01 ฆ่าเมียครั้งที่ 1

3270 คำ
วันเดียวกัน... เวลา 18.25 น. “เห็นส้มบอกแม่ว่าโทรศัพท์หอมตกน้ำเหรอลูก?” บทสนทนาหนึ่งถูกถามขึ้นท่ามกลางโต๊ะอาหารมื้อค่ำ นัยน์ตาคู่สวยแถมใจดีมองมาทางฉันต่างจากคนอื่นๆ ที่ก้มหน้าก้มตาตักข้าวในจานของตัวเองเข้าปากเงียบๆ ทั้งที่ปกติแล้วทุกคนมักจะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแท้ๆ ซึ่งนั่นมันก็เป็นช่วงที่ฉันต้องอยู่ทำงานที่วิลัยจนดึกไม่ทันกินข้าวพร้อมพวกเขาเท่านั้นแหละ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ พวกเขามีลูกสาวและลูกชายอย่างหนึ่งคน ลูกสาวของหัวหน้าที่ทำงานซึ่งถูกฝากครอบครัวนี้ช่วยดูแลอีกหนึ่ง ลูกบุญธรรมหนึ่ง โดยช่วงหลังมีฉันถูกเพิ่มเข้ามา รวมแล้วก็ 5 ชีวิตที่พวกเขาต้องเลี้ยงดู “ค่ะ” “ให้พี่รามพาไปร้านซ่อมสิ หนูจะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถ เดี๋ยวแม่ให้เงินไปซ่อม” คำพูดของคุณน้าทำฉันเหลือบมองหน้าผู้ที่ถูกกล่าวถึงด้วยหางตา และพบว่าเขากำลังตักข้าวเข้าปากด้วยโดยลอบยิ้มเลวไปด้วย “ไม่ดีกว่าค่ะ คำรามน่าจะมีธุระ…” ฉันยิ้มนิดๆ อย่างนอบน้อม ก่อนคิดหาทางเอาคืนที่เมื่อช่วงบ่ายถูกเขาเล่นงานอย่างหนักในห้องน้ำ ซึ่งมันก็เป็นโชคดีของฉันที่ ‘ส้มจี๊ด’ ลูกสาวหัวหน้าที่ทำงานของครอบครัวนี้แวะเข้ามาหาพอดี ฉันถึงได้หลุดออกมาได้ “วันนี้ยังเห็นไปส่งเพื่อนสาวอยู่เลย ไปตั้งนาน ไม่รู้ไปถึงสวรรค์ชั้นไหน” “พูดบ้าอะไร แค่ไปส่งที่หอ อย่าหึงไม่เข้าเรื่องดิหอม!” ไอ้ปีศาจหน้าด้านตนนี้รีบแย้งขึ้นทันทีแบบน้ำขุ่นๆ ถ้าฉันโง่พอ หรือถ้าทุกคนสังเกตเหมือนกัน จะมองออกทันทีว่าที่ต้นคอเขามีรอยจ้ำสีแดงรูปกลีบกุหลาบติดอยู่รอยถึงสองรอย “ราม ไม่ขึ้นเสียงใส่น้องสิ” แน่นอนว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคุณน้าผู้หญิง คนที่ถูกมักเป็นฉันเสมอ ต่อให้สิ่งที่พูดไปนั้นจะไม่เข้าหูสมาชิกครอบครัวคนอื่นก็ตาม “พี่คำรามก็พูดถูกนะคะ...น้ำหอมก็หึงเกินไป” และเมื่อฉันมีคนเข้าข้าง แน่นอนว่าคำรามก็มีนเข้าข้างเหมือนกัน “เวลาน้ำหอมนัดเจอกับเพื่อนชายที่น้ำพุ พี่คำรามก็คงหึงเหมือนกันนั่นแหละ” โดยมักจะใช้คำพูดแดกดันใส่ฉันเพื่อเอาคืนแทนพี่ชายบุญธรรมของตัวเองเสมอ เธอคนนี้ชื่อ ‘แต้ว’ เป็นลูกสาวของบ้านหลังนี้ มีอายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปี “หนูอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วฉันก็ลุกออกจากโต๊ะอาหาร เก็บจานชามของตัวเองไปเก็บที่ และเดินออกไปจากบรรยากาศน่าอึดอัดแสนรำคาญใจ อย่างที่บอกฉันเข้ากับใครในครอบครัวนี้ไม่ได้แต่ขณะเดียวกันฉันก็ไม่ต้องการจะเข้ากับใครเหมือนกัน เพราะคิดแบบนั้นการเลี่ยงมีปัญหากับคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความบาดหมางที่มี คือการลุกเดินออกไปโดนปราศจากการต่อปากต่อคำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะจงใจพูดแทงใจดำต่อหน้าคนในบ้านก็ตามซึ่งฉันก็ยอมรับว่าสิ่งที่แต้วพูดมันคือเรื่องจริง เพราะคนที่ฉันมักส่งข้อความไปหาและนัดเจอที่หน้าน้ำพุบ่อยๆ คือ ‘แฟน’ ของฉันเอง เขาชื่อพี่ ‘โซล’ เราคบกันมาได้จะเข้าปีที่ 3 แล้วและทุกอย่างก็กำลังไปได้สวยและราบรื่นดี แต่ดันมาเกิดเรื่องบัดซบหวานหวานเสียก่อน เรื่องความบาดหมางระหว่างพี่โซลกับคำรามเกิดขึ้นมานานแล้ว นานก่อนที่ฉันจะได้รู้จักกับพี่โซลอีก เรื่องเหตุผลฉันไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าถ้าพวกเขาเจอกันเมื่อไหร่เป็นอันต้องตีกันเมื่อนั้น นิสัยฉันก็เป็นพวกที่ถ้าคนของตัวเองเกลียดหรือไม่ชอบอะไร ฉันก็จะรู้สึกแบบนั้นด้วย ส่วนเรื่องที่ฉันแต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านของศัตรูนั้น พี่โซลเองก็รู้นะ ตอนแรกเขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่พอฉันเสนอเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เขาก็กลับเห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งการที่คำรามรู้ตัวว่าฉันคอยรายงานบอกความเคลื่อนไหวให้พี่โซลรู้มาตลอด 3 เดือนมันเลยเป็นเรื่อยบัดซบอีกอย่างบนความผิดพลาด แต่ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะถูกจับได้หรือไม่ ในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้มองฉันในฐานะมิตรมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเหมือนกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ถอนตัวกลางครันใครเขาคงจะมองว่าไม่แน่ใจ เพราะหน้าที่ของฉันมันแค่... พังชีวิตของปีศาจผู้น่าเกรงขามให้พังไม่เหลือชิ้นดีเท่านั้นให้สมกับสิ่งที่หวานหวานได้รับจากน้ำมือพวกเขานั่นไง ! “เจ๊หอมคะ!” เสียงหวานเอ่ยเรียกชื่อฉันจากทางด้านหลัง ฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าคนเรียกดูอ่อนน้อม อ่อนหวาน จนต้องหยุดเท้าซึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดหันมอง “หนูมีเรื่องอยากปรึกษาเจ๊หอม...ได้ไหมคะ” เด็กสาวหน้าหวาน ใสซื่อและดูบริสุทธิ์ ชื่อของเธอคือส้มจี๊ด กำลังมองฉันด้วยแววตาร้องขอ หากไม่นับคุณน้าผู้ชายกับคุณน้าผู้หญิง เธอคือคนเดียวในบ้านนี้ที่คุยกับฉันอย่างปกติ อีกทั้งวันนี้เธอก็เป็นคนช่วยฉันออกจากห้องน้ำด้วย หากปฏิเสธก็ดูจะใจดำเกินไปหน่อย “ได้สิ” “หนูอยากปรึกษาเรื่องความรักค่ะ...” เธออ่อนกว่าฉันแค่ปีเดียว แต่กลับให้เกียรติ ให้ความเคารพฉันในฐานะพี่สาว มากกว่าลูกสาวเจ้าของบ้านเพื่อนของเธอเสียอีก “กับโตเหรอ?” คนถูกถามแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมพยักพเยิดหน้าให้คำตอบ “มีอะไรล่ะ?” “คะ...คือว่าหนูชอบพี่โตมานานแล้วค่ะ แต่ตอนนี้หนูเองก็มีแฟน ส่วนพี่โตเขาก็มีแฟน...” เธอดูอึกอักที่จะพูด นัยน์ตาคู่สวยแสดงความเป็นกังวลชัดเจน ไม่บอกก็บอกเดาได้ว่าเธอเจออะไรมา ในเมื่อเล่นแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าขนาดนี้ อีกทั้งที่ต้นคอเธอก็มีรอยจ้ำสีแดงรูปกลีบกุหลายปรากฏอยู่ เห็นตำตาขนาดนี้ มันคงเดาไม่ยาก... “ชอบก็แย่งมา ไม่เห็นจะยากตรงไหนนี่” เพราะคิดว่าเดาไม่ผิด ฉันจึงพูดออกไปเช่นนั้น “เอ๊ะ!?” “คิดดูสิ ได้อยู่กับคนที่รักเชียวนะ” “ตะ แต่หนูไม่อยากเป็นชู้กับแฟนคนอื่น... อีกอย่างพี่โตเองก็ไม่ได้มองหนูฐานะเดียวกับแฟนเขาด้วย...” “ถ้าได้แล้ว เขาก็ถือเป็นสมบัติของเรา...” ฉันขัดความโลกสวยของส้มจี๊ด “ไม่คิดเหรอ ว่าตัวเองก็มีสิทธิ์เหมือนผู้หญิงคนอื่น?” “...” “จับให้อยู่หมัดสิ” ฉันยิ้มหวานราวกับให้กำลังใจเด็กสาวอ่อนต่อโลกตรงหน้า ถ้าคิดว่านี่คือความหวังดี บอกเลยไม่ใช่! ฉันไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับส้มจี๊ด เรื่องการหวังร้ายจึงไม่จำเป็นต้องมี ในเมื่อเด็กนี่ชอบไอ้ปีศาจสารเลวตัวนั้น ฉันก็แค่แนะนำให้เธอสมหวัง ส่วนผลที่จะตามมาหลังจากนั้นหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับปีศาจตัวดังกล่าวในภายหลัง นั่นต่างหากคือเรื่องที่ฉันสนใจ วิน-วินกันสองฝ่าย ส้มจี๊ดสมหวัง ส่วนฉันสะใจที่ได้มองเห็นชีวิตรักของผู้ชายคนนั้นพังลงต่อหน้า “แบบนั้นหนูก็ไม่ต่างอะไรไปจากชู้สิคะ...” “ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่” ฉันขัด "แค่ทำตามความรู้สึก ใช่ว่าตั้งใจแย่งที่ไหน จริงไหม?” คนฟังทำหน้าลังเลอย่างใสซื่อและไม่ทันคน เธอดูบริสุทธิ์มากจริงๆ เมื่อเทียบกับฉัน.. “หนูจะลองคิดอีกที...” “ดีจ๊ะ...ถ้าผู้ชายเขาเลือกเรายังไงเขาก็เป็นของเราเนอะ คิกๆ” อีกหนที่ฉันจงใจเสริมบอกไปก่อนตัดบทพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร “ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ๊ขึ้นห้องก่อนนะ ^-^” “ค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับคำปรึกษา” ฉันไม่ได้ตอบอะไรส้มจี๊ดแต่เลือกหันกลับไปทางเก่าและก้าวขึ้นบันไดกลับเข้าห้องของตัวเองพร้อมด้วยรอยยิ้มเยาะ เมื่อเหยื่อดูจะโอนเอนไปตามน้ำคำ ทันทีกลับเข้ามาในห้อง ฉันก็พาตัวเองไปยังฟากฝั่งของเตียงนอนทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามา ไม่ต้องมองก็พอเดาได้ว่าใคร ดังนั้นฉันจึงไม่สนใจ และเลือกหยิบนิตยสารแฟชั่นขึ้นอ่าน จนกระทั่งใครคนนั้นเอ่ยปากหาเรื่องด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง “เธอเนี่ย…” ฉันช้อนตาไปยังต้นเสียงและพบเข้ากับปีศาจอีกตัวกำลังยืนพิงผนังห้องอยู่ พร้อมด้วยวาจาที่ฟังไม่เข้าหู “แลดูช่ำชองเรื่องเป็นชู้จังนะ” “แล้วไงอ่ะ? ฉันก็แค่ให้คำปรึกษา” ฉันไหวไหล่แบบไม่สนใจคำพูดถากถางดังกล่าวโดยเลี่ยงที่จะปะทะฝีปากกับเขาตรงๆ หลุบตาลงมายังนิตยสารแฟชั่นในมือ แต่ดูเหมือน ผู้ชายคนนี้เป็นยิ่งกว่าหมา กัดไม่ยอมปล่อย! “ก็ดี งั้นถามบ้าง...” ในวาจาที่เขาลั่นออกมาเต็มไปด้วยการหาเรื่อง “มีคนอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้จักสถานะตัวเอง ว่าควรเรียกใครพี่ เรียกใครน้อง...” “...” เขาไม่รอฟังเสียงปฏิเสธ รีบชิงพูดขึ้นอย่างเสียมารยาท “ที่ไม่ยอมเรียกพี่ เพราะอยากเรียกผัวถูกไหม?” “หึ! ถนัดนักนะ เรื่องความคิดทรามๆ เนี่ย” ได้ที ฉันจึงตอกหน้าเขากลับบ้าง “ที่เขาไม่เรียกพี่ อาจเพราะนายไม่มีค่าพอให้เคารพหรือเปล่า?” ฉันเหยียดยิ้มและชำเลืองเหลือบมองปฏิกิริยาอีกฝ่าย โดยไม่ลืมย้ำถาม “ลองมองตัวเองบ้างหรือยัง?” “ถ้าเลิกเสแสร้งแกลงทำตัวเป็นลูกสะใภ้ที่ดีได้เมื่อไหร่...ค่อยถามดีกว่าไหม?” “...” “จะได้แฟร์กันทั้งสองฝ่าย” ฉันเม้มปากแน่นพยายามกักกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ประทุออกมาก่อนกำหนด แต่เชื่อเถอะว่า หลังจากที่หวานหวานดีขึ้นจนสามารถพูดหรือให้ปากคำตำรวจได้เมื่อไหร่ คำรามจะเป็นผู้ชายคนแรกที่จะถูกฉันเล่นงานไม่เลี้ยง! “อ่ะ ว่าแต่...คืนนี้คงเหงาหน่อยนะ” การพูดจาหาเรื่องชาวบ้านคงเป็นอีกหนึ่งนิสัยถนัดของเขา ฉันรู้สึกได้ถึงแรงยวบของเตียงที่ตามมาจากการทิ้งน้ำหนักตัวของผู้ชายน่ารังเกียจ ซึ่งฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก ถือว่าเตียงเตียงนี้มันเป็นสมบัติของเขา “ไม่มีโทรศัพท์ใช้โทรคุยกับชู้แล้วนี่จริงไหม?” อยากอดทนให้นานอยู่เหมือนกัน แต่มันก็กั้นไม่ไหว ฟึ่บ! นิตยสารแฟชั่นถูกหวดลงกับเตียงนอนอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมทั้งทั้งรีบตวัดตามองเขาทันที ดูเหมือนการถูกมองจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ คำรามเหยียดยิ้มในท่าประสานมือช้อนหัวตัวเองเอาไว้และถามขึ้นอีก “แทงใจดำหรือไง?” “พี่โซลไม่ใช่ชู้ฉัน!” “งั้นแปลว่าฉันคือชู้ถูกไหม?” เขาย้อน เพราะยิ่งคุย ยิ่งหงุดหงิด แถมเขาก็เอาแต่หาเรื่องไม่หยุด ขืนเป็นแบบนี้ฉันคงเป็นโรคประสาทก่อนหวานหวานหายแน่ๆ เพราะงั้นฉันจึงลุกออกจากเตียง ทว่า “เดี๋ยว!” คำรามกลับส่งเสียงรั้งไว้ ไม่ใช่แค่นั้นแต่เขาเริ่มหาเรื่องหนักข้อขึ้น จากใช้แค่คำพูดเริ่มลามมาเป็นร่างกาย ฟึ่บ! ตุบ! แรงกระชากมหาศาลทำฉันฉันเสียหลักหงายหลังล้มตึงลงบนเตียงนอน ภาพกลับหัวกลับหางของคำรามที่ก้มมองมา ทำฉันกัดฟันกรอดพร้อมทั้งรีบใช้มือผลักน้าเขาออกไป แต่กลับถูกมือหนาที่ไวกว่าฉวยเอาไว้ได้ทัน “พรุ่งนี้จะออกไปเจอมันหรือเปล่า ไอ้โซลน่ะ?” “ไม่เกี่ยวกับนาย ปล่อย!” “ทำไมจะไม่เกี่ยว...” เขาพูดพร้อมทั้งโน้มหน้าลงมาใกล้กว่าเดิมที่เป็น “ถ้าเจอ ฝากของให้มันหน่อยได้ป่ะ?” “...” “ว่าแต่...” เขากำลังกวนประสาท แสร้งละสายตาไปจากหน้าฉัน กวาดมองไปรอบตัวก่อนหลุบกลับมามองอีกครั้ง พร้อมทำคำพูดกึ่งคำถาม “อยู่ด้วยกันบนเตียงขนาดนี้…” “…” “จะฝากอะไรให้มันดีน้าา?” “ปล่อยนะเว้ย!” ฉันโวยวายพลางต้านแรงจากฝ่ามือซึ่งพยายามตรึงแขนฉันไว้ เมื่อไม่สำเร็จฉันจึงตัดสินใจหยัดกายท่อนบนขึ้นหวังใช้หัวโหม่งใส่หน้าเพื่อสั่งสอน ฟึ่บ! ทว่า เวลานี้คำรามกับรวดเร็วกว่าฉันมากนัก เขาเบี่ยงตัวหลบทั้งมือยังจับกุมแขนฉันอยู่ ไม่ทันเตรียมตัวตั้งรับ ผู้ชายนิสัยทรามจัดการกระแขนอย่างแรงก่อนเหวี่ยงร่างฉันให้กลับไปนอนแผ่บนที่นอนอีกครั้งอย่างไม่สนใจว่า ฉันคือผู้หญิงที่มีเรี่ยวแรงน้องกว่าผู้ชายอย่างเขานัก เขาไม่รอให้เหยื่อหลุดมือเป็นหนที่สองรีบขยับขาแทรกกายเพื่อกักขัง โดยเพิ่มแรงกดตรึงจากฝ่ามือให้หนักหน่วงและรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่เข้ากับนิสัยเลวๆ ของผู้เป็นเจ้าของกำลังแสยะยิ้มเยาะและพ่นคำถาม “จะหนีไปไหนจ๊ะ?” “บอกให้ปล่อยไง!” ฉันไม่สนใจน้ำเสียงยียวนที่อีกฝ่ายถาม แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองหลุดรอดจากการตกเป็นเหยื่อ และตอนนั้นเองที่คำรามยอมละสายตาไปจากหน้า หลุบต่ำลงไปยังขอบกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ เพียงแค่นั้นรอยยิ้มเลวก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง เขาใช้ลิ้นเลียริมฝีปากล่างตัวเองก่อนค่อยเคลื่อนตัวต่ำลงไป “จะทำอะไร หยุดนะ!” คำรามไม่สนใจคำถามหรือแรงดิ้นขัดขืน เพราะสิ่งที่เขาสนใจนั้นเวลานี้มันได้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ปีศาจร้ายยอมปล่อยมือที่ตรึงแขนฉันออกจนสามารถขยับเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ ทว่า วินาทีที่หยัดตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คำรามใช้มือจับขาสองข้างแยกออกจากกันอย่างแรง สติที่ยังไม่ทันตั้งรับต่อสถานการณ์สั่งการใช้มือสองข้างพุ่งเข้าจิกผมเขาทันทีเพื่อหยุดการกระทำต่ำๆ นี่ลง แต่ไม่ทัน เมื่ออีกฝ่ายจงใจกดน้ำหนักริมฝีปากไปตามเนื้อขาอ่อนด้านในราวกับไม่รู้สึกเจ็บที่ถูกทึ้งผมแบบนั้น เขาไล่ระดับริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปจนถึงสุดขอบขากางเกงยีนส์ ก่อนเริ่มดูดเม้มเบาๆ จนทั่วบริเวณรู้สึกชาไปหมด ยิ่งเขาทำฉันก็ยิ่งจิกทึ้งหัวเขาแรงขึ้น ซึ่งการที่เป็นแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้เขาดูดเม้มเนื้อขาด้านในแรงขึ้นด้วยเช่นกัน “อะ...หยุดไง!” คำรามไม่สนใจเสียงตะคอกสั่งเหมือนเดิม ต่อให้ฉันจะทึ้งผมเขาไว้และกระชากหลุดติดมือมา 3-4 เส้นก็ตาม เขายังทำตามใจตัวเองและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ มือหนาเลื่อนแตะขอบกางเกงยีนอย่างถือดี เขาสอดนิ้วชี้เข้าไปภายในและทำท่าจะเกี่ยวลง การกระทำบ้าๆ แบบนั้นทำฉันรีบใช้ปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากหัวเขาใช้หยุดมือที่กำลังยุ่มย่ามกับกางทันที ทว่า ตอนนั้นเองฉันจึงได้รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเพียงแผนการที่อีกฝ่ายใช้เพื่อให้ฉันหยุดมือซึ่งกำลังทึ้งหัวเขาไว้เท่านั้น คำรามรีบรวบมือฉันเข้ากันกัน ก่อนเพิ่มแรงดูดเม้มทำรอยจ้ำสีแดงกลีบกุหลาบอีก 2-3 รอยตามความพอใจและช้อนตาเหลือบมองหน้าฉันซึ่งตอนนี้โกรธจัดจนหน้าแดงไปหมด คนตัวใหญ่ค่อยๆ ผละริมฝีปากและใบหน้าออกจากต้นขาด้านในโดยทิ้งรอยจ้ำสีแดงสุดท้ายไว้ขนาบเส้นขอบขากางเกงด้านใน เขายิ้มและพูดขึ้นพลางปล่อยฉันสู่อิสรภาพ “บอกมัน...ว่ารอยนี่ของฝากจากชู้” เพียะ! ด้วยความโกรธจัดพานให้บันดาลโทสะซับฝ่ามือใส่ใบหน้าเขาซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างช่วงขาจนหน้าเขาหันเต็มแรง ฉันไม่พูดหรือต่อว่าอะไรเขาออกไปอีกแต่รีบกระเสือกตัวออกห่างจากเขา ลงจากเตียงเดินออกจากห้องของเราทันที ตอนนี้ฉันโกรธมากจริงๆ โกรธจนอยากหนีไปไหนสักทีเพื่อสงบสติอารมณ์! ครู่ต่อมา... ฉันเดินออกมาที่หน้าบ้านเดินตรงไปยังตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้กับสนามเด็กเล่น เพื่อโทรหาใครสักคนที่น่าจะช่วยหาที่ซุกหัวนอนได้ [ฮัลโหลล ดาร์ลิ้งงง~] เสียงยานบอกอารมณ์เมาได้ที่ของ ‘เนตร’ ทำฉันกลอกตาอย่างนึกเอือม ถ้าให้เดาฉันว่า ยัยนี่คงกำลังเมาแอ๋อยู่กับ ‘เจ๊บีลีฟ’ แน่ๆ ต้องขอเท้าความก่อน ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อเนตร เธอเรียนที่วิลัยเดียวกับฉัน ส่วนเจ๊บีลีฟ หรือเจ๊บี ฉันกับเนตรเคยเรียนกับนางตอนสมัยมัธยม เจ๊บีเป็นรุ่นพี่พวกเราหลายปี ด้วยความที่มีปัญหาชีวิตคล้ายกัน ทำให้เรา 3 คนค่อนข้างสนิทกันมากเป็นพิเศษ “อยู่ไหน” [อยู่จะเจ๊ที่ห้อง~ แกจะมาเปล่าหอมม~] “ฉันอยากได้ที่นอนคืนนี้ ห้องแกว่างป่ะ” ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเนตรแต่พูดจุดประสงค์ของตัวเองออกไปแทน [ว่าง~ มาสิ มาตอนนี้เลย มาเมากัน] “เมาบ้าอะไร พรุ่งนี้ต้องไปสอบซ่อม” ฉันว่า [เรียนยังไงให้สอบซ่อมฮะ หอม! คิกๆ มาเมาก่อนให้ไวเลยนะะ] “อีก 10 นาทีถึง ไว้เจอกัน...” ฉันตอบรับคำชวนของเพื่อนขี้เมา ก่อนวางหูโทรศัพท์ลง ไม่ใช่อยากเมาแต่อยากไปจากบ้านหลังนี้มากกว่า ทว่า ตอนที่หันหลังเพื่อเดินออกจากตู้นั้น ฉันกลับต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อปรากฏร่างสูงของใครยืนขวางอยู่ สีหน้าเขายียวนกวนประสาท บ่งบอกนิสัยชอบหาเรื่องได้เป็นอย่างดี คำราม!! “ถอยไป!” “ไม่มีมือถือใช้จนต้องลำบากมาโทรตู้เลยว่างั้น?” เขาถาม ให้ตายสิ! ทั้งที่ต้องการจะหนีเขาไปหาที่สงบสติอารมณ์แท้ๆ “แล้วนี่ตั้งใจจะออกไปไหน?” อีกครั้งที่คำรามถาม “ไม่ใช่เรื่องของนาย ถอยไป” “ถอยอะไร?” เขาย้อนแบบไม่คิดจะหลีกทางให้ “เดินออกมาแบบนั้นไม่รู้ไง ว่าแม่เป็นห่วง?” คำพูดของเขาทำฉันนึกถึงหน้าคุณน้าเจ้าของบ้านขึ้นมา ตอนนั้นฉันรีบร้อน ไม่ได้มองเลยว่ามีใครอยู่แถวนั้นบ้าง อ่าให้ตายสิ...รู้สึกผิดชะมัด “เข้าบ้าน!” คำรามสั่งพลางถือวิสาสะคว้าแขนฉันแล้วออกแรงดึง แต่ว่าฉันก็ปฏิเสธการกระทำดังกล่าว ด้วยการใช้มือผลักตัวเขาให้หลีกจนพ้นทาง “ฉันกลับเองได้ ไม่ต้องเสล่อมาแตะตัว” คนฟังกระตุกยิ้มพลางยักไหล่แบบไม่ยินดียินร้ายต่อคำต่อว่า แถมยังย้อน “แตะนอกตัวไม่ได้ไม่เป็นไร คราวหน้า...” “...” “จะได้แตะลึกเข้าไปข้างใน” เหอะ! ฉันเกลียดไอ้เวรนี่ชะมัด!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม