ฆ่าเมียครั้งที่ 7.2

1938 คำ
หวออ วี้ หวออ... เสียงไซเรนของรถตำรวจซึ่งดังมาจากที่ไกลๆ ทำผมสะดุ้งจากภวังค์ความคิดเหลียวหลังมองไปยังต้นเสียง ก่อนพบกับไซเรนสีแดงสดบ่งบอกถึงชนิดรถที่กำลังขับตรงมายังสถานที่เกิดเหตุ ขณะเดียวกันเสียงหวานก็เอ่ยตะคอกสั่งขึ้น “ป้า! เดี๋ยวหนูมาจ่ายค่าเสียหาย!” บอกตรง ตอนนี้ไม่รู้จะมองห่าไรก่อนดี ระหว่างรถตำรวจกับน้ำหอม “เฮ้ย! ไปเอารถดิ พ่อมาไม่เห็นเหรอ!?” อีกครั้งที่ผมต้องสะดุ้งจากภวังค์ความคิดเป็นหนที่สองเมื่อเสียงสั่งของผู้หญิงคนเดิมตะคอกใส่อยู่ข้างตัว ผมจิ๊ปากอย่างนึกรำคาญใจเนื่องจากไม่ค่อยชอบถูกใครออกคำสั่ง ถึงอย่างงั้นช่วงนาทีวิกฤตผมก็ยังตัดสินใจคว้ามือเธอพาวิ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อยู่ดี บรืนน บรืนนน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะล้วนต้องแข่งกับเวลา สถานการณ์แบบนี้ผมกับไอ้โตเจอมาบ่อย การสตาร์ทรถแล้วบิดหนีออกจากหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวด้วยความเร็วเต็มกำลังเครื่องสูบ จึงไม่เรื่องครนามือ ผมพาน้ำหอมนั่งซ้อนท้ายบิดหนีตำรวจมาจนเสียงไซเรนค่อยๆ ดังแผ่วลงไปจนเงียบลงในที่สุด เมื่อรู้ว่าบิดหนีจนพ้น ความเร็วที่บิดมาเต็มลูกสูบจึงเริ่มชะลอตัวช้าลงจนเอื่อย “เบาเครื่องทำไม!? เดี๋ยวพ่อก็ตามมาทันหรอก” “เงียบปาก อย่าสั่งน่า!” ผมบอกเธอเสียงอู้อี้ผ่านหมวกกันน็อก นั่นเลยทำให้บรรยากาศระหว่างการขับรถเงียบลงอีกครั้ง สายตาผมมองถนนเบื้องหน้า ‘เฮ้ย! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง เกี่ยวกับน้ำหอม’ ‘หึ! คุยด้วยอะไรดีล่ะ มือหรือตีน?’ แต่ไม่ใช่กับความคิดที่ดันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ‘ตีน’ คืนนั้นผมกับไอ้โซลมีโอกาสได้แลกหมัดใส่กันนิดหน่อยตามคำขอที่อีกฝ่ายบอกอยากคุยกับตีน แต่แล้วมันก็พูดบางอย่างขึ้นมา ‘อย่าทำให้หอมต้องร้องไห้...’ การที่มันพูดขนาดนั้นเลยทำให้ผมเดาได้ว่าการที่ไอ้โซลมาดักเจอผมตัวแบบนี้ คงเพราะผู้หญิงคนนั้นน่าจะโทรไปฟ้อง ‘อย่าคิดทำเรื่องเชี่ยๆแบบนั้นกับหอมอีก!’ ผัวะ! ‘เรื่องของผัวเมีย มึงเสือกไรด้วย!’ ‘ก็เพราะว่ากูไม่อยากเห็นหอมร้องไห้เพราะมึงไง!’ แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็เปลี่ยนไปเมื่อไอ้เวรนั่นเรียกผมด้วยชื่อต่างไป ‘เขาใจไหมซี!?’ ‘อย่ามาหวงเมียจนพูดจาไม่เข้าเรื่อง!’ พลั่ก!! ‘อึก...หอมไม่ใช่เมียกูว่ะซี…ไม่ใช่เมียกู’ บรืนน บรืนนน ความเร็วของรถเริ่มเร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อภาพความจำและคำพูดน่าหงุดหงิดลอยวนเวียนอยู่ในหัว และมันก็เป็นอยู่แบบนั้นจนกระทั่งรถที่ขับมาเลี้ยวมาหยุดจอดที่หน้าบ้านในที่สุด น้ำหอมรีบกระโดดลงจากท้ายรถอย่างรวดเร็ว เธอไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว มีเพียงแค่หางตาที่เหลือบมองหน้าแบบไม่สบอารมณ์เท่านั้น ผมถอดหมวกกันน็อกออกโดยมองตอบสายตาดังกล่าวโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน พอเห็นสายตาแบบนั้นของอีกฝ่ายแล้วในหัวมันก็มีแต่คำพูดของไอ้เวรนั่น ‘หอมไม่ใช่เมียกูว่ะซี...ไม่ใช่เมียกู’ คำพูดพวกนั่นทำผมรีบกวาดขาลงจากรถเดินตามหลังหญิงสาวตรงหน้าเข้าไปในบ้าน โดยไม่ลืมส่งเสียงเรียกเธอออกไปด้วย “เฮ้ย!” ครั้งนี้น้ำหอมยอมหยุดเท้าลง เธอหันขวับกลับมามองผมในท่ากอดอก และคงสายตาแบบเดิมไว้ “อะไรอีก?” เมื่อถูกถามผมจึงเร่งฝีเท้าตรงเข้าประชิดตัวเธออย่างรวดเร็ว ฟึ่บ! หมับ! “...อะ” วูบหนึ่งที่คนตัวเล็กทำตาโตคล้ายกับตกใจเมื่อถูกผมพุ่งมือคว้าตัวเอาไว้และคงแววตาตกใจไว้แบบนั้นแม้แต่ในตอนที่ผมค่อยๆ ใช้หัวแม่โป้งมืออีกข้างปาดเช็ดคราบเลือดบนแก้มเนียนออกอย่างแผ่วเบา รอบตัวเราคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าลง จนสามารถมองเห็นนัยน์ตาคู่สวยในระยะใกล้ได้ชัดกว่าครั้งไหน และมันยังทำให้ผมสามารถจดจำทุกสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงออกในเวลานี้ได้อย่างชัดเจนจนกระทั่งผมลดมือลงแล้วบอกเธอ “แก้มเธอแม่ง...เปื้อนเลือด” “ขอบใจ” น้ำหอมตอบเพียงแค่นั้นก่อนหันไปเปิดประตูเดินเข้าบ้าน บนใบหน้าสวยไม่ได้มีรอยยิ้มอย่างผู้หญิงคนอื่น กลับกันคนที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากมันดันเป็นเสียเอง ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ ‘จากรอยยิ้มที่เธอส่งมา จากเวลาที่เราใกล้กัน จับมือเธอไว้ข้างใจฉัน แค่นาที~’ เพลงบ้าๆ จากวิทยุที่ร้านก๋วยเตี๋ยวมันดันแว่วเข้ามาให้ได้ยินไม่หยุด ‘เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน14 ตอนที่ฉันมีแฟนคนแรก~’ จนอดฮัมเพลงระหว่างเดินตามหลังเธอเข้าไปในบ้านไม่ได้ “ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง~” อ่าบ้าฉิบ... เขินว่ะ -NUMHORM TALK- “กลับมาแล้วเหรอลูก ไปไหนกันมา” เสียงทักทายของคุณน้าดังขึ้นทันทีที่ฉันโผล่หัวเข้ามาในตัวบ้าน “หนูไปทำธุระที่…” ทว่า ยังไม่ทันตอบจนจบประโยคดี ตอนนั้นเองก็มีเสียงฮัมเพลงของใครอีกคนดังแทรกขึ้น เรียกความสนใจจากคุณน้าและฉันให้หันมองได้อย่างพร้อมเพรียง “ลึกๆ ข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง~” คุณน้าหลุดหัวเราะคิกคักพลางเอื้อมมือตีแขนฉันเบาๆ คล้ายกับหยอกเย้า แล้วเอ่ยถามกระซิบ “วันนี้พี่รามดูอารมณ์ดีเนอะ คิกๆ” “ระ เหรอคะ?” “แม่ไม่เห็นเขาฮัมเพลงแบบคนอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้วนะ ไปทำอะไรกันมา” “เปล่านี่คะ” “แม่ครับ วันนี้มีไรกินบ้าง~” อีกครั้งที่บทสนทนาระหว่างฉันถูกขัด เมื่อคำรามเดินเข้ามาสวมกอดคุณน้าจากทางด้านข้าง แถมยังทำตัวประจบหอมแก้มแม่ตัวเองฟอดใหญ่ ดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตา “มีแกงเหลือจากเมื่อวาน รามอยากกินอะไรล่ะ?” สิ้นเสียง คนถูกถามก็ชำเลืองสายตามองมาทางฉันก่อนผละอ้อมกอดออกห่างจากคุณน้า แล้วตอบ “อะไรก็ได้ แค่เรานั่งกินกันครบทุกคนก็พอแล้ว” รู้ไหมตอนเขาตอบน่ะ ฉันรู้สึกเหมือนถูกสายตาเขามองอยู่ตลอดเวลา ด้วยแววตายียวนกวนประประสาท “แหม ดูตอบเข้า...วันนี้พวกลูกไปทำอะไรมา ทำไมถึงอารมณ์ดีแบบนี้” “ไม่ได้ทำอะไรนี่แม่” คำรามตอบ ฉันเลยเสริม “ค่ะ เราไม่ได้ทำอะไรกัน” “จริงเหรอ?” แต่คุณน้าก็ยังแซว “ค่ะ หนูว่าที่คำรามอารมณ์ดีน่าจะ...” ฉันจงใจหันไปปะทะสายตากับเขาตรงๆ ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ตั้งท่ามองและมองมานานแล้วด้วย พอเราสบตากันจู่ๆ คำรามก็ทำเรื่องน่าสะพรึงด้วยการฉีกยิ้มจนตาปิด เห็นแล้วรู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ ทำเอาความคิดในหัวเหมือนถูกทำลายจนพังเสียหาย ชะงักไปชั่วขณะ... “น่าจะอะไรจ๊ะ?” ‘เป็นบ้า’ ตอนแรกฉันคิดจะแขวะเขาไปแบบนั้น แต่พอเจอรอยยิ้มแปลกๆ ชวนสะพรึงนั่นแล้ว ถึงกับต้องหยุดความคิดลงเพราะรับไม่ได้ จำต้องพูดเปลี่ยนประเด็น “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ หนูขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ว่าแล้วฉันก็เดินปลีกตัวออกจากคู่แม่ลูกนั้นทันที และอดไม่ได้ที่จะใช้มือลูบไปตามแขนทั้งสองข้างอย่างนึกขนลุก ยิ้มทำบ้าอะไรของเขาวะ คิดว่าน่ารักตายล่ะมั้ง ขนลุกชะมัด... ฉันพาตัวเองเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง มือพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางไปด้วย เมื่อนึกได้ว่ามีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ ศิลป์ :: กลับยัง เพราะฉันปิดเสียงไว้ตลอดเวลา เมื่อเปิดหน้าจอจึงพบเข้ากับข้อความของศิลป์ซึ่งน่าจะส่งมาได้สักพักแล้ว น้ำหอม :: ถึงแล้ว น้ำหอม :: แกอยู่ไหนอ่ะ พอส่งกลับไปศิลป์ก็ตอบกลับทันที ศิลป์ :: เพิ่งกลับ เมื่อคืนตอนที่สติแตกแล้วพึ่งอะไรพี่โซลไม่ได้ ฉันก็ได้ศิลป์นี่แหละที่ช่วยทำให้สงบสติอารมณ์ลงได้ อย่างที่บอกเขามักทำตัวเป็นคนฟังที่ดี เวลาระบายด้วยแล้วสบายใจ... “เฮ้ย! คุยกับใครอ่ะ” ฉันกลอกตาอย่างนึกรำคาญใจเมื่อเสียงทักดังขึ้นจากบริเวณขั้นบันได้ รีบลดโทรศัพท์ในมือลงพร้อมทันหมุนลูกบิดเปิดประตูพาตัวเองเข้าห้องเพื่อเลี่ยงคำพูดชวนหาเรื่องดังกล่าว แต่ก็ลืมไปว่าเราอยู่ห้องเดียวกัน “ถามว่าคุยกับใคร?” คำรามยังคงเดินตามเข้ามาในห้อง แล้วถามคำถามเดิมๆ คล้ายกับถูกตั้งโปรแกรมชีวิตมาแค่นั้น “เพื่อน” “เพื่อนหรือชู้” พอตอบก็ยียวนแบบนี้ มันน่าตอบไหมล่ะ? “เสือก” “ด่าเป็นแค่นี้เหรอ?” พอเริ่มต่อปากต่อคำ คำรามก็เริ่มเยอะ ทำเหมือนว่าเขาสนุกกับการเถียงมันเสียอย่างนั้น ครั้งนี้ฉันไม่ตอบแต่เลือกที่จะถอดเสื้อคลุมตัวนอกแล้วแขวงมันกับตู้เสื้อผ้า ปล่อยให้อีกฝ่ายบ้าอยู่คนเดียว แต่ดูท่าแล้วเขาน่าจะอยากให้ฉันบ้าหรือไม่ก็เป็นโรคประสาทเป็นเพื่อนเขามากกว่า “ไม่ด่าแล้ว?” “เลิกหาเรื่องได้ยัง ลำไย!” ฉันว่า “ไม่ มีไรป่ะ?” เขาตอบกวนๆ ก่อนทิ้งตัวลงไปนอนแผ่บนเตียง ฉันไม่ได้สนใจสิ่งที่คำรามทำมากนัก แต่เลือกอาศัยจังหวะที่เขานอนอยู่บนเตียงถอดกางเกงยีนที่สวมอยู่ออกเพื่อเปลี่ยนเป็นบ็อกเซอร์ใส่สบายๆ แทน ตอนนั้นเองที่คำรามถามขึ้น “พรุ่งนี้จะไปไหนป่ะ?” “ถามทำไม?” ฉันถามโดยไม่มอง “ถามไปงั้น” “ไม่ต้องรู้หรอก” ปากน่ะตอบ ส่วนมือกำลังวุ่นวายกับการค้นกางเกงขาสั้นในลิ้นชัก “แค่ตอบว่าจะไปไหนมันยากมากนักไง?” “รู้แล้วได้อะไร?” “จะได้ไปส่ง” ได้ฟังแบบนั้นฉันจึงเปลี่ยนความคิดที่จะลีลายียวนเขา ด้วยการพูดบางอย่างที่ต่างออกไป “วันหลังก็พูดตรงๆ ลีลาอยู่ได้...” ฉันเหลือบมองท่าทีคำรามเป็นหนสุดท้าย ขณะเดินตรงไปยังห้องน้ำ และเห็นว่าเขากำลังใช้แขนก่ายหน้าตัวเอง แต่ไม่รู้หรอกว่าคำรามกำลังทำหน้าแบบไหน เห็นแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับสิ่งที่ต้องการ ฉันพาตัวเองเดินหนีเข้าห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจท่าทีอีกฝ่ายพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ทันทีที่เข้ามาอยู่ในโลกส่วนตัว โทรศัพท์เครื่องสำคัญก็ถูกหยิบขึ้นมาพิมพ์ข้อความอีกครั้ง น้ำหอม :: เรื่องที่คุยเมื่อคืน เหมือนจะไปได้สวย ศิลป์ :: เฮ้ยถามจริง ไมมันง่ายขนาดนี้วะ 555+ ศิลป์ :: แล้วไอ้นักเลงที่ส่งไปวันนี้มันได้ทำหอมเจ็บป่ะ? น้ำหอม :: นิดหน่อย แลกกับการเอาคืน ถือว่า OK
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม