน่ใจ?”
“แน่สิ พี่ไม่เชื่อใจฉันเหรอ?” คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธและพูดออกมา
“พี่เชื่อใจหอม”
ตอนแรกก็เหมือนจะโล่งใจที่เขายอมเชื่อง่ายๆ แต่ในตอนที่พี่โซลเหลือบมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วหันกลับมาที่ฉันเป็นหนที่สอง ลางสังหรณ์แปลกก็เริ่มเกิดขึ้นในอกอย่างหาสาเหตุไม่ได้ โดยเฉพาะกับคำพูดต่อมา
“หอมรู้ใช่ไหม การจะได้อะไรสักอย่างมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ”
พอพี่โซลพูดแบบนั้นศิลป์ก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้ คนทั้งคู่เหมือนมีแผนอะไรสักอย่าง
“พี่เชื่อใจหอมนะ รู้ใช่ไหม?” ซึ่งเขากำลังจะพูดมัน
“พี่โซลจะพูดอะไร?”
“นอกจากเรื่องหวานแล้ว พี่อยากได้ความเคลื่อนไหวของไอ้รามมากกว่านี้...” พี่โซลพูดพลางส่งมือให้ศิลป์ ซึ่งศิลป์เองก็เตรียมพร้อมอู่ก่อนแล้ว เขารีบหยิบมือถือเครื่องใหม่ออกจากกระเป๋าเสื้อส่งให้พี่โซลทันที “ลำพัง 3 เดือนที่หอมทำอยู่ มันไม่ได้อะไรคืบหน้าเลย ไม่ว่าจะเรื่องหวานหรือเรื่องการเคลื่อนไหวของไอ้เวรนั่น อยู่ไปก็เสียเวลาเปล่า”
“งั้นหอมจะหย่า” ฉันแทรกเสียงหนักแน่น ทว่า
“ห้ามหย่า!” พี่โซลกลับตะคอกเสียงห้ามมันเสียอย่างนั้นก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “หอมต้องอยู่ที่นั่น แล้วรายงานพี่...”
ฉันไม่ได้โง่พอจะไม่เข้าใจว่าพี่โซลต้องการอะไร แค่กำลังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนถึงได้ปฏิเสธการหย่าร้างของแฟนตัวเองกับศัตรูออกมาได้อย่างหนักแน่นเท่านั้นเอง
“ใช้ร่างกายสิหอม” และที่น่าตกใจที่สุดคือแผนการบ้าๆ ที่เขากำลังพูด
“พี่โซลพูดอะไร หอมเป็นผู้หญิงนะเว้ย! แล้วหอมก็เป็นแฟนพี่!” มันทำให้ฉันหงุดหงิด
“พี่รู้ว่าหอมเอาตัวรอดได้”
“ไร้สาระ ถ้าหอมพลาดขึ้นมาล่ะ!?”
“พี่เชื่อใจหอม” เขาเอาแต่พูดคำนี้ พูดทุกครั้งที่เราเจอหน้ากันเหมือนทุกครั้งไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาก็มันจะถามฉัน ว่าเชื่อใจเขาไหม...
“หาหลักฐานเรื่องหวานให้ได้แล้วรายงานความคืบหน้าให้พี่รู้ด้วย” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำท่าเหมือนจะเดินออกไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับศิลป์ “พาหอมไปส่งด้วย”
พี่โซลน่ะเป็นคนที่เดี๋ยวก็ใจดี เดี๋ยวก็เย็นชา เขามีหลายอารมณ์และหลายบุคลิกจนบางทีฉันก็ตามความคิดและอารมณ์เขาไม่ทัน ถึงอย่างงั้นฉันก็รู้สึกรักเขาอยู่ดี
เหตุผลน่ะ มันมีอยู่ไม่กี่ข้อหรอก
‘เป็นผู้หญิง คิดจะสู้แรงผู้ชายพวกนั้นคนเดียวหรือไง?’
‘ไม่เกี่ยว อย่าสะเหล่อ!’ เพราะวันที่เรารู้จักกันครั้งแรกฉันอยู่ในโหมดที่ปิดกั้นตัวเองจากสิ่งรอบข้าง
‘ถ้าอยากสะเหล่อจะปฏิเสธไหม?’ เขาคือคนที่หยิบยื่นการช่วยเหลือมาให้ ‘ต่อไปนี้ไอ้เวรหน้าไหนทำร้ายเธออีก มาบอกฉัน เข้าใจไหม?’
แม้ไม่ตอบ แต่ตอนนั้นเขาก็ตามล่าหัวแก๊งวัยรุ่นที่เคยขู่จะทำร้ายฉันมาลงโทษจนไม่เหลือชิ้นดี โดยทิ้งคำถามไว้สั้นๆ เขาทำให้ฉันเปิดใจและเชื่อใจคนรอบข้างมากขึ้นหลักจากที่ทั้งชีวิตฉันเจอแต่เรื่องร้ายๆ จากผู้หญิงซึ่งขึ้นชื่อว่าแม่ จนกลัวไปหมด
‘เชื่อใจฉันสิ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก’ มือเขาในวันนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าอะไรและนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันรัก
กว่าจะกล้าบอกเขาว่าชอบก็เล่นกินเวลาเข้าปีที่ 6 จนสุดท้ายเราก็ได้คบกัน
ทั้งที่ความทรงจำฉันมันสมบูรณ์ขนาดนี้ แต่เขาก็ยังกล้าพูดคำนั้นออกมา
‘ใช้ร่างกายสิหอม’
เสมือนที่ผ่านมาฉันคล้ายกับไม่มีค่าสำหรับเขาเลย
“หอมไม่เอาตัวเข้าแลกหรอกนะ!” ความคิดหยุดลงพร้อมกับการตะโกนบอกจุดยืนของตัวเอง และนั่นเลยทำให้พี่โซลที่ทำท่าจะเดินออกไปหยุดเท้าลง “หรือพี่อยากให้หอมนอนกับคนอื่นล่ะ?”
“อย่าคิดโง่ๆ น่าหอม”
“...”
“สมองมี หอมน่าจะคิดเองได้นะ ว่าพี่หมายถึงอะไร” คำพูดเย็นชาและท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจอะไร ไม่เรื่องมากของพี่โซล บางทีก็ทำให้ฉันรักและก็เกลียดได้พร้อมๆ กัน
พี่โซลไม่พูดอะไรต่อเมื่อฉันเงียบ มือสองข้างได้แต่กำแน่นจนสั่น แต่ก่อนเขาจะเดินออกไปก็ได้พูดขึ้นอีก
“รักษามือถือนั่นดีๆ พี่ซื้อมาแพง...”
“...”
“เดี๋ยวโทรหาคืนนี้”
ตบหัวแล้วลูบหลัง เขาเป็นแบบนี้ตลอด...
สุดท้ายฉันก็ต้องให้ศิลป์พากลับบ้านตามอย่างที่พี่โซลกำชับไว้ โชคดีที่ฉันกับศิลป์ค่อนข้างจะสนิทกันบรรยากาศระหว่างเราจึงไม่ค่อยอึดอัดระหว่างการเดินทาง แต่มาพักหลังเราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ มันคงแปลกถ้าหากไม่สนิม ในเมื่อเพราะเขาเป็นน้องพี่โซลแถมยังเป็นแฟนของหวานหวาน ที่สำคัญเรามีอายุรุ่นๆเดียวกันด้วย
45 นาทีต่อมา...
“ขอบใจนะที่มาส่ง”
ฉันเอ่ยปากขอบคุณศิลป์เมื่อเขาพาฉันมาส่งหน้าหมู่บ้าน เพราะศิลป์เองก็เกลียดคำรามพอๆกับพี่โซล ไม่แปลกหรอกที่เขาอยากจะส่งฉันตรงนี้มากกว่าเข้าไปถึงหน้าบ้าน
“ไม่เป็นไร”
เขายิ้ม ฉันจึงยิ้มตอบ
“หอมเครียดเรื่องที่โซลมันพูดหรือเปล่า” แต่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา
“ไม่อ่ะ”
“อย่าโกหกเรานะ”
“เออ จะโกหกทำไมล่ะ?”
“เราเห็นหอมกำมือแน่นเลย โกหกไม่เก่งเลยนะ” ฉันแค่นขำเก้อๆ เมื่อถูกจับได้ “สบายใจเถอะ โซลมันมีหอมคนเดียว ไม่ต้องคิดเรื่องนอกใจหรอก”
“...”
“หอมรู้ไหมว่าโซลมันห่วงหอมแค่ไหน ที่ต้องอยู่กับไอ้คำรามทุกวัน”
“ห่วง แต่ทำเย็นชาใส่แบบนี้ ก็อย่าห่วงดีกว่า” ฉันขัด
“หอมก็รู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง” ถ้าคนพูดไม่ใช่ศิลป์ ฉันคงคิดไปแล้วว่าเขาคงจะพูดเข้าข้างพี่ชายตัวเอง แต่กับคนที่พูดตรงและเข้าใจคนอื่นอย่างเขา มันเลยทำให้เชื่อได้ไม่ยากว่าเขาพูดจริง ที่พูดแบบนี้เพราะเขาบอกทุกเรื่องที่โซลทำในช่วงที่ฉันไม่อยู่ด้วยทั้งหมด ฉันถึงได้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของโซลยังไงล่ะ
อีกอย่างศิลป์ไม่เคยโกหกใคร โซลนอกใจคือนอกใจ ไม่นอกใจก็คือไม่นอกใจ...
“แล้วฉันควรทำไง ไอ้ที่ต้องใช้ร่างกายเนี่ย...” เมื่อได้ฟังอะไรที่ทำให้สบายใจ ฉันเลยเปลี่ยนเรื่อง
“โซลคงจะหมายถึง ใช้เสน่ห์ของหอมล้วงความลับล่ะมั้ง”
“ยังไง?”
ศิลป์ทำหน้าครุ่นคิดอยู่หนึ่งหลังถูกย้อนก่อนจะให้คำตอบ
“ก็คงประมานใกล้ชิดกันแล้วหลอกถามความลับหรือเปล่า?” เขาดูลังเลที่จะให้คำตอบ "ไอ้รามมันไม่รู้ว่าหอมเป็นพี่ของหวานนี่ถูกมะ"
มันก็ถูกของเขา...
“ก็คงประมานนี้แหละมั้ง ใช้เสน่ห์เอาความลับ...อะ” ศิลป์เงียบเสียงไปช่วงท้ายประโยคเมื่อฉันตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้วใช้แขนโอบรอบคอเขาหลวมๆ
จากนั้นก็ถาม
“ใกล้ชิดกันแบบนี้ ถูกไหม?”
“ถูกเผงเลย!”
“อ่า ถ้าต้องทำกับไอ้เวรนั่น ฉันคงสะอิดสะเอียดตายชัก...”
บรืนน บรืนนนน
เสียงบิดเครื่องยนต์ขนาดเล็กซึ่งดังจาดที่ไกลๆ ทำเราทั้งคู่ซึ่งกำลังทดลองงานหันมองอย่างพร้อมเพียงกัน ก่อนพบเข้าบุคคลที่เราทั้งคู่เหม็นขี้หน้ามากที่สุด
ตายยากชะมัด...
คำรามบิดเร่งความเร็วรถผ่านหน้าไป แม้จะเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ฉันก็สังเกตได้ว่าเขามองผ่านเราทั้งคู่ไป
พร้อมด้วยรอยยิ้มชั่วๆ บนหน้า...
“กลับไปก่อนไปศิลป์ เดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่าๆ” ฉันบอกศิลป์โดยสายตายังจับจ้องไฟท้ายของรถมอร์เตอร์ไซค์ของคำรามที่ขับเลยเข้าไปในหมู่บ้าน พลางลดมือที่โอบรอบคออีกฝ่ายออกไปด้วย
รอยยิ้มชั่วๆ แบบนั้นน่ะ บอกชัดว่าเขาต้องหาเรื่องหรือคิดที่จะทำอะไรบางอย่างที่เหมาะสมกับนิสัยของตัวเองแน่ๆ ซึ่งมันคงไม่ดี หากวินาทีนั้น โต จะอยู่ในบ้านเวลานี้เหมือนกัน
“งั้นเราไปก่อนนะ มีอะไรไลน์หาเราเลย เราใส่ไอดีไว้ให้หมดแล้ว”
“อือ ขอบใจมาก” เราสองคนคุยกันแค่นั้นก่อนศิลป์จะสตาร์ทรถแล้วบิดคันเร่งขับเลี้ยวออกไป
ฉันยืนมองไฟท้ายของรถศิลป์ขับออกไปจนพ้นสายตา ถึงได้ตัดสินใจหันหลังเดินเข้าหมู่บ้าน ไปยังสถานที่สำหรับใช้ซุกหัวนอนในแต่ละวัน โดยทำตัวเป็นปกติที่สุด ยกมือไหว้คุณน้าเจ้าของบ้านเหมือนทุกครั้ง
“เอาโทรศัพท์ไปซ่อมหรือยังลูกหอม?”
“หนูซื้อเครื่องใหม่แล้วค่ะคุณแม่”
“โอเคดีจ๊ะ อย่าลืมใส่เบอร์แม่ไว้ด้วยนะ เผื่อฉุกเฉินอะไร จะได้โทรหาได้”
“ค่ะ” ฉันซึมซับความใจดีจากคุณน้าเจ้าของบ้านอย่างเช่นทุกวัน ก่อนพาตัวเองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เพื่อจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาหลังจากตากแดดมาทั้งวัน
ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาอย่างเดียวหรอก เพราะไอ้ที่รอคอยฉันอยู่หลังจากนี้น่ะ มันยิ่งกว่านรก!
“ว่าไงจ๊ะ ชู้เบอร์ 2 กลับไปแล้วเหรอ?” คำทักทายเสมือนจงใจยียวนกวนประสาทเอ่ยทักขึ้นเมื่อประตูห้องถูกผลักเข้าไป แต่ฉันเลือกที่จะไม่สนใจ เดินไปยังหน้ากระจกบานใหญ่เพื่อตั้งใจทำธุระของตัวเอง
บางที ฉันควรจะทำตัวให้ชินกับนิสัยทรามๆ ของเขาได้แล้ว...
“เธอเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยนะ...ปากบอกคบกับคนนั้น แต่ก็ยังให้ท่าคนนี้”
“...” เอาล่ะ ทนไว้น้ำหอม อย่าเพิ่งระเบิดออกไปเชียว
“นอกจากจะช่ำชองเรื่องเป็นชู้ ท่าทางเรื่องอื่นก็คงเชี่ยวชาญ...”
คำพูดดูถูกอย่างไม่ไว้หน้าเชิงหาเรื่องของเขาดังแทรกขึ้นพร้อมกับเสียงของพี่โซลในหัว
‘ใช้ร่างกายสิหอม…’
ดังสลับกับคำพูดของศิลป์ที่คล้ายกับช่วยขยายความให้เข้าใจ
‘โซลคงจะหมายถึง ใช้เสน่ห์ของหอมล้วงความลับล่ะมั้ง’
‘ยังไง?’
‘ก็คงประมานใกล้ชิดกันแล้วหลอกถามความลับหรือเปล่า?’
เมื่อในหัวมีเสียงก้องเตือนใจดังแบนั้น ฉันจึงไม่ได้ตอบอะไรคำรามกลับไป แต่เลือกที่จะตอกย้ำทำตามคำดูถูกดังกล่าวที่เขาใช้ต่อว่าอยู่ที่หน้ากระจกเงา
มือข้างถนัดจงใจปัดปลายผมรวบไว้ด้านหลัง จากนั้นก็จงใจปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมอยู่ออกทีละเม็ด ก่อนปล่อยทิ้งลงกับพื้น เหลือเพียงบราเซียร์สีดำเรียบง่ายกับกระโปรงนักศึกษาทรงพลีทสีเดียวกับบราเซียร์ด้านบน
สายตาจ้องมองนัยน์ตาปีศาจผ่านเงาสะท้อนของกระจกเงาแบบไม่วางตา ดูทีท่าอีกฝ่ายซึ่งกำลังมองตอบกลับมาจากมุมหนึ่งของห้องนอน ฉันกำลังท้าทายเขาด้วยการกระทำ โดยเขาก็รับคำท้าด้วยการมองทุกอิริยาบถที่ฉันแสดงออก
“ถ้าคิดจะถอด ก็ถอดให้หมด...”
แต่วายร้ายนี่ดันเหนือชั้นกว่าที่ชิงพูดจาข่มขู่ออกมาด้วย
“เพราะถ้าถอดไม่หมด ฉันจะเข้าไปถอดให้เธอเอง” คำรามไม่ใช่แค่พูดขู่ แต่เขายังกดดันอย่างเรื่องผ่านนัยน์ตาคมกริบซึ่งสะท้อนผ่านกระจกอีกด้วย
วูบหนึ่งที่ความคิดเกิดความลังเลพานให้ต้องละสายตาไปจากกระจกเงาเพื่อตั้งสติ แม้ว่ามือจะเลื่อนจับขอบกระโปรงนักศึกษา แล้วค่อยๆ ถอดมันออกไป
ปุบ!
ทันทีที่กระโปรงนักศึกษาร่วงลงไปกองกับพื้น ปีศาจร้ายตัวสูงซึ่งยืนจับจ้องเรือนร่างมาเป็นเวลานานก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว ฉันได้ยินเสียงหัวเราะดึงหึในลำคอ ก่อนตามมาด้วยคำถามชวนหาเรื่อง
“ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ย ทำเพราะยอมรับสิ่งที่ฉันพูด กวนโมโห...”
“...”
“หรือต้องการยั่วกันแน่?” ในทุกคำถามไม่มีข้อไหนเลยที่ฟังแล้วดี มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อมันคือคำพูดของพวกสารเลวนี่จริงไหม?
ฉันเงยมองคำรามผ่านกระจกอีกครั้งก่อนพบว่าเขายืนเยี่ยงด้านหลังฉันออกไปเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น นัยน์ตาคมกำลังมองสำรวจไปทุกส่วนบนร่างกายอย่างไม่ประสงค์ดี ได้เห็นทีท่าในแบบที่พวกตัณหากลับของเขาแบบนั้นแล้ว มันก็อดย้อนถามไม่ได้
“แล้วถ้ายั่วอยู่ล่ะ...นายจะทำยังไง?”