EP03
-ฆ่าเมียครั้งที่3-
‘แล้วถ้ายั่วอยู่ล่ะ...นายจะทำยังไง?’
“หึ!” คำถามถูกตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะดูถูกในลำคอไม่ต่างไปจากถ้อยคำที่เขาใช้เหยียดหยามก่อนหน้านี้สักนิด โดยเฉพาะกับสายตาของเขาที่ฉันมองผ่านกระจก มันเต็มไปด้วยความสมเพชและเหยียดตาม
ตามแบบฉบับแววตาของศัตรู
ถ้าถามว่าสายตาพวกนั้นทำลายความมั่นใจหรือทำให้ฉันรู้สึกด้อยค่าหรือไม่ บอกเลยว่าต่อให้เขาพูดจนตาย ฉันก็ไม่สะเทือน กลับกันยิ่งเขาต่อว่าออกมามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากเป็นในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แสดงเจนจำนงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า
ระหว่างเรามันก็เหมือนเส้นขนานไม่มีวันบรรจบกัน จากนี้ไปจนวันตาย!
เมื่อสมองคิดได้แบบนั้นการกระทำยั่วประสาทก็เริ่มขึ้น ฉันจงใจใช้ปลายนิ้วทั้งห้าลากไปตามส่วนโค้งเว้าร่างกาย สายตาปรายมองคนตัวใหญ่ผ่านกระจกและเริ่มโยกย้ายเรือนร่างอย่างยั่วยวนให้เหมือนกับว่าภายในห้องเปิดเพลงจังหวะสนุกๆ
คำรามเลิกคิ้วสูงทั้งที่บนใบหน้ายังคงรอยยิ้มยียวนกวนประสาท แววตาของเขาที่มองมาตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ฉันจึงอาศัยช่วงเวลานั้น ใช้ปลายนิ้วชี้กระดิกเรียกเขาโดยเป็นฝ่ายคุมเกมการยั่วราคะด้วยตนเองผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า
แน่นอนว่าพอถูกเชื้อเชิญด้วยร่างกายแบบนี้ คนสารเลวอย่างเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ฉันสังเกตเห็นริมฝีปากหยักลึกกระตุกยิ้มคล้ายกับตลกในสิ่งที่ฉันทำ ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินเข้ามาหาอยู่ดี
คนตัวใหญ่เว้นระยะห่างระหว่างเราไว้เพียงเอื้อมมือ และการที่เขาเข้ามาใกล้และใช้สายตาไม่ประสงค์มองสัดส่วนอย่างเปิดเผยในช่วงที่ฉันขยับเรือนร่างยั่วยวนนั้นก็เป็นคำตอบได้ดีที่สุด ว่าผู้ชายส่วนมากมัวเมา เสพสมอยู่กับตัณหา ราคะ ไม่รู้จักพอ
สีหน้าคำรามในเวลานี้ก็เช่นกัน ยามที่เขามองสะโพกแววตาดูเหมือนจะชอบใจแต่อีกนัยก็เต็มไปด้วยความรังเกียจและสมเพช
แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกจับตามองตลออดเวลาผ่านกระจก เขาจึงแสร้งแลบลิ้นเลียขอบปากตัวเองราวกับกระหาย ทำมือทำไม้คล้ายกับว่าจะลูบแตะไปตามสะโพก ทั้งที่แววตาซึ่งมองตอบมาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
ก็ดี! รังเกียจมากนักก็จับให้เต็มที่!
ฉันกัดริมฝีปากล่าง เชิดหน้าเล็กน้อย ใช้สายตายั่วยวนมองตอบนัยน์ตาดุดันไร้ความเป็นมิตรผ่านกระจก พลางใช้อ้อมแขนคว้ามือหนากดแตะลงไปตามเนินสะโพกขณะเริ่มโยกย้ายเรือนร่างถูไถร่างกายไปตามลำตัวช่วงหน้าอีกฝ่ายอย่างจงใจ
การที่ทำเช่นนั้นมันเลยทำให้ปีศาจมักมากอย่างเขาเริ่มเคลื่อนไหว ทิ้งน้ำหนักมือกดไปตามเนินสะโพก และทำมากกว่านั้นด้วยการมือสกปรกของตัวบีบคลึงลงมาอย่างแรงราวกับจะเอาคืน
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ ทว่า วินาทีที่ผละผละตัวออกห่างจากเขาไปนั้น คำรามที่มือไวกว่ากลับพุ่งมือ ใช้วงแขนโอบรัดร่างกายฉันไว้บริเวณช่วงขอบแพนตี้ จากนั้นก็โน้มหน้ากระซิบ
“ทำแบบนี้ อยากเมนส์ขาด 9 เดือนว่างั้น?” ฉันเลือกที่จะไม่ตอบคำถามทรามๆ ของเขา เพราะรู้ว่าคนพรรค์นี้ พูดด้วยก็เสียเวลาเปล่า
ในเมื่อทุกวลีที่หลุดจากปากเขามีแต่เรื่องต่ำตมทั้งนั้น
แม้จะรู้สึกตกใจกับการกระทำของเขาที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันให้ตั้งตัว แต่พอได้สติฉันก็บังคับร่างกายให้เริ่มโยกย้ายอีกหน คราวนี้ร่างกายทุกส่วนสามัคคีกันยิ่งกว่าครั้งแรกนัก
วงแขนข้างหนึ่งเอื้อมคล้องคอเขา ทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินคำถาม สะโพกบดเบียดไปตามจุดสำคัญของอีกฝ่ายด้วยความจงใจ คำรามเองก็ไม่ได้ถอยหนีไปไหน มิหนำซ้ำยังกระชับกอดรอบเอวแน่นขึ้นจนรู้สึกได้
ลมหายใจร้อนพ่นรดข้างซอกคอ ส่วนมือข้างที่เหลือยังคงจับมือเขาซึ่งยังวางอยูบนสะโพก ฉันเชิดหน้าขึ้นนิดๆพลางใช้มือข้างที่โอบคอเขากดท้ายทอยอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อที่จะได้มองหน้าเขาได้ชัดขึ้น
ไม่ได้มองด้วยความหลงใหลแต่มองด้วยความเกลียดชัง...
คำรามโน้มใบหน้าลงมาอย่างรวดเร็วตามแรงกดดันช่วงท้ายทอย จนระยะห่างระหว่างใบหน้าเราใกล้กันแค่ปลายจมูก พลอยให้สามารถโฉบเฉี่ยวริมฝีปากผ่านผิวปากของเขาได้ง่ายขึ้น บ่อยครั้งที่เขาทำเหมือนจะกดริมฝีปากตัวเองลงมา แต่ฉันซึ่งไวกว่าก็เลือกสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นได้อยู่เสมอ
คราวนี้มันก็เป็นทีของเขา ที่เริ่มเป็นฝ่ายรุกรานร่างกายฉันบ้าง ด้วยการจงใจใช้ปลายนิ้วทั้งห้าลากไปตามลายลูกไม้ชิ้นส่วนช่วงล่างทั้งๆ ที่ยังโอบกายฉันไว้และจงใจใช้นิ้วเกี่ยวขอบแพนตี้ทำท่าเหมือนจะแทรกเข้ามาแต่มันก็แค่ ‘จะ’ เพราะเขาไม่ได้ทำจริงแต่เหมือนจงใจจะข่มขู่ร่างกายฉันมากกว่า
แม้คำรามจะแค่ทำเพื่อล้อหลอกร่างกายฉันก็ตาม แต่ปล่อยไว้นานมันคงไม่ดีเท่าไหร่ คิดได้เช่นนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายผละตัวออกจากเขาเองในช่วงที่อารมณ์ของเราทั้งคู่เริ่มคล้อยตามกัน
การประชันหน้าในคราวนี้ไม่ใช่การมองผ่านกระจกอีกต่อไป เมื่อเราทั้งคู่ยืนอยู่อยู่ตรงหน้าของกันและกัน
ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดผ่านริมฝีปากของเราทั้งคู่ มีแค่สายตาเท่านั้นที่เราใช้โต้ตอบความรู้สึกของกันและกัน ฉันยังใช้ร่างกายยั่วยวนสายตาเขาอยู่ ปลายนิ้วเกี่ยวกับขอบแพนตี้ของตัวเองทำท่าจะเกี่ยวลง ซ้ายที ขวาที สลับกับกระดิกนิ้วเรียกเขาให้เดินเข้าหา ส่วนเท้าก็ก้าวถอยหลังเพื่อลองใจปฏิกิริยาอีกฝ่าย
แน่นอนว่าคราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกชักจูงด้วยร่างกายได้ง่ายกว่าตอนแรกนัก คำรามก้าวเข้าหานึ่งก้าว ส่วนฉันก็ก้าวถอยหลัง 1 ก้าวเช่นกัน เราทำกันแบบนี้จนกระทั้งแผ่นหลังฉันแนบสนิทกับประตูบานหนึ่งจนหมดทางที่จะถอยหนี
การที่เป็นเช่นนั้นเลยทำให้ผู้ชายนิสัยน่ารังเกียจสามารถเข้าประชิดตัวได้เป็นหนที่สอง เขาไม่พูดพร่ำให้เสียเวลารีบโน้มใบหน้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็วและกดริมฝีปากลงมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
“อื้อ...” เรียวลิ้นร้อนซุกซนที่ค่อยๆ แทรกกลีบปากบนและล่างเข้ามาภายในโพรงปากก็ดูทรามไม่ต่างไม่จากผู้เป็นเจ้าของเท่าไหร่
จูบของเขาต่างจากพี่โซล ไร้ความนิ่มนวลและอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความต้องการและแรงปรารถนา ดุดัน เร่าร้อนและไม่เปิดโอกาสให้หายใจ
อ่าให้ตายสิ หมอนี่จูบเก่งเป็นบ้า!
“อืมม...” เขาคำรามในลำคอขณะบดขยี้ลงมาอย่างดุดัน แต่ไม่ใช่กับมือที่อ้อมไปด้านหลังและจัดการปลดตะขอบราเซียร์ อาภรณ์เพียงหนึ่งในสองชิ้นที่ฉันใส่ติดตัว
ความช่ำชองทำให้ตะขอโง่ๆ ถูกปลดออกอย่างง่ายดาย เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันเตรียมตัวหรือตั้งหลัง สอดมือผ่านขอบบราเซียร์ด้านหลังลากมายังส่วนหน้า ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อปลายนิ้วของเขาแตะโดนส่วนสำคัญช่วงบน ซึ่งขืนยังเป็นแบบนี้ฉันต้องเสร็จไอ้เวรนี่จริงๆ แน่
นับเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่รายกายถูกเขาสัมผัสอย่างจาบจ้วง คำรามผละริมฝีปากปากออกไป แล้วพรมจูบลงต่ำไปยังปลายคางและลากไปตามเรียวคอ ขณะมือของเขายังคงวุ่นวายกับหน้าอกไม่เลิกรา ราวกับมันคือของเล่นใหม่ที่มีโอกาสได้จับต้องเป็นครั้งแรก
ฉันที่ตอนนี้กำลังคิดทางหนีทีไล่จึงต้องโอนเอนไปตามเกมราคะที่อีกฝ่ายพยายามพลิกขึ้นมาควบคุม เชิดหน้าริมฝีปากร้อนที่เริ่มโลมไปตามซอกคอราวกับเวลาทาน้ำหอม
แต่จู่ๆ ในหัวก็เหมือนจะคิดอะไรออก แขนทั้งสองข้างจึงเอื้อมขึ้นคล้องคออีฝ่ายโดยเอียงหน้าในองศาที่พอเหมาะ แต่ก็ใช่ว่ามือจะหยุดแค่นั้น ฉันลากฝ่ามือไปตามแผ่นหลังกว้างลงต่ำมายังชายเสื้อและทำเช่นเดียวกับเขาด้วยการแทรกฝ่ามือสัมผัสกับผิวหนังภายใต้อาภรณ์ชิ้นหน้า
เสื้อดูดีมีราคาของเขาค่อยๆ ถูกเลิกขึ้นอย่างช้าๆ พนันได้เลยว่าไอ้เวรที่ตอนแรกก่นคำสบประมาทฉันไว้ในตอนแรกตอนนี้อารมณ์กำลังขึ้นอย่างกู้ไม่กลับ ถึงได้ยอมให้จัดการเสื้อเกะกะของตัวเองออกได้โดนง่ายอย่างนี้
น่าขยะแขยงชะมัด!
ช่วงขณะที่ร่างกายเราแยกออกจากกันเพราะการถอดเสื้อ ฉันจึงอาศัยจังหวะนั้นพลิกสถานการณ์ใช้มือจับแขนแกร่งของคนตัวใหญ่พลิกกดลงกับบานประตู ก่อนเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเพื่อให้เกมราคะบ้าๆ นี่ดำเนินต่อไป
แลกบางอย่างเพื่อความสะใจ ยังไงก็คุ้ม! เคยได้ยินคำนี้ไหม นี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่ฉันกดลำตัวช่วงบนที่บราเซียร์หลุดลุ่ยเข้าหาเขา แขนข้างหนึ่งเอื้อมคล้องคอเขาเป็นหนที่สองและเป็นฝ่ายจงใจกดศีรษะอีกฝ่ายลงมาประกบปากอย่างเร่าร้อน ตามอย่างที่ผู้ชายมักมากต้องการ
คำรามยังคงเคลิบเคลิ้มกับการถูกรุกเร้าอารมณ์อารมณ์ เขาจูบตอบด้วยระดับความรุนแรงพอๆ กันพลางเอื้อมมือแตะสะโพกฉันไว้เตรียมที่จะปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายบนร่างกายฉันอกก และตอนนั้นนั่นแหละที่ดูสบโอกาสมากกว่าครั้งไหน
ฟึ่บ! กึก!
มือถนัดเอื้อมหมุนลูกบิดประตูด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว ไวพอๆ กับการลดมือที่คล้องคอเขาไว้ในตอนแรกออกนั่นแหละ
ทันทีที่บานประตูเปิดออก ปีศาจที่ยืนพิงแผ่นหลังกับประตูและมัวแต่เสพสมราคะ ไม่ทันระวังตัวก็เลยหลักผละตัวหงายหลังจากฉันเข้าไปห้องดังกล่าวทันที ฉันสังเกตสีหน้าเหลอหลาของเขาปรากฏขึ้นบนใบหน้าท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ดูตกใจ มึนงง และโง่!
เมื่อทำทุกอย่างได้สมใจ ฉันก็ไม่รอให้เขาตั้งหลักกลับมาวุ่นวายกับร่างกายฉันได้เป็นหนที่สอง รีบจัดการปิดประตูห้องน้ำกระแทกใส่หน้าเขาทันทีพร้อมทั้งรีบลงกลอนจากข้างนอก
ตึงง!
“เฮ้ย! ทำไรวะ เปิดประตู!!” ฉันเหยียดยิ้มอย่างนึกสะใจพลางอ้อมมือติดตะขอบราเซียร์และฟังเสียงของปีศาจที่พยายามทุบประตูจากภายในห้องอย่างสบายอารมณ์
เอ...เหตุการณ์แบบนี้ มันคุ้นๆ อยู่นะว่าไหม?
ตึง! ตึงง!!!
“เฮ้ย! เปิดประตูดิวะ!!” อ๋อ นึกออกแล้ว...
“กุญแจวางอยู่หน้าห้องนะที่รัก~” ฉันแสร้งทำเสียงหวานกระแหนะกระแหนตอบกลับคนข้างใน ก่อนทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้เพื่อเอาคืน
“อยากออก ก็หยิบไปไขเอา!”
ตึงง!!
“อย่าให้ออกไปได้นะเว้ย ฉันฆ่าเธอแน่!”
“จ้าที่รัก~” ฉันตอบอย่างอารมณ์ดี ขณะเดินหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย
ตึง!! ตึง!!!
“เฮ้ย! เปิดประตู!!!”
ฉันตวัดหางตามองไปยังเสียงทุบประตู และนั่นก็ดันเป็นจังหวะเดี๋ยวกับที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ถ้าต้องเลือกสนใจประตูที่ขังปีศาจกับประตูที่พร้อมต้อนรับแขก ฉันขอเลือกอย่างที่สองดีกว่า
กึก!
แต่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเลือกประตูบานไหน มันก็ไม่ดีไปหมดนั่นแหละ เพราะประตูบานที่สองซึ่งถูกเลือกนั้น บุคคลที่ยืนปรากฏตัวอยู่กลับเป็นปีศาจตัวที่สองที่อาศัยอยู่ในเมือง
“ไอ้รามล่ะ?” โต ใช่! หมอนี่ชื่อโต เขาดูมีมารยาทและสุขุมกว่าคำรามเยอะ แต่ฉันก็เกลียดขี้หน้าเขาอยู่ดี
ฉันเป็นพวกชอบแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปแบบไม่ปิดบัง การสวมหน้ากากแสดงความชื่นชอบหรือเคารพรักเฉกเช่นคนอื่นจึงไม่จำเป็น
“ตายห่าไปแล้ว” พูดจบฉันก็เดินชนแขนโตออกไปข้างนอก ทว่า ยังก้าวไปได้ไม่ถึงไหน มือของโตก็พุ่งเข้าคว้าแขนฉันไว้เสียก่อน จากนั้นก็พูด
“อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด” โตพูดโดยไม่มอง เหมือนฉันที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองเขาเช่นกัน “เข้ามาทำอะไรที่บ้านหลังนี้ เธอรู้อยู่แก่ใจ”
“...” ฉันเกลียดคนที่มีนิสัยคล้ายกับพี่โซลเหลือเกิน
“ถ้าสร้างรอยร้าวให้ครอบครัวฉันแม้แต่นิด เธอโดนฆ่าแน่”
ฉันไม่ได้ตอบโต้คำขู่ของเขากลับไป แต่เลือกที่จะสะบัดแขนทิ้ง ก่อนเดินก้าวเท้าออกไปจากบริเวณหน้าห้อง ซึ่งจังหวะเดียวกับที่เสียงทุบประตูอย่างเกรี้ยวกราดดังขึ้นอีกครั้งในห้อง
ตึงง!!
“เฮ้ย! มีใครอยู่ป่ะวะ เปิดประตูให้หน่อย แม่งเอ้ย!!”
งี่เง่า! อย่าทำเป็นสู่รู้หน่อยเลย คิดเหรอว่าฉันอยากเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
เหอะ! สำคัญครอบครัวตัวเองผิดเกินไปแล้ว!
‘หอม! หอมจะไปไหน!!?’
เสียงของศิลป์ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เสียงของเขาสั่นเพราะผ่านการร้องไห้จนไม่สมเป็นผู้ชาย ในขณะที่พี่ชายตัวเองอย่าง พี่โซล ได้กำหมัดทุบกำแพงด้วยความเจ็บใจ หลังจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายแสนระยำมาหมาดๆ
‘หอมจะไปฆ่ามัน!’ ฉันคำรามกรอดอย่างนึกโกรธแค้นไม่ได้ต่างจากคนอื่นนัก
‘พี่ผิดเอง...ที่พลาดช่วยอะไรหวานไม่ได้’
ฉันได้ยินข้อแก้ตัวของพี่โซล แต่นั่นมันไม่สำคัญนักหรอก ในเมื่อคืนที่เกิดเรื่องเขาก็โดนคนร้ายแทงเข้าบริเวณชายโครงจนบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน
‘ไม่ต้องไปหอม อยู่ที่นี่’ พี่โซลเคยห้ามฉันแล้ว
‘ใช่ หอมอย่าไป มันอันตราย’ ศิลป์เองก็ช่วยพี่ชายห้ามฉันเหมือนกัน
แต่สุดท้าย ความดื้อรั้น หัวแข็งไม่ฟังใคร บวกรวมกับความโกรธแค้นมันก็ทำหั้นไม่ฟังเสียงเตือนนั่น ตัดสินใจบุกไปที่รังของปีศาจที่ใครต่อใครว่าน่ากลัวและขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจ
และวันแรกที่ฉันเจอเขา คือภาพของปีศาจซึ่งถูกร่ายล้อมไปด้วยผู้หญิงบนโซฟาสีแดงตัวใหญ่พร้อมด้วยเครื่องดื่มมึนเมา เขาดูไม่สนใจอะไร นอกจากผู้หญิงที่รายล้อมอยู่รอบตัว จนกระทั่งฉันทักออกไป
‘เฮ้ยไอ้สวะ! ชื่อคำรามใช่ไหม!?’
และนั่นก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ฉันมีโอกาสได้สบสายตากับนัยน์ตาปีศาจที่มองทุกอย่างรอบตัวเป็นศัตรู พร้อมจะหาเรื่องและทำร้ายอย่างไร้ความปรานี
พร้อมกับคำทักทายตอบกลับสั้นๆ จากเขา
‘ไสหัวไป’
ไม่เคยพิศวาส ไม่เคยอยากใช้ชีวิตร่วม
ไม่เคยพูดดี ไม่เคยเป็นมิตร
ต้องการที่สุดคือการทำลายชีวิตเขาให้ไม่เหลือชิ้นดี เหมือนที่หวานหวานได้รับ
‘ฉันท้อง’
‘ท้องกับ?’ เสียงยอกย้อนที่เขาใช้ดูถูกในคืนแรกที่เราเจอกันยังดังก้องอยู่ในหู ฉันไม่ได้ท้อง แต่แค่อยากดูปฏิกิริยาเท่านั้นว่าเขาจะแสดงออกมาในลักษณะไหน
‘โทษทีนะ ฉันจำหน้าเธอได้ไม่ได้ว่ะ’
และใช่ กริยาและคำพูดเขามันช่างเลวบรม!
‘แล้วไอ้ที่ว่าท้องเนี่ยสมยอมหรือถูกขืนใจล่ะ?’
อาจเพราะความซวยที่ดันตะคอกใส่เขาในที่สาธารณะแบบนั้น ข่าวลือแบบไร้แก่นสารจึงถูกประโคมจนเข้าหูของคุณแม่เขาเข้าจนได้ แต่เพราะไม่ได้ท้องจริง นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้น้องสาวคำรามอย่างแต้วซึ่งรู้ทันเกมเกลียดหน้าฉันมากกว่าใคร
‘เธอต้องการอะไรจากพี่ชายฉัน’
‘ไม่เกี่ยว ไม่ต้องเจ๋อ’ เธอเกลียดฉันเหมือนอย่างที่ฉันเกลียดพวกพี่ชายของเธอ
แล้วยังไงล่ะ ใครแคร์!?
ฉันไม่วอนขอให้ใครเข้าใจฉันหรอก ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เพราะถ้าไม่เข้มแข็ง ฉันคงไม่มีลมหายใจมาถึงอายุขนาดนี้หรอก
‘ไปอยู่กับพ่อนะหอม... ไปอยู่กับพ่อ...’
‘ฮึก...มะ แม่คะ หอมกลัว...’ เพราะคนที่ฉันต้องการความมาทั้งชีวิตยังคิดจะฆ่าฉันให้ตายอยู่ทุกๆ ลมหายใจเข้าออก ไว้ใจไม่ได้ เชื่อใจไม่ได้
‘แม่รักหอมนะลูก ดื่มนี่สิ...’ ล่อลวงด้วยความรัก ผลักไสให้ตายทุกโอกาส ใส่หน้ากากความรักเข้าหา
ชินหมดแล้วล่ะ กับการถูกคนทั้งโลกหันหลังให้ ในเมื่อพวกเขาไม่แคร์ ฉันก็ไม่แคร์
‘เชื่อใจฉันสิ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก’
แค่มีพี่โซล
‘พี่คือพี่สาวที่หนูรักมากที่สุดเลยรู้ไหม’ กับหวานหวาน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...
และไม่ว่าไอ้เวรหน้าไหนที่กล้าทำร้ายสิ่งที่ฉันรักจนไม่เหลือชิ้นดี มันก็ต้องพังลงไปตามๆ กัน!
เมื่อความคิดหยุดลง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดนักศึกษากำลังเดินเข้ามาในบ้านพอดิบพอดี ฉันอิจฉาเธอนะที่สามารถเป็นผ้าขาวได้อย่างบริสุทธิ์ใจไม่เหมือนกับฉัน
“เจ๊หอม สวัสดีค่ะ” เธอน่ารักทุกครั้งที่ฉันได้เห็น
“สวัสดีจ๊ะ ทำไมส้มจี๊ดกลับบ้านช้าจังวันนี้”
“พอดีวันนี้หนูมีนัดนิดหน่อยค่ะ เจ๊หอมทำธุระเสร็จแล้วเหรอคะ?”
“จ๊ะ” ฉันไม่อยากทำร้ายเธอเลย แต่มันไม่มีทางเลือก
“ส้มจี๊ด เจ๊ถามอะไรหน่อยสิ”
“คะ?”
“ส้มจี๊ดคบกับโตแล้วเหรอ?”