‘เออ กูเจ๋ง’
ว่าจบเขาก็เหลือบมองชายอีกคนซึ่งดูจะช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็ว คำรามจงใจเหยียบลงบนร่างของชายหนุ่มเคราะห์ร้ายที่เพิ่งฟาดหน้าจนล้มบนราวกับเห็นเป็นขยะพื้นพลางกระดิกนิ้วทั้งห้าคล้ายกับจะท้าทายคนที่เหลืออยู่
เมื่อถูกท้า ความเกรี้ยวกราดก็ประจักษ์ขึ้นต่อสายตา วัยรุ่นเลือดร้อนหันไปคว้าเก้าอี้พลาสติกอีกตัวข้างกาย คล้ายกับจะใช้ของสิ่งนั้นเพื่อตอบรับคำท้า.
แต่เขาช้าไป
ผัวะ!
เพราะคำรามที่ไวกว่าเป็นไหนๆ พุ่งหมันเข้าซัดหน้าของชายคนดังกล่าวทันทีที่เขาหันกลับมา
“มะ แม่หนู โทรแจ้งตำรวจให้ป้าหน่อย...” เสียงสั่นๆ ด้วยความหวาดกลัวของป้าเจ้าของร้าน ทำฉันลดสายตาจากภาพสงครามหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวมายังป้าสูงวัย หรืออีกนัยหนึ่งก็เจ้าของร้านนั่นแหละ
“ป้าไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวค่าเสียหายผู้ชายคนนั้นจ่าย” ฉันบอกพลางชี้นิ้วไปยังคำราม และ รีบลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ใช้มือประคองกึ่งดันตัวป้าแกให้กลับไปยังหลังร้าน เพราะไม่อยากให้โดนลูกหลงไปด้วย แต่ว่า
ฟึ่บ!
กลับกลายเป็นว่าฉันโดนแทน
วัยรุ่นท่าทางเอาเรื่องที่ถูกคำรามซัดหน้าด้วยเก้าอี้ ไม่รู้ว่าลุกจากพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาอาศัยจังหวะช่วงที่คำรามกำลังนัวหมัดซัดหน้าเพื่อนตัวเองพุ่งเข้ากระชากปลายผมฉันอย่างแรง ก่อนจะดึงไปจับกุมไว้แทนตัวประกัน อีกทั้งยังตะคอกเสียงข่มขู่ วินาทีเดียวกับที่คำรามซัดร่างของชายอีกคนลงไปนอนกองกับพื้น
“เฮ้ยหยุด ถ้าไม่อยากให้อีนี่เจ็บตัว!”
ฉันเหลือบมองเสี้ยวหน้าคนดังกล่าวอย่างนึกหงุดหงิด เอาเข้าจริงฉันพอเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาเยอะ ส่วนมากวิธีการแบบนี้มักจะเป็นหนทางของพวกขี้ขลาดแต่หวงศักดิ์ศรีงี่เง่าของตัวเอง จนสามารถทำทุกอย่างได้โดยไม่คำนึงถึงคนรอบข้าง
ช่วงที่พี่โซลไล่ตีกับคนอื่นไปทั่ว ฉันเลยมีโอกาสผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาบ่อยและโคตรจะชอบไม่เอาเสียเลย...
ไม่ใช่ไม่ชอบวิธีการจับตัวประกันใช้เป็นข้อต่อรองแต่ฉันไม่ชอบให้ใครเล่นผม!
ไอ้สวะหวงศักดิ์ศรีบังคับตัวฉันเดินก้าวไปข้างหน้าขนาบข้างกับโต๊ะก๋วยเตี๋ยว พอเหลือบมองที่มือมันแล้วฉันถึงได้พบว่าเขาพกอาวุธเป็นมีดพก
พกอาวุธเพื่อใช้ป้องกันตัวเองแต่ก็ยังปากดีข่มขู่ น่าสมเพชไหมล่ะ...
ฉันละสายตากลับไปที่หน้าคำรามที่กำลังยกหลังมือขึ้นปาดคราบเหงื่อบริเวณขอบปาก เขาไม่ได้ตอบโต้วาจาใด เขาใช้เพียงแค่แววตานิ่งๆ สายตาของปีศาจมองจ้องกลับมา วินาทีเดียวกันนั้น ผู้ชายที่เพิ่งจะถูกเขาซํดหน้าจนหมอบก็ทำท่าจะลุกขึ้นมาเป็นหนที่สอง
“เฮ้ย! จับแม่งไว้อยากรู้ว่าจะเจ๋งมากแค่ไหน!!” ฉันกลอกตาอย่างนึกเอือมระอาความคิดพวกผู้ชายที่เน้นการกระทำมากกว่าใช้สมอง โดยเฉพาะกับชายคนนี้ที่กำลังจับตัวฉันไว้
แลดูไร้สมองยิ่งกว่าใคร...
ผัวะ! พลั่ก!
คำรามเองก็เป็นอีกคนที่ดูหวงศักดิ์ศรีไม่แพ้ใคร ทั้งที่ถูกข่มขู่โดยมีฉันเป็นเงื่อนไขให้ยอมแพ้ เขาก็ไม่สนใจ ยังหันไปซัดหมัดใส่หน้าชายที่ทำท่าจะเข้ารวบตัวเขาไว้อยู่ดีราวกับไม่อยากให้ใครแตะเนื้อต้องตัว
ไม่รู้เพราะหวงศักดิ์ศรีหรือเขากำลังคิดว่าถ้าฉันตายมันก็ไม่น่าเสียดายกันแน่
หึ! ถ้าฉันต้องมาตายเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ ชีวิตในนรกของเขาก็หมดสนุกน่ะสิ
คิดได้เช่นฉันจึงลดสายตากลับมายังมีดพกในมือของชายคนเดิมอีกครั้ง สังเกตได้ว่ามือของชายที่จับตัวฉันไว้มันสั่นแต่ปากยังตะโกนข่มศัตรูไม่เลิก
ฉันจ้องมีดพกในมือ มองอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเขาค่อยๆ ลดมันลง เมื่อสบโอกาสฉันจึงไม่รอช้ากระทืบใส่เท้าของมันไปอย่างเต็มแรงก่อนจะสะบัดตัวด้วยเรี่ยวแรงที่มีพุ่งมือคว้าแก้วพริกป่นบนโต๊ะแล้วสาดมันใส่ตาของผู้ชายน่ารังเกียจทันที
ฟึ่บ!!
“เฮ้ย! เชี่ยยย พริกป่น!” รอยยิ้มกระตุกยิ้มเมื่อเห็นภาพน่าสมเพชเวทนาของชายตัวใหญ่ที่เริ่มร้องครวญด้วยความเจ็บแสบและทรมานพลางพยายามปัดเศษพริกที่กระจายไปทั่วบริเวณ แต่ก่อนที่เขาจะได้ถามหรือทำอะไรไปมากกว่านี้ ฉันจึงชิงถามก่อน
“กินข้าวมาหรือยัง?” คนถูกถามไม่ตอบได้แต่พยายามสะบัดตัวและยกแขนปัดเศษพริกป่นซึ่งกำลังทำให้ตัวเขาปวดแสบปวดร้อน แต่นั่นมันก็แค่คำถามตามมารยาทเท่านั้นแหละ
มือข้างถนัดก้มหยิบชามก๋วยเตี๋ยวที่ยังไม่แตกจากพื้นขึ้นไว้กับตัวก่อนตามด้วยคำถามต่อมา
“กินเตี๋ยวมะ?”
เพล้ง!!!
มือไปไวพอๆ กับคำถามที่ถูกเอ่ยออกจาก หยิบชามกระเบื้องที่ถือติดมือมาหวดเข้าใส่หน้าของชายคนเดิมอีกครั้งอย่างเต็มแรง จนมันเซถอยหลังครวญซี๊ดด้วยความเจ็บปวด
‘มึงไม่ใช่ลูกกู!!’ เสียงของแม่ที่แว่วดังเข้ามาในหัว คล้ายกับยาหลอมละลายความคิดผิดชอบชั่วดี โดยเฉพาะกับคำพูดที่เหมือนต้องการให้ฉันตายอยู่ตลอดเวลา
‘ไปตายซะ! อีหอม ไปตายซะ!!’ ยิ่งคิดมือก็ยิ่งไขว้ขว้าเข้าหาของบางอย่างเพื่อใช้ปกป้องชีวิตของตัวเองอยู่บนโลกสีหม่นๆ ใบนี้
รู้ไหม... ฉันอยากบอกแม่เหมือนกัน ว่าคนอย่างน้ำหอมตายไม่ได้หรอก
ฉันคว้าเข้ากับเก้าอี้ไม้ทรงเตี้ยตัวเล็กน้ำหนักเหมาะมือ สายตาจับจ้องไปยังร่างของผู้ชายตรงหน้า พร้อมกับเสียงไล่ให้ไปตายของแม่ที่ดังขึ้นมาอีกครั้งในหัว
‘ไปตายซะ อีหอม!’ มันพลอยให้ฉันบันดาลโทสะคว้าเก้าอี้ที่จับไว้ในมือหวดเข้าใส่ร่างของชายคนเดิมอีกครั้งอย่างไม่ยั้งแรง พร้อมกับคำตอบในใจที่อยากบอกแม่มาตลอด
หอมยังตายตอนนี้ไม่ได้หรอกแม่ ถ้ายังไม่ได้ฟังคำบอกรักที่จริงใจจากปากแม่สักครั้ง!
ผัวะ!!!
-KHAMRAM TALK-
พลั่ก!
หมัดหนักๆ ถูกซัดใส่หน้าพวกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้มันหยุดกำเริบเสิบสาน สงบปากสงบคำลง จากนั้นจะได้หันไปจัดการกับไอ้เวรอีกตัวที่ใช้ผู้หญิงเป็นโล่กำบังภัย
ทว่า...
วินาทีที่ผมยกหลังมือปาดคราบเหงื่อบนปลายจมูกแล้วหันกลับไปมองภายในร้านก๋วยเตี๋ยวอีกครั้ง เพื่อดูลาดเลา
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเวลานี้คือภาพของหญิงสาวในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทสวมทับด้วยเสื้อยีนแขนยาวพับถึงศอก ดูเข้ากันดีกับกางเกงเอวลอยขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ เธอดูไม่ต่างจากวันแรกที่เราได้เจอกันเลยสักนิด โดยเฉพาะกับสีหน้าเอาจริงเอาจัง ไม่อ่อนด๋อย สมเป็นโจทก์ตัวสำคัญอีกคนของผมเลยก็ว่าได้
เพล้งง!!
ทุกการเคลื่อนไหวและสิ่งที่เธอแสดงออกไม่เคยปรากฏแววตาบ่งบอกความหวาดกลัวให้เห็นเลยสักครั้ง เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เคยเจอ ไม่ขี้ขลาด ไม่งี่เง่า และกล้าทำไปหมดทุกอย่าง...
แม้ว่าจะถูกกดดัน ถูกบีบ ให้กลายเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาใคร แต่นัยน์ตาคู่สวยนั่นกลับไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น สายตาแบบนั้นของเธอผมเห็นบ่อยจนชิน จนรู้สึกว่าเธอดูไม่เหมาะกับน้ำตาสักเท่าไหร่
แม้จะเห็นบ่อยแต่กลับไม่ยักรู้สึกเบื่อ...
‘ครับ งั้นเรามาฟังเพลงต่อไปกันเลยดีกว่า...’ เสียงของดีเจจัดรายการวิทยุดังลอดผ่านลำโพงวิทยุภายในร้านก๋วยเตี๋ยว ท่ามกลางเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมสามารถเบนสายตาไปทางอื่นได้เลย
‘จากรอยยิ้มที่เธอส่งมา จากเวลาที่เราใกล้กัน จับมือเธอไว้ข้างใจฉัน...แค่นาที~’
เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ ผู้หญิงที่สามารถเก็บความคิดและความรู้สึกของตัวเองไว้ได้มากขนาดนี้ แถมยังเป็นตัวของตัวเอง ไม่ก้มหัวง้อใคร
‘เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอน14 ตอนที่ฉันมีแฟนคนแรก~’
ความสวยของเธอส่วนหนึ่ง ความซิงของเธอก็ใช่ แต่ที่ดึงดูดให้สนใจจนไม่สามารถละสายตาได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คงจะเป็น..
ผัวะ!!
“อั่ก!” วินาทีที่เจ้าของใบหน้าสวยๆ บันดาลโทสะหวดเก้าอี้ไม้ขนาดเล็กในมือฟาดหน้าโจทก์ที่เข้ามาระรานเราทั้งคู่จนเลือดของไอ้เวรนั่นกระเด็นเปื้อนแก้มเธอนั่นแหละ
‘ลึกๆข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกๆ เธอรู้ไหมฉันเหมือน 14 อีกครั้ง~’
แม่งสะกดใจผมฉิบหาย...