EP04
-ฆ่าเมียครั้งที่4-
‘ส้มจี๊ด เจ๊ถามอะไรหน่อยสิ ส้มจี๊ดคบกับโตแล้วเหรอ?’
คำถามสั้นๆ แต่สร้างความช็อกให้คนฟังผ่านสีหน้าได้เป็นอย่างดี ถึงเธอจะปฏิเสธ ฉันก็มองออกอยู่ดี
“จ..เจ๊หอม ถามอะไรแบบนี้ล่ะคะ หนูกับพี่โตจะคบกันได้ยังไง”
“อ้าว งั้นเหรอจ๊ะ” ฉันแสร้งตามน้ำ เพราะไม่อยากต้อนเธอให้มากไปกว่านี้นัก
ขืนทำอย่างนั้นไก่ตื่นขึ้นมา แผนจะพลาดไปเสียหมด
“ค่ะ หนูไม่กล้าคบกับเขาตามที่เจ๊แนะนำหรอก”
ควรจะมีใครบอกเด็กคนนี้บ้างนะ ว่าเธอโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย
“วันก่อนที่พูดไป เจ๊แค่หยอกเฉยๆ เอง นี่ส้มจี๊ดเก็บมาคิดจริงจังด้วยเหรอเนี่ย?”
“...”
“โธ่...อย่าจริงจังสิ เจ๊ไม่กล้ายุให้คนทำเรื่องผิดศีลแบบนั้นจริงๆ หรอก” ฉันจงใจเงียเสียงลงเพื่อดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย ตอนแรกก็สงสารอยู่หรอก แต่พอได้เห็นความใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอกำลังถูกฉาบด้วยสีเทาและความเป็นกังวลแบบนั้นแล้ว มันก็อดพูดต่อไม่ได้ “ยิ่งต่างคนต่างมีแฟนอยู่แล้วด้วย แย่งของของคนอื่นเขามา มันบาปจะตาย”
“ค่ะ หนูรู้...ทำแบบนั้นมันบาปจะตาย” ฉันกระตุกยิ้มเมื่อเธอแสดงสีหน้าลำบากใจ ก่อนแสร้งตีหน้าเห็นอกเห็นใจ แสร้งพร่ำสอนอย่างคนหวังดี
“ใช่ ยิ่งพวกที่มีแฟนอยู่แล้ว แต่ยังแอบลอบได้เสียกับผู้ชายคนอื่นน่ะ สายตาคนอื่นเขาจะยิ่งมองว่าคนพวกนี้เป็นผู้หญิงเลวไม่รู้จักพอ...”
“...”
“ส้มจี๊ดอย่าทำแบบนั้นนะจ๊ะ”
“ค่ะ...หนูไม่ทำหรอก” ตัวเธอสั่นเหมือนถูกต่อว่าแบบตรงๆต่อหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกที่จะอมความจริงไว้ในปากอยู่ดี
นี่สินะ...ที่เขาเรียกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยความรักและความเพรียบพร้อมดั่งไข่ในหินแบบลูกคุณหนู
น่าอิจฉาจริงๆ...
“ดีจ๊ะ...งั้นเจ๊ไม่กวนส้มจี๊ดแล้ว อย่าคิดมากนะ เจ๊แซวเล่นเฉยๆ คิกๆ”
“ค่ะ หนูไม่คิดมากหรอก” ปากเธอน่ะพูดแบบนั้น แต่ฉันรู้ว่าเธอกำลังคิดมากแค่ไหน นั่นแหละดี...
เก็บไปคิดให้เยอะๆแล้วมีปากมีเสียงกับไอ้ปีศาจนั่นซะ!
“งั้นหนูขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ สวัสดีค่ะ”
“จ้าา” ส้มจี๊ดไม่ได้รอฟังฉันลากเสียงใจดีต่อจนจบ เธอรีบเดินก้มหน้าก้มตาขึ้นบันไดตรงขึ้นชั้นสองของบ้านด้วยท่าทางรีบร้อน เห็นแล้วมันก็อดขำในใจไม่ได้ ทว่า
ตอนนั้นเอง...
“แหมๆ แม่นางฟ้า แม่พระแสนดี ช่างรู้จักสอนคนอื่นแต่ไม่รู้จักสั่งสอนตัวเอง” คำพูดถากถางแกมประชดก็ดังขึ้นพานให้ต้องหุบยิ้มลงแล้วมองไปยังต้นเสียงอย่างไม่พอใจ
พอได้เห็นหน้าโง่ๆ ของเขาอีกฉันก็อดกระตุกยิ้มเยาะส่งกลับไปไม่ได้
“หลุดออกจากกรงแล้วเหรอ ที่รัก?”
“ก็ประมานนั้น” คำรามเหยียดยิ้มเลวๆ ตอบกลับมาไม่ต่างกัน เขาตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนและสวมเพียงกางเกงยีนเท่นั้น สภาพเดียวกับตอนที่หน้ามืดหลงมัวเมาราคะจนกลายเป็นแค่ไอ้โง่ตัวหนึ่ง!
“ฉันไม่ได้หมายถึงนาย...แต่หมายถึงหมาในปากน่ะ”
“...”
“หลุดออกมาอีกแล้วเหรอ?”
วูบหนึ่งที่รอยยิ้มบนหน้าเขาหุบลง เขาเบือนสายตาไปทางอื่นและเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองราวกับพยายามระงับอารมณ์ เพราะคุณน้าเองอยู่คงอยู่ที่ไหนในบ้านหลังนี้บริเวณชั้นล่าง นั่นเลยทำให้เขาไม่กล้าแสดงนิสัยเสียๆ เหมือนตอนอยู่ลับหลัง
คำรามไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ฉัน แต่เลือกที่จะเดินสาวเท้าตรงเข้ามาหา และหยุดลงตรงหน้า
“มีใครเคยบอกไหมว่าเธอแม่งโคตรปากดี” และเอ่ยถามอย่างใจเย็น
ฉันเบ้ปากยียวน ยักไหล่แบบไม่แยแสคำถามกึ่งต่อว่านั่น และการที่แสดงกิริยาเช่นนั้นมันคงไปจี้จุดเดือนเขาล่ะมั้ง สุดท้ายนิสัยเลวๆ ที่เขาพยายามซ่อนแม่ของตัวเองก็ระเบิดออกมา และพุ่งมือกระชากไหล่ฉันเข้าหาตัวอย่างแรงแบบไม่เกรงกลัวว่าจะถูกใครพบเห็นเข้า
“ปากดีขนาดนี้...”
“…”
“ เก็บปากไว้ทำอย่างอื่นดีกว่าไหม ?”
“ราม น้ำหอม...ทำอะไรกันลูก?” แต่แล้วความรุนแรงของฝ่ามือก็เบาบางลงเมื่อเสียงของคุณน้าดังทักขึ้นมาจากในครัว ขณะชะเง้อหน้ามองเราสองคนคล้ายกับสงสัย
“เล่นกันครับแม่” ส่วนนี่น่ะคือคำพูดปดของลูกชาย
“อย่าเล่นกันแรงๆ สิลูกน้องจะเจ็บ” เขาเหลือบมองฉันที่ยังคงกระตุกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าและได้รับการมองว่าเป็นฝ่ายที่อ่อนแอ ส่วนปากก็ยังรับคำกลับไปตามประสาลูกที่ดี
“ครับแม่”
คำรามรับปากแม่ไปแบบนั้นก็จริง แต่ทันทีที่คุณน้าหายกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง เขาก็เริ่มทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการรับปาก ใช้มือกระชากตัวฉันให้เดินตามแรงตรงกลับขึ้นไปยังบันได
“จะทำอะไร ปล่อย!” ฉันปรามเขาพลางใช้มือจิกไปตามแขนเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อย
“อยากให้ปล่อยว่างั้น?” เขาถามทั้งที่พยายามใช้กำลังบังคับกระชากฉันให้ก้าวขึ้นบันได
“โธ่เว้ย!”
“ปล่อยก็ได้…” แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการเหวี่ยงตัวฉันกระแทกเข้ากับพนังระหว่างบันไดทางขึ้นลงของบ้าน แรงกระแทกดังกล่าวทำหัวฉันกระแทกจนเผลอซี๊ดปากออกมา แต่เพราะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคร่ำครวญแอ ฉันจึงรีบตั้งหลัก พร้อมทั้งง้างหมัดขึ้นเพื่อเรียมที่จะเอาคืน ทว่า...
ฟึ่บ! กึก!
คำรามที่รอจังหวะนี้อยู่นานแล้วกลับใช้มือคว้าแขนฉันไว้ได้ทัน เขาทำทุกอย่างรวดเร็วรวมไปถึงการดันร่างกายกดร่างฉันจนหลังกระแทกผนังเป็นหนที่สอง
“ปล่อย!”
“ถ้าไม่ปล่อย เธอมีปัญญาทำอะไรฉัน?” ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บแค้น เพราะมันจริงอย่างที่เขาพูด เรี่ยวแรงระหว่างเรามันต่างกัน ฉันไม่มีทางสู้ได้อยู่แล้ว “นอกจากปากดีใส่แล้ว ทำอย่างอื่นเป็นบ้างไหม?”
“ไป-ตาย-ซะ” ฉันพ่นคำพูดเน้นช่วงวลีเพื่อไล่เขา แต่นั่นกลับทำให้คำรามกระตุกยิ้ม
เขากลอกตาคล้ายกับเอือมระอาฉันเต็มกลืน ก่อนหยุดสายตาลงที่หน้าแล้วพูดขึ้น
“บอกแล้วไง ปากดีขนาดนี้ให้เก็บปากไว้ทำอย่างอื่น”
“บอกให้ไปตายซะ...” คำรามไม่รอให้เอ่ยถ้อยคำผลักไสไล่ส่งได้จนจบประโยค
เขาปล่อยมือจากการรัดกุมข้อมือก่อนเปลี่ยนมารวบประคองโครงหน้าฉันแทน
ริมฝีปากร้อนบดขยี้ลงมาอย่างดุดันขณะร่างกายเขาค่อยๆ เบียดเข้ามาแนบชิด เขาไม่ได้จูบเพราะรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างคราวที่แล้ว แต่กำลังจูบเพราะความโมโห
“อื้อ! อ่อย!” ฉันพยายามขยับปากหนีและต่อว่าเขาด้วยเสียงอู้อี้ไม่เป็นศัพท์ สองมือซึ่งยังใช้งานได้ผลัดกันทับตีไปตามวงแขนกว้างสลับกับจิกฝังปลายเล็บให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บและยอมปล่อย แต่ว่าเขาดูจะถึกเกินไป
นอกจากไม่ยอมถอนริมฝีปากออกไปแล้ว เขายังยิ่งรุกล้ำเข้ามาหนักขึ้น
“อื้อ!” ลิ้นร้อนแทรกซึมผ่านระหว่างรอยแยกริมฝีปากปากอย่างจาบจ้วง ดูดดุนลิ้นฉันอย่างแรงจนปวดหนึบและชา ฝ่ามือเขาที่ประคองหน้าฉันอยู่ก็เริ่มกดน้ำหนักมือลงมามากขึ้น จนตอนนี้ ปวดไปทั้งภายในและภายนอก
คนตัวใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้หายใจ ยังคงลงโทษและระบายความเกรี้ยวกราดทางอารมรณ์ของตัวเองผ่านทางริมฝีปาก จนกระทั่งเรี่ยวแรงที่พยายามทุบตีของฉันอ่อนลง
อ่อน...ไปพร้อมกับอากาศหายใจที่ถูกช่วงชิงจนแทบหมดลม...
เพราะเรี่ยวแรงที่เคยต่อต้านเบาบางลงไปล่ะมั้ง ปีศาจตรงหน้าถึงได้รู้ว่าจูบของเขาตอนนี้กำลังจะฆ่าฉัน จึงได้ยอมผละริมฝีปากออกไปอย่างเชื่องช้า
“แฮ่ก...”
ฉันหอบรับอากาศหายใจเข้าปอดหนักๆ อย่างโหยหาเมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระ แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะตรงหน้ายังถูกคุมเชิงตัวร่างสูงใหญ่ของปีศาจเอาไว้
คำรามมองฉันด้วยแววตาคล้ายกับสมเพชเคล้าความสะใจก่อนพ่นคำพูดหนึ่งขึ้นมา
“ฆ่าเธอด้วยจูบมันง่ายไป...” ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาก็กดไหล่ข้างหนึ่งของฉันกระแทกใส่ผนังพลางโน้มหน้า ลงมา แสดงรอยยิ้มยียวนเคล้าความพอใจ เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่มีแรงเพียงพอที่จะตอบตอบโต้กลับ อีกทั้งยังจงใจขยับร่างกายท่อนล่างเบียดใส่ต้นขาส่วนปากก็พูดไปด้วย
“อยากลองฆ่าด้วยวิธีนี้แทน คงสนุกกว่า ลองไหม?”
ฉันรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร หมอนี่มันน่ารังเกียจสุดๆเลยว่าไหม?
“เก็บเข็มของนายไว้เย็บผ้าเถอะ!” ว่าแล้วก็รีบผลักอกเขาออกห่างอย่างแรง ก่อนเดินหนีขึ้นห้องเพื่อเลี่ยงการปะทะเป็นที่สอง ยิ่งเรี่ยวแรงตอนนี้มีไม่เพียงพอด้วยแล้ว ฉันยิ่งต้องถอยก่อน แต่...
เหมือนคำรามจะไม่ยอมหยุดหาเรื่องง่ายๆ
“เดี๋ยว!” เขาก้าวขึ้นบันไดตามหลังมาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งคว้าแขนรั้งไว้ พานให้ต้องหันไปขึงตาแสดงความไม่พอใจใส่ ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกับคำพูดน่ารังเกียจถูกเอ่ยออกมาเป็นหนที่สอง
“วันนี้ว่าง”
“...” อะไรอีก เขาจะทำอะไรอีก!?
“อยากลองเข็ม”
นี่หรือว่าเขา...
“ถ้าไม่รังเกียจ ขอเย็บปากทีดิ”
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อสิ้นประโยคกำกวมดังกล่าว ไม่ใช่เพราะคำขอแต่เป็นเพราะการการทำที่อีกฝ่ายแสดงออกด้วยอารมณ์เดียวกับความรู้สึก
คำรามรวบมือฉันสองข้างเข้าหากันก่อนจัดการกระชากตัวเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของเรา เขาไม่หันมามองฉัน ไม่แยแสด้วยซ้ำว่าฉันพยายามสะบัดตัวหนีหรือปฏิเสธคำเชิญชวนของเขามากแค่ไหน
“ปล่อย!!”
ตึงง!!
ทันทีที่เขาพาฉันกลับมาในห้องจนพ้นสายตาของคนในบ้าน ความรุนแรงที่เขาเคยกระทำกับร่างกายฉันก็ยิ่งทวีคูณ เมื่อประตูห้องปิดลง ร่างกายฉันก็ถูกเขาผลักแนบลงกับบานประตูนั่นแหละ
และนั่นมาพร้อมกับคำถามน้ำเสียงโกรธจัด
“ก่อนหน้านี้เธอทำแสบมาก รู้ตัวใช่ไหม?”
ฉันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังถูกเขาเอาคืนจากเรื่องที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันดิ้นหรือขัดขืน รีบรวบข้อมือฉันสองข้างขึ้นเหนือหัว กดดระแทกลงกับบานประตูมาอย่างติดๆ ขณะพ่นคำขู่
“ยั่วให้อยากแล้วจากไปเนี่ย...สุดท้ายศพไม่สวยนะรู้ป่ะ?”
“ปล่อยสิโว้ย!” ฉันตะคอกเสียงแข่งกับเสียงข่มขู่ดังกล่าวพลางดิ้นต้านแรงที่อีกฝ่ายใช้ตรึงร่างกายไว้ ทว่า แรงของคำรามที่มีมากกว่ามันทำให้ฉันไม่สามารถหลุดเป็นอิสระได้ดั่งใจนึกนะ
การที่เป็นเช่นนั้นเลยทำให้ปีศาจสารเลวตรงหน้าโน้มหน้าลงมาบริเวณใบหูพร้อมทั้งกระซิบ
“ก่อนหน้านี้เธอพูดว่าไงนะ ของฉันมันเล็กเหมือนเข็มเหรอ?”
“ฮึ้ย! ปล่อยย!!”
“ถ้างั้นเธอพร้อมจะลองเข็มหรือยังล่ะ...ที่รัก?”
สิ้นเสียง ปีศาจสารเลวตรงหน้าก็ไม่ได้ได้รอให้ฉันได้ขัดขืนหรือต่อต้าน รีบแทรกหัวเข่าระหว่างขาทั้งสองข้างอีกทั้งกดลำตัวเบียดเบียดเข้าใส่จนแนบสนิท
มือเขาที่รัดกุมข้อมือฉันขึ้นเหนือหัวเพิ่มแรงบีบรัดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นไม่ใช้กับมือสกปรกข้างที่เหลือที่รุกล้ำร่างกายฉันอย่างจายจ้วงและไม่ให้เกียรติ
“เฮือก!” ร่างกายเฮือกสั่นเมื่อคนตัวใหญ่ลากฝ่ามือไปต้นเนื้อขาอ่อนด้านใน โดยใช้เพียงแค่สายตาเท่านั้นในการจับจ้องและจดจำสีหน้าที่ฉันแสดงออก
“หยะ หยุดนะ…อ๊ะ” น้ำเสียงถูกตัดให้ขาดกระท่อนกระแท่นอย่างไม่เต็มเสียง ในช่วงเวลาที่ คนตัวใหญ่ตัดสินใจสอดฝ่ามือแทรกผ่านขากางเกงยีนยางยืดเข้ามาภายในอย่างไม่ให้เกียรติ
ร่างกายทุกส่วนมันเกร็งตึงไปหมด ทำได้แค่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ เมื่ออีกฝ่ายกำลังลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว โดยที่ฉันไม่สามารถขืนแรงมหาศาลของเขาได้เลย
“แฮ่ก...”
แต่ยิ่งต้าน ร่างกายก็คล้ายกับยิ่งเหนื่อยล้า อาจเพราะผลพวงจากการถูกเขาจู่โจมบริเวณขั้นบันไดบันได้ของบ้านในตอนนั้นด้วยก็ได้
อาการเจ็บแปล๊บวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย เมื่อสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่อีกฝ่ายยัดเหยียดให้พยายามดุนดันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายอย่างถือดี
“หยุด...อะ”
“อะไร...แค่นี้ก็รู้สึกแล้วเหรอ?” แววตาของคำราม ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ตรงกันข้ามเลยแหละ เขาดูสะใจมากด้วยซ้ำ จนอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นแววตาเดียวกับที่เขาเคยลงมือทำร้ายหวานหวานเมื่อครั้งนั้นก็ได้
“อึก...อะ” ฉันกัดฟันสู้กับอาการเจ็บปวด ในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และรับรู้ได้ว่าสิ่งแปลกปลอมที่ว่านั่นมันค่อยๆ ดันดุนเข้ามาภายในอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาที่ฉันเคยคิดว่าระยำที่สุดในชีวิต คือช่วงเวลาที่แม่พยายามฆ่าฉัน แต่ไม่ใช่ ตอนนี้ช่วงเวลาที่ระยำที่สุดก็คือ
ตอนที่ปีศาจตรงหน้ากำลังสนุกอยู่กับร่างกายฉันด้วยสัมผัสจากนิ้วแกร่งของตัวเอง...
-KHAMRAM TALK-
ตัวเธอเริ่มร้อนขึ้นจนผมรู้สึกได้ ไม่ให้แค่อุณหภูมิในตัวเท่านั้นขณะเดียวกันผมก็รับรู้ได้ถึงอาการสั่นจากร่างเล็กหมดทางสู้ตรงหน้า
เธอคือผู้หญิงที่ทำผมหงุดหงิดและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน เป็นผู้หญิงที่เพียงแค่เดินผ่านหน้าผมก็อยากจะเข้าไปซัดสักทีให้หายหมั่นไส้ ไม่ใช่ว่าชอบทำร้ายอยู่ผู้หญิงหรอกนะ ผมรู้สึกแบบนี้กับเธอแค่คนเดียว
ผู้หญิงที่กล้าหยามหน้าผมอยู่ตลอดเวลาอย่างน้ำหอมน่ะ มันน่าฆ่าให้ตายนัก
“อึก...เอามืออกไปนะ อะ ไอ้เวรเอ้ย!” ทั้งที่เสียเปรียบแต่ก็ยังปากดีไม่หยุด
จะเรียกว่าซาดิสม์หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เวลาเห็นเธอแสดงสีหน้าเจ็บอย่างขีดสุดหรือแพ้หมอบเป็นลูกหมา ผมแม่งโคตรรู้สึกดี โดยเฉพาะกับตอนนี้ ตอนที่ผมจงใจลงโทษที่ความน่าหมั่นไส้ที่เธอสร้างไว้ด้วยน้ำมือของผมเอง
“พูดเพราะๆ แล้วจะหยุด” ผมก็แค่ต้องการให้เธอหยุดพยศและยอมแพ้แต่โดยดีเท่านั้น
“ปล่อย! อ๊ะ....” เสียงแข็งขาดลงในช่วงท้ายประโยค ร่างกายเธอกระตุกอย่างรุนแรง เมื่อนิ้วค่อยดุนดันผ่านความอ่อนนุ่มเข้าไปภายในอย่างยากลำบาก
“อยากเห็นหน้าตัวเองตอนนี้ไหม?” ผมถามด้วยความรู้สึกที่อยากจะยียวนคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า “ว่าเซ็กซี่แค่ไหน…”
“อึก...อะ” เธอไม่ตอบ ได้แต่กัดฟันและพยายามยื้อสู้แรงกับสิ่งที่ผมทำอยู่อย่างไม่ยอม ทั้งที่เธอเริ่มจะหอบดังขึ้นเรื่อยๆ เห็นแบบนี้แล้วมันก็ตลก
ทำเป็นไม่เคยไปได้...
ยิ่งเห็นเธอแสดงท่าทางเหมือนคนไร้ประสบการณ์ออกมาแบบนั้น ยิ่งชวนให้หมั่นไส้จนเผลอกดแรงไปตามข้อนิ้วเพื่อทำให้เธอเข็ดหลาบและหยุดพยศจนน่าโมโหลงสักที ทว่า
“อะ...ฮึก” เสียงร้องของน้ำหอมในคราวนี้กลับกระท่อนกระแท่นต่างไปจากตอนแรก
เธอไม่ได้ร้องเพราะต่อต้านหรือแสดงทีท่ารังเกียจสัมผัสจากข้อนิ้วอย่างทีแรก แต่เสียงของเธอมันเต็มไปด้วยอาการของคนที่รู้สึกเจ็บปวดเกินขีดจำกัดแล้วต่างหาก
ผมเผลอชะงักการกระทำของตัวเองลงหลังเสียงดังกล่าวดังขึ้น จังหวะเดียวกันนั้น คนตรงหน้าก็ก้มหน้าลง พร้อมกับอาการสั่นเทิ้มทั้งตัวซึ่งเริ่มรุนแรงมากขึ้น
“เป็นอะไรไป ทำไมตัวสั่นขนาดนั้นล่ะคนเก่ง...นี่ยังเข้าไปไม่สุดเลยนะ...”
แต่ท่าทางของเธอแบบนั้น มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสงสารเลยสักนิด กลับกันท่าทางที่เธอแสดงออกอาจจะเป็นแค่มารยาหนึ่งก็ได้
“อึก...” ทว่า เสียงที่ตอบกลับมาดันฟังดูคล้ายกับเสียงสะอื้นในลำคอมากกว่าเสียงต่อต้านอย่างที่ควรจะเป็น
ร่างกายตอบรับเสียงดังกล่าวด้วยการปล่อยมือที่รวบข้อมือเธออกอย่างรวดเร็วแล้วเป็นเป็นจับคางเธอเชิดหน้าขึ้นขึนเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ได้ยิน ก่อนต้องพบว่า ผู้หญิงที่มักทำตัวน่าหมั่นไส้และอวดดีน่าหงุดหงิดอยู่เสมอๆ ตอนนี้กลับหน้าแดงกร่ำและสั่นอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกที
นัยน์ตาคู่สวยของเธอที่มองทุกอย่างอย่างเหยียดหยามก็เช่นกัน ตอนนี้กำลังชุ่มแฉะไปด้วยน้ำตา
“เป็นบ้าอะไร ร้องไห้ทำมะ...”
ฟึ่บ!
เธอไม่รอให้ผมถามจบประโยค รีบใช้มือที่เป็นอิสระ รวบรวมเรี่ยวแรงผลักอกผมที่ไม่ทันตั้งตัวอย่างแรงจนเซถอยหลัง จำต้องยอมปล่อยร่างกายเธอเป็นอิสระทั้งหมด น้ำหอมไม่พูดอะไร เธอตวัดหางตามองผมเป็นครั้งสุดท้ายคล้ายกับโกรธแค้นก่อนรีบเปิดประตูออกไปอย่างรีบร้อน
สายตาเธอมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ผมคุ้นเคยกับแววตาแบบนั้นดีแต่ที่ไม่คุ้นก็คือความเศร้าที่เธอสื่อผ่านแววตาออกมา ณ ขณะนั้นด้วยต่างหาก แต่แล้วความแคลงใจทั้งหมดก็ถูกแทบที่ด้วยคำตอบที่ค้างคาใจ เมื่อปลายนิ้วที่ใช้รุกรานเธอไปเมื่อครู่
ตอนนี้มีเลือดจางๆ เปื้อนติดมาด้วย...