วันต่อมา...
“อ้าว พวกลูกจะออกไปไหนกันอีกแล้ว?”
เสียงทักของคุณน้าซึ่งแฝงไว้ด้วยความดีใจดังขึ้นในช่วงบ่ายของวันต่อมา ทันทีที่ฉันเดินถือหมวกกันน็อกของคำรามเดินออกมาที่หน้าบ้าน โดยที่ลูกชายของท่านเดินไปจัดการกับมอเตอร์ไซค์
“หนูจะไปโรงพยาบาลน่ะค่ะ น้องไม่ค่อยสบาย” ฉันก็ว่าไปตามความจริง
“ดีจ๊ะ แม่เห็นหอมตัวติดกับพี่รามเขาได้แบบนี้ ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย” คุณน้าพูดด้วยน้ำเสียงโล่งอกพลางวางมือลงบนไหล่ฉันราวกับจะฝากฝัง “ตอนแรกแม่คิดว่าหอมจะเข้ากับใครๆ ไม่ได้เสียอีก เห็นอย่างนี้แม่ค่อยโล่งใจหน่อย”
นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีครั้งไหนทีคุณน้าไม่แทนตัวเองว่าแม่สักครั้งและนั่นมันเลยทำให้ฉันเกรงใจจำต้องเรียกท่านว่าแม่ตามไปด้วย
“แม่ฝากพี่รามด้วยนะลูก เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต้องรักกันนะรู้ไหม”
คำพูดประโยคนี้คุณน้าเคยพูดไว้ตั้งแต่วันแต่งงาน
“แม่ยินดีต้อนรับหอมเป็นลูกสาวแม่นะลูก” รวมไปถึงคำพูดประโยคนี้ด้วยเช่นกัน
ถ้าต้องพูดว่า ‘หนูเกลียดลูกชายแม่ค่ะ’ มันคงดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
หรือจะพูดว่า ‘ลูกชายแม่มันบัดซบและเลวบรม’ มันก็ดูจะเสียมารยาทเกินไป
‘ไว้หนูได้หลักฐานเอาผิดลูกชายแม่เมื่อไหร่ เตรียมตัวเสียเงินประกันไอ้เลวนี่ได้เลย หนูพร้อมหย่า!’ อันนี้ก็ฟังดูไม่เลวนะว่าไหม?
แต่สุดท้ายทั้งหมดนั่นมันก็แค่ความคิด เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่หลุดจากปากฉันมีเพียงวลีสั้นๆ ราวกับรับรู้และรับฟังทุกคำพูด
“ค่ะ คุณแม่” พอรับคำเสร็จ คำรามก็เตรียมรถเสร็จพอดี ฉันจึงรีบยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนหันหลังเดินไปหาคำรามที่รออยู่
หมวกกันน็อกเต็มใบถูกยื่นส่งให้กับคนขับก่อนจะพาตัวขึ้นคร่อมซ้อนท้ายเหมือนอย่างเวลานั่งวินมอเตอร์ไซค์ มือพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมพร้อมเพื่อส่งข่าวคราว
น้ำหอม :: กำลังจะไปโรงพยาบาล
ศิลป์ :: เจอกัน
เมื่อแจ้งข่าวเสร็จฉันก็รีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงทันที จังหวะเดียวกันนั้นคำรามก็เริ่มเบิ้นเครื่องยนต์ ก่อนบิดพาเราออกไปจากบริเวณตัวบ้าน
ตลอดทางที่นั่งซ้อนท้ายคำรามนั้น เราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันประหนึ่งเป็นคนแปลกหน้า ไม่ได้กอดเอวหรือจับชายเสื้อเขาอย่างที่ควรจะทำ จนกระทั่งในหัวนึกถึงสิ่งที่คุยกับศิลป์ตอนเข้าห้องน้ำเมื่อวานขึ้นมาได้
น้ำหอม :: อยู่ๆแม่งก็อยากไปส่งขึ้นมา แบบนี้เรียกว่าไร?
ศิลป์ :: เฮ้ยเข้าข่ายอยู่
น้ำหอม :: เข้าข่ายคือ?
ศิลป์ :: มีแนวโน้มว่าจะจีบมั้งนะ
น้ำหอม :: แล้วต้องทำไงต่อ?
ศิลป์ :: หลักสูตรเฮียโซลไง ใช้ร่างกาย ลองดู
ศิลป์ :: ถึงเนื้อถึงตัว แล้วดูปฏิกิริยา
ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ กลอกตาอย่างนึกเซ็งเมื่อคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป เพียงเสี้ยววินาทีฉันก็เลยลองทำดู แขนสองข้างโอบเข้ารอบเอวคนตัวใหญ่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบาแม้ลึกๆ จะรู้สึกขนลุกมากถึงมากที่สุดก็ตาม ก่อนเริ่มกระชับกอดรอบกายเขาแน่นขึ้น
วูบหนึ่งที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบโต้อ้อมกอดฉันด้วยการเกร็งตัว แต่นั่นมันก็แค่ครู่เดียว ไม่ได้แสดงออกหวือหวาอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้กอด
แบบนี้มันเรียกเข้าข่ายเหรอวะศิลป์!?
เมื่อรู้สึกว่ามันไม่เข้าข่ายตามอย่างที่ศิลป์ว่า ฉันจึงตัดสินใจคลายอ้อมกอดออก เพราะลึกๆ ก็ใช่ว่าพิศวาสอยากจะกอดเสียที่ไหน ทว่า
หมับ!
คำรามกลับใช้มือข้างหนึ่งลดมาคว้ามือฉันไว้โดยใช้มีเพียงข้างเดียวในการกระคองรถขับไปบนถนน การกระทำที่ปุบปับ ทำฉันพยายามสะบัดมือซึ่งถูกเขาคว้าไว้ ส่วนปากก็ว่า
“ปล่อยดิ!” ยิ่งว่าเขาก็ยิ่งกุมกระชับมือฉันแน่นขึ้นตามนิสัยยียวน และอาศัยในช่วงที่รถจอดติดไฟแดง เปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้นแล้วหันมาพูดกับฉันด้วยเสียงที่ไม่ดังหรือเบาจนเกินไป
“กอดไว้...จะได้ไม่ตก”
คำพูดนั่นทำฉันนิ่งไป แต่ยังไม่ทันได้ต่อว่าหรืออ้าปากสวนอะไรกลับไป สัญญาณไฟจารจรก็เปลี่ยนสีเสียก่อน ทำให้คำรามกดปิดกระจกหมวกกันน็อกลงอีกครั้ง และบิดรถไปบนถนนด้วยมือเพียงข้างเดียว
พอเห็นเขาทำแบบนั้นแล้ว บางทีมันอาจจะเข้าข่ายแล้วก็ได้ล่ะมั้ง...
เวลาต่อมา
โรงพยาบาลเอกชน B
ความจริงแล้ววันนี้ฉันมีแผนอยู่สองแผน แผนแรกคือแผนของศิลป์ ส่วนแผนที่สองเป็นของฉันเอง เนื่องจากคำรามไม่รู้มาก่อนว่าหวานหวานเป็นน้องสาวของฉัน อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าพาเขาขึ้นไปเจอหน้ากับหวานหวานโดยตรงผลมันจะเป็นบวกหรือลบ
และนี่คืออีกเหตุผลที่ฉันยอมให้เขาพามาส่ง
“ปล่อยได้ยังมืออ่ะ?” ฉันเหน็บเมื่อรถหยุดจอดบริเวณจุดจอดรถจักรยานยนต์ตามที่ได้นัดแนะกับศิลป์เอาไว้ นั่นเลยทำให้คำรามสะบัดมือฉันออกจากตัวทันที พร้อมทั้งบ่นพึมพำผ่านหมวกกันน็อกใบโต ชนิดที่จงใจให้ได้ยิน
“คิดว่าอยากจับมากไง ทำเป็นเล่นตัว” ฉันกระตุกปากอย่างนึกหมั่นไส้ รีบกวาดขาลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยปากชวน
“ถ้าไม่ได้ไปไหน ขึ้นไปเยี่ยมคนป่วยด้วยกันป่ะ?”
“ไม่ไป” เขาตอบเสียงแข็งแต่ไม่ยักจะยอมถอดหมวกกันน็อกออกสักที
“ไม่ไปจริงๆ เหรอ? เผื่อแม่บุญธรรมฉันอยากเห็นหน้า...ลูกเขย~” เชี่ย! พูดเองยังขนลุกเอง
“ใส่หมวกกันน็อกเข้าไปด้วยได้ป่ะ?” เขาถาม
“อย่าเยอะ จะไปไม่ไป” พอพูดดีด้วยเข้าหน่อย ทำลีลา
“จะใส่หมวกเข้าไป มันมีปัญหาอะไรล่ะ!?”
“เยอะ!”
“เยอะห่าไร แค่หมวกใบเดียว!!” เขาเถียง
แก่แล้วยังเสือกเรื่องมากอีก!
“ถ้าจะตามมา ฉันอยู่ห้องผู้ป่วยชั้น 17 ห้อง 2 จำได้ป่ะ?” เพราะไม่ใช่คนอดทนกับอะไรได้นาน ฉันจึงเลือกที่จะบอกเลขห้องแทนที่จะทนสู้กับความเรื่องมาก “ถามเนี่ยตอบดิ!”
“เออ จำได้น่า!”
“ก็ดี นึกว่าโง่!” ฉันกระแทกหมวกกันน็อกของตัวเองลงกับเบาะหลัง ก่อนจะรีบเดินปลีกตัวออกจากบริเวณจุดจอดมอร์เตอร์ไซค์ เชื่อได้เลยว่า ถ้าฉันยังยืนอยู่ตรงนั้น มีหวังได้ยืนต่อปากต่อคำกับเขายันหัวค่ำแน่ๆ
แต่การมาเยี่ยมคนป่วยโดยไม่มีของติดไม้ติดมือมาเลยมันก็ดูจะน่าเกลียดเกินไปหน่อย เพราะงั้นฉันจึงแวะซื้อขนมปังจากร้านเบอเกอรี่หน้าลิฟซ์ติดมือขึ้นไปยังห้องพักผู้ป่วยด้วย โดยหวังไว้ลึกๆ ว่าหวานหวานอาจจะเริ่มดีขึ้นบ้าง
กริ้ง!
ทันทีที่ประตูลิฟซ์เปิดออก ฉันก็รีบเดินไปยังห้องที่เป็นจุดหมายทันที ทว่า วันนี้มีบางสิ่งบางอย่างสะดุดตา เพราะบริเวณพื้นที่กว้างสำหรับรับรองแขกหน้าเคาน์เตอร์ มีชายวัยรุ่นสักเต็มตัวนั่งอยู่ด้วย พวกเขาไม่ทันเห็นฉันหรอก ซึ่งถ้ามองดีๆ แล้ว ถ้าจำไม่ผิด พวกเขาน่าจะเป็นเด็กที่ร้านสักของพี่โซลนั่นแหละ
ถ้าเด็กที่ร้านอยู่ที่นี่ งั้นก็แปลว่าพี่โซลมาเยี่ยมหวานหวานเหรอ?
ด้วยความดีใจ ฉันจึงค่อยๆ ผลักประตูห้องพักผู้ป่วยที่เป็นเป้าหมายเข้าไปอย่างเงียบเชียบและเบามือที่สุด เพื่อหวังเซอร์ไพรส์คนที่อยู่ภายใน แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
พี่โซลมาเยี่ยมหวานหวาน...
“หวาน หวานจำได้ไหมว่าใครทำหวาน...” ฉันแอบยืนมองพี่โซลที่พยายามทวนความจำน้องสาวฉันด้วยความปลาบปลื้ม และอดคิดไม่ได้ว่าช่วงที่ฉันไม่ได้มาเยี่ยมเขาอาจจะมาช่วยดูหวานหวานแทนคุณป้าอยู่บ้างเหมือนกัน
“หวานมองหน้าพี่สิ...” พี่โซลใช้น้ำเสียงในโทนที่ต่างจากการพูดคุยกับคนอื่นในการชวนหวานหวานคุย เขาใช้มือประคองใบหน้าน้องสาวฉันให้หันกลับมามองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มใจดี ในแบบที่ฉันไม่เคยเห็น “ จำได้ไหมว่าพี่เป็นใคร? ”
“พะ..พี่...พี่โซล” หวานหวานตอบคำถามของเขาแบบไม่เต็มเสียงนัก นัยน์ตาคู่สวยของเธอยังเลื่อนลอยเสมือนไม่อยากรับรู้สิ่งใด แต่คำตอบดังกล่าวกลับทำให้คนฟังยิ้มกว้าง และใช้มือข้างที่เหลือยีหัวเธออย่างเอ็นดูและเอ่ยถามคำถามต่อมา
“พี่โซลเป็นใคร หวานจำได้ไหมคะ?”
บางทีฉันก็รู้สึกอิจฉาหวานหวานเหมือนกันนะ เวลาที่เธอเป็นแบบนี้ เธอกลับได้รับความใจดีจากพี่โซลไปจนหมด แต่ไม่นานความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ ในใจกลับต้องเปลี่ยนไป เมื่อหวานหวานไม่ยอมตอบคำถามใดของพี่โซล และมันก็เป็นเขานั่นแหละที่ให้คำตอบของคำถามตัวเอง
“นี่พี่โซลแฟนหวานไง...หวานจำพี่ได้ไหมคะ?”