EP06
-ฆ่าเมียครั้งที่6-
เช้าวันต่อมา ฉันตื่นขึ้นเพราะมีที่ที่หนึ่งต้องการจะไป
และเหมือนทุกวันที่ตื่น คำรามก็มักไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหน ไม่ได้สนใจ อีกอย่างการที่เขาหายไปแบบนี้มันก็ดี ไม่รกลูกตา
ฉันใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าราวๆ 15 นาทีก่อนพาตัวเองออกจากห้องลงไปยังชั้นล่างของบ้าน และดูเหมือนว่าวันนี้ภายในบ้านค่อนข้างจะเสียงดัง
“รามเป็นผู้ชายนะลูก จะแกล้งน้องแบบนั้นไม่ได้”
ฉันได้ยินเสียงคุณน้าดุลูกชายบุญธรรมของตัวเองและตามด้วยเสียงของคนถูกว่า
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อยแม่ เราก็แค่เล่นกัน”
“เล่นอะไรเสียงดังมาถึงห้องแม่เลย แล้วหน้าน่ะไปโดนอะไรมา มีเรื่องมาอีกแล้วใช่ไหม?”
“รถล้มเฉยๆ หรอกแม่”
“อย่ามาเถียงแม่นะราม แม่เลี้ยงเรามานะ แล้วที่มีเรื่องเนี่ยโตไปด้วยหรือเปล่า!?”
“โตเปล่าแม่ ไอ้รามทำคนเดียว” เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว ฉันจึงเลี่ยงที่จะเดินไปทางต้นเสียงจากบริเวณห้องครัว รีบก้าวเท้าไปที่ประตูหน้าบ้านแต่...
“น้ำหอมลูก!” สุดท้ายก็ถูกคุณน้าเรียกตัวไว้จนได้ “มาหาแม่ในครัวหน่อย”
ฉันกลอกตาอย่างนึกเซ็งๆ แต่ก็ปฏิเสธที่การเข้าหาไม่ได้ จำต้องปล่อยมือจากลูกบิดประตูเดินย้อนกลับไปยังห้องครัว ที่ตรงนั้นพอโผล่หน้าเข้าไป ฉันก็ถูกนัยน์ตาปีศาจสองคู่จ้องมองทันทีอย่างพร้อมเพรียง
“โตไปล้างรถก่อนนะ สิบโมงมีนัดกับลูกค้าที่ร้าน” โตชิงหาเรื่องหนีออกไปจากบริเวณนั้นก่อนใคร ฉันรู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าฉัน เพราะฉันเองก็ไม่ชอบหน้าเขาเหมือนกัน!
แต่การชิงหนีไปไม่ใช่กับคำราม เพราะเขายังยืนมองฉันตาขวางข้างโต๊ะอาหารแบบไม่ชอบใจ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณแม่?” ฉันถามตามมารยาท ทั้งที่ใจอยากรีบออกไปจากบ้านหลังนี้สักที
“เมื่อคืนหนูกับรามทะเลาะกันเหรอลูก?” พอได้ฟังคำถามสายตาก็เหลือบมองคนตัวสูงข้างๆ ทันที คำรามทำหน้าเหมือนเบื่อโลก ประหนึ่งเป็นผู้ร้ายที่โดนจับได้
“เปล่านี่คะ...” ส่วนนี่คือคำตอบของฉัน เพราะรู้ว่าถ้าตอบความจริงไป คุณน้าคงรั้งตัวไว้แล้วสวดคำรามให้ฉันฟังแน่นอน
ซึ่งมันจะทำให้ฉันเสียเวลา...
“เมื่อคืนเราแค่เล่นกันค่ะ ขอโทษนะคะที่เสียงดัง”
“จริงเหรอ?” คุณน้าถามอย่างไม่เชื่อ
“โธ่ ก็จริงสิแม่” แต่คนตอบคำถามดังกล่าวไม่ใช่ฉันหรอก แต่ว่าเป็นผู้ชายที่พร้อมจะหาทางให้ตัวเองพ้นผิดโดยอาศัยคำตอบของฉันต่างหาก “เราแค่เล่นกัน รามก็บอกแม่ไปแล้ว”
เขาไม่ใช่แค่พูดแต่ยังยืนยันความบริสุทธิ์ใจจอมปลอมของตัวเองด้วยการถือโอกาสคว้ามือรั้งเอวฉันให้เขยิบเข้าไปแนบชิดกับตัวเอง
“รามจะไปแกล้งน้องทำไม เรารักกันจะตาย เนอะ...” แถมยังมีหน้ายิ้มละมุนละไม สร้างภาพ หันมาถามความเห็นจากฉันอีก
“ดีแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องรักกันอย่าทะเลาะกัน” คุณน้าบอกแบบนั้นก่อนหันไปจัดเตรียมกับข้าวบนเคาน์เตอร์ เมื่อสบโอกาส ฉันจึงไม่พลาดใช้ช่วงเวลาที่คุณหน้าหันหลัง กระทืบแรงๆใส่เท้าของคนตัวสูงข้างกายทันทีเพื่อให้เขาปล่อยมือจากเอวอย่างนึกรังเกียจ
ตึงง!!
“s**t!!” แน่นอนว่าเขาสบถออกมาดังลั่น รีบปล่อยมือออกจากเอวฉันทันที แต่ก่อนที่คำรามจะได้เอาคืนอะไร จังหวะเดียวกันนั้นคุณน้าเองก็หันกลับมามองเราทั้งคู่ด้วยสีหน้าสงสัยพร้อมคำถาม
“นั่นเสียงอะไร คำรามเป็นอะไรลูก?”
ฉันเหลือบมองสีหน้ากลั้นเจ็บของเขาเล็กน้อยพลางเหยียดยิ้มมุมปากด้วยความสะใจก่อนให้คำตอบแทนคนถูกถาม
“คำรามเตะโต๊ะมั้งคะคุณแม่...”
คำรามถลึงตาใส่ฉันท่าทางเอาเรื่อง แต่ก็ทำได้แค่นั้นเพราะเราทั้งคู่ยังอยู่ในสายตาของคุณน้า
“ ถ้ายังไงหนูขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีธุระช่วงเช้านิดหน่อย ”
“จ๊ะ แล้วอย่ากลับบ้านดึกล่ะ”
“ค่า!” ฉันแสร้งทำเป็นรับคำเสียงใสก่อนจงใจสะบัดปลายผมยาวใส่หน้าของคำรามอย่างจงใจเมื่อหลุดสู้อิสระ ทว่า
“ราม น้องจะไปธุระที่ไหน ทำไมไม่ส่งน้องล่ะลูก”
กึก!
เท้าฉันกลับต้องสะดุดลง ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะคำพูดของคุณน้าอย่างเดียว แต่เพราะผู้ชายซึ่งถูกแม่ของตัวเองออกคำสั่งพุ่งมือมารั้งแขนฉันเอาไว้แทบจะทันที เหมือนเตรียมพร้อม
“รามก็คิดจะไปส่งน้องพอดี” ตัว ฉันถูกกระชากให้หันกลับไปตามแรงรั้งก่อนพบว่าคำรามในเวลาดูจะพอใจที่ถูกแม่ใช้แบบนั้น ถึงขั้นสร้างภาพรับคำอย่างเต็มปากเต็มคำพร้อมรอยยิ้มบ่งบอกความเลวบนดวงหน้า
ไม่ใช่แค่นั้นแต่ยังพูดด้วยประโยคต่อมาซึ่งแฝงไว้วยหลากหลายความรู้สึกและการเอาคืน
“ป่ะน้องหอม...เดี๋ยวพี่รามไปส่งนะจ๊ะ”
ฟึ่บ!
“อะ...” เพราะถูกจับตามองอยู่ฉันจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามแสร้งยิ้มรับน้ำใจลวงโลกและปล่อยให้ผู้ชายน่ารังเกียจกึ่งดึงกึ่งลากพาออกไปจากห้องครัว ทุกวินาทีที่เขาบีบแขนฉันเริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขากำลังโกรธจัด
และเมื่อรู้สึกว่าเริ่มปวดจนทนไม่ไหวฉันเลยตัดสินใจสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุด
“อย่ามาจับ!” ฉันตะคอกเขาด้วยระดับเสียงที่มีแค่เราเท่านั้นที่ได้ยิน มันคงไม่ดีเท่าไหร่ หากคุณน้าจะได้ยินอะไรแบบนี้ไปด้วย
“หวงเนื้อหวงตัว?” เขาย้อน “จูบก็จูบกันมาแล้ว แค่นี้ทำหวงตัว?”
ให้ตายสิ! ทำไมฉันถึงเกลียดขี้หน้าเขาได้ขนาดนี้นะ
“คิดว่าซิงนิดซิงหน่อยจะเล่นตัวยังไงก็ได้ว่างั้น?” นิสัยไม่เคยให้เกียรติใครของเขามันทำให้ฉันเอือมระอา จนต้องเมินหน้าหนี เลือกที่จะหันหลังเดินออกมา ดีกว่าทนเสียเวลาต่อปากต่อคำอย่างไม่สิ้นสุด แต่...
“เฮ้ย!” เขายอมหยุดซะที่ไหน ลับหลังแม่ทีไรหมอนี่ชอบหาเรื่องก่อนทุกที
แต่เสียงตะคอกเรียกดังกล่าวไม่ได้ทำให้ฉันหยุดและยอมกลับไปต่อปากต่อคำด้วยหรอกนะ แต่ยิ่งเป็นตัวให้ก้าวเดินออกจากบ้านเร็วขึ้น เพราะเลี่ยงความน่ารำคาญในชีวิตลง ทว่า
“เมื่อคืนที่จูบอ่ะ ไม่ได้ตั้งใจเว้ย!”
เขากลับตะโกนไล่หลังออกมาเสียงดังลั่นบ้าน แถมเสียงเขามันก็โคตรจะดัง ดังชนิดที่ว่าเพื่อนบ้านซึ่งกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ถึงขั้นทำสายยางหลุดมือ และนั่นก็รวมถึงเป็นการเรียกสายตาของปีศาจอีกตัวซึ่งกำลังนั่งล้างรถอยู่บริเวณหน้าบ้าน ให้มองมาทางเราทั้งคู่
ทั้งที่คิดว่าเขาน่าจะหยุดแล้วแต่คำรามกลับไม่หยุด ยังคงตะโกนเสียงดังย้ำประโยคเดิม
“ที่จูบอ่ะ เพราะเมาเว้ย!” พอเจอคำพูดนั่นเข้าไป อีกทั้งยังมีสายตาของโตที่มองมาจากข้างรถมอเตอร์ไซค์ ทั่วหน้ามันก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ที่บ้าสุดๆ ก็คือฉันดันนึกถึงเรื่องที่เขาพลาดทำเมื่อคืนขึ้นมาเสียได้ แต่ก็รู้สึกแบบนั้นได้ไม่นานนักหรอก เมื่อเจอประโยคต่อมา
“อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย ใครอยากจูบเธอวะ มีดีอย่างเดียวก็แค่ซิงเท่านั้นแหละ!!”
สองมือกำแน่นกักกลั้นความอายก่อนรีบพาตัวเองจ้ำเท้าเดินไวออกจากบริเวณพื้นที่ตัวบ้านทันที
ไอ้เวรนั่น ชักจะหยามหน้ากันเกินไปหน่อยแล้ว...
ที่สำคัญแล้วมันจะตะโกนหาพ่อ**ง!
ทั้งที่คิดว่าเดินพ้นรั้วบ้านออกมาแล้ว ชีวิตฉันจะสงบลงแต่เปล่าเลย
พูดก็พูดเถอะ ฉันเพิ่งจะเคยสัมผัสเจ้ากรรมนายเวรตัวเป็นๆ ก็วันนี้ เพราะเดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ด้านหลังก็มีเสียงเบิ้นเครื่องยนต์ขนาดเล็กดังกระหึ่มไล่หลังมา
ฉันไม่ได้หันมองไปยังต้นเสียงเพราะคิดว่าอาจเป็นพวกกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบซิ่งรถท้ายหมู่บ้าน จนกระทั่งเสียงเบิ้นเครื่องยนต์ได้ตามหลังเข้ามาใกล้และชะลอความเร็วลงตามระยะการก้าวเท้าของฉัน
“เฮ้ย! ขึ้นรถ” คำรามเปิดกระจกหมวกกันน็อกเหลือบมองฉันสลับกับทางข้างหน้า โดยประคองแฮนด์รถเอาไว้อย่างชำนาญมือ
“ไสหัวไป!”
“เดี๋ยวก็ชนแม่งเลย บอกให้ขึ้นรถ!” ด้วยความรำคาญฉันจึงรีบจ้ำเท้าเดินไวเพื่อหนี แต่เขาก็ยังบิดเร่งเครื่องมาขนาบข้างและตะคอกเสียงใส่ด้วยคำพูดเดิมๆ “เฮ้ย! หูตึงเหรอ!?”
ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่สามารถอดทนกับการตื้อได้นาน ในเมื่อฉันยังเดินเร็วหนี คำรามเองก็คงหยุดซึ่งมันก็ใช่ ฉันเดินตีห่างออกมา ส่วนเขาก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น
จนตอนนี้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเครื่องยนต์ที่บิดตามหลังมาเหมือนอย่างตอนแรก ราวกับเขาหายไป
ตึก! ตึก! ตึก!
ฟึ่บ! หมับ!
“อะ...”
แต่ฉันคิดผิด!
“เฮ้ยจะทำไรวะ!!?” ฉันโวยวายด้วยความตกใจอย่างขีดสุด เมื่อจู่ๆ ถูกมือดีพุ่งเข้ารวบตัวจากด้านหลังยกอุ้มจนตัวลอย สองมือตีสะเปะสะปะเพื่อให้เจ้าของการกระทำดังกล่าวยอมปล่อย ทว่า ฉันกลับต้องเจ็บมือเสียเองเพราะมือที่ฟาดลงไปกระทบเข้ากับหมวกกันน็อกเต็มใบที่เขาสวมอยู่
คำราม!
“ดื้อด้าน!” ฉันได้ยินเขาตะคอกเสียงผ่านหมวกกันน็อกต่อว่า แม้ฟังไม่ชัดแต่ก็พอจับใจความได้ “น่าฆ่าทิ้งนัก”
“เวรเอ้ย! ปล่อย!!” คนตัวใหญ่ไม่สนใจเสียงโวยวายและแรงดิ้นขัดขืนจากฉัน เขาแบกตัวฉันเดินย้อนกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่ดับเครื่องไว้ และยอมปล่อยลงในที่สุด
แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้ฉันได้มีโอกาสเดินหนีเป็นหนที่สอง
กึก!
คำรามทาบมือลงบนเบาะรถกักตัวฉันไว้ ใช้นัยน์ตาคมส่อแววหาเรื่องมองผ่านช่องหมวกกันน็อกออกมาก่อนเริ่มข่มขู่
“ขึ้นรถดีๆ จะไปส่ง...อย่าให้ต้องมีเสียน้ำตา”
“อย่าวุ่นวายได้ไหม ฉันมีปัญญาไปเอง!”
“รู้!”
“…”
“แต่...แม่บอกให้ไปส่ง”
เหอะ ! เชื่อเขาเลย คนที่รั้นและเลวยิ่งกว่าอะไรอย่างเขาเนี่ยนะ จะยอมทำตามคำสั่งขอแม่ตัวเอง ขอทีล่ะ นี่มุกใช่ไหม?
“สรุปจะไปไหน?” อีกครั้งที่คำรามถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป
“อยากไปส่งตามคำสั่งแม่ว่างั้น?” ฉันผลักอกเขาไม่แรงมาก ก็แค่ทำให้ระยะห่างระหว่างเราอยู่ในจุดที่สมควร และเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายเป็นหนที่สองและออกคำสั่ง “ฉันจะไปโรงพยาบาลบ้า จะพาไปไหม?”
ฉันหรี่ตามองนัยน์ตาคมอีกฝ่ายที่มองมา เขาดูนิ่งไปหรือไม่ก็อาจจะคิดว่ามันคือมุกสำหรับใช้ยียวน มันก็เหมือนหลายๆ คนที่เคยถามฉันนั่นแหละ เพราะเขาไม่พูดอะไรต่อจากนั้นฉันจึงตัดสินใจผละตัวออกจากรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดนิ่งสนิทเดินชนไหล่เขาออกไปโดยกล่าวทิ้งท้ายไว้สั้นๆ
“พาไปไม่ได้วันหลังก็อย่าสเหล่อถาม” ทว่าพูดจบ คำรามกลับอ้อมมือคว้าแขนรั้งตัวฉันไว้ พานให้ต้องหันขวับมองเขาอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายไม่ได้ไม่ได้หันมองฉันแถมไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนจงใจจะกักตัวฉันไว้เพื่อหาเรื่องต่อมากกว่า
“อะไรอีก!?” การที่เป็นเช่นนั้นมันเริ่มทำให้ฉันหงุดหงิดเพราะการเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ
“จะไปโรงพยาบาลบ้าไม่ใช่ไง?”
แต่นี่คือสิ่งที่เขาย้อนเมื่อถูกถาม
“ขึ้นรถดิ”
สุดท้ายฉันก็จำต้องซ้อนรถคำรามมายังสถานที่ที่เป็นจุดหมายในที่สุด มันแปลกที่เขาไม่ยียวนกวนประสารทฉันขณะขับรถ กลับกันมันก็ดีเพราะฉันก็ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเขาเหมือนกัน อีกอย่างการเดินทางมาโรงพยาบาลจิตเวชด้วยรถโดยสารมักจะกินเวลาเกือบ 40 นาที แต่วันนี้ฉันสามารถมาถึงสถานที่ที่เป็นเป้าหมายภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
“ให้รอไหม?” คำรามถามเมื่อล้อหยุดลงบริเวณหน้าทางเข้าตึกหน้า
“ไสหัวกลับไปเถอะ”
“ปากดี” เขาว่า ก่อนกลอกตามองไปรอบๆ แล้วหันกลับมาถาม “มารักษาอาการบ้าที่นี่บ่อยเหรอ?”
“เออ!!!” ฉันตอบกระแทกเสียงใส่เขาแค่นั้นก่อนสะบัดหน้าเดินจ้ำเท้าตรงเข้าสู้ตัวอาคารแบบไม่คิดจะหันกลับไปมองอีก เอาจริงๆ ฉันไม่ใช่คนเสียมารยาทต่อคนที่ให้ความช่วยเหลือหรอกนะ
หากหมอนั่นเก็บหมาในปากไว้บ้าง บางทีฉันอาจจะพูดขอบใจให้ฟังเป็นหูสักครั้ง
อ้อ! จริงสิ สารเลวเสียขนาดนั้นจะไปมีบุญเหลือได้ยังไงล่ะจริงไหม?
“สวัสดีค่ะคุณเวธกาใช่ไหมคะ?” เดินเข้าไปไม่เท่าไหร่ หญิงสาวในชุดนางพยาบาลสีขาวก็เดินเข้ามาทัก
“ค่ะใช่” ฉันยกมือไหว้ตอบรับคำทักทายดังกล่าวทันที
“วันนี้คุณแขอารมณ์ดีกว่าทุกวันเลยนะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
อารมณ์ดีกว่าทุกวันงั้นเหรอ มากี่ครั้งก็เห็นพูดแบบนี้
ฉันถูกนางพยาบาลต้อนรับพาตัวมายังพื้นที่รองรับผู้ป่วยทางจิตสถานเบา พื้นที่บริเวณเต็มไปด้วยคนป่วยซึ่งมีสติไม่สมประกอบนัก พวกเขาอยู่ในโลกส่วนตัว โลกที่คนนอกไม่สามารถเข้าถึง โลกที่พวกเขาจะมีความสุขโดยไม่ต้องเป็นกังวลอะไร ไม่เป็นอันตรายและสามารถเดินไปไหนต่อไหนก็ได้ภายในเขตที่กำหนดเอาไว้
แต่ว่าจุดหมายของฉันมันดันไม่ที่บริเวณนี้ แต่ต้องเดินลึกไปยังเขตของผู้ป่วยพิเศษ โดยเมื่อเข้าเขตพื้นที่ดังกล่าวเข้ามา จะมีบุรุษพยาบาลชายตัวใหญ่สองคนคอยเดินตามมาด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อคอยดูแลเพื่อมีเหตุฉุกเฉิน
“วันนี้คุณแขเธออารมณ์ดี เล่นกับตุ๊กตาและเรียกชื่อคุณตั้งแต่ตอนตื่นเลยนะคะ” นางพยาบาลคนเดิมบอกแบบนั้น ซึ่งฉันฟังมาจนเบื่อ
“เชิญครับ” บุรุษพยาบาลไขประตูเหล็กให้เปิดออกจนฉันสามารถมองเห็นหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงในชุดผู้ป่วยสีขาวสะอาดต่างจากคนป่วยทางจิตรายอื่นๆ ซึ่งจะสวมเสื้อผ้าเป็นสีฟ้าหรือสีชมพูแบ่งตามเพศ
เท้าฉันถูกตอกติดไว้บริเวณประตูห้องพักผู้ป่วยด้านใน ให้มองหญิงสาวคนเดิมซึ่งกำลังม่วนกับการเล่นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในอ้อมกอด
“หอมหิวแล้วใช่ไหมลูก...เดี๋ยวแม่หานมให้กินนะ คิกๆ” สายตาเองก็เหมือนถูกสั่งให้มองไปยังภาพตรงหน้าขณะที่มือสองข้างกำบีบแน่น ส่วนหูทำหน้าที่ฟัง “แม่กับพ่อรักหอมมากนะลูก...โตแล้วหอมต้องเป็นคนเก่งนะรู้ไหม…”
และทุกครั้งที่เราได้อยู่กันสองต่อสอง ฉันถึงสามารถกล้าที่จะเรียกผู้หญิงตรงหน้าได้อย่างเต็มปากว่า
“แม่...”
สิ้นเสียงเรียก รอยยิ้มของผู้หญิงที่ให้กำเนิดก็หุบลง
เธอเหลียวมองฉันอย่างช้าๆ ก่อนจะนิ่งไปแล้วเอ่ยถาม
“น้ำ...น้ำหอม น้ำหอมมาหาแม่ใช่ไหมลูก” ฉันเม้มปากลงเล็กน้อยกักกลั้นความรู้สึก เมื่อได้ยินเช่นนั้น
แม่รีบวางตุ๊กตาเด็กผู้หญิงในมือลงอย่างรีบร้อน ลุกจากเตียงคนป่วยตรงปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ฝ่ามืออุ่นของแม่เอื้อมเข้ามาหาและแตะลงข้างแก้มแผ่วเบา เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ฉันกลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่
“มะ แม่...กินข้าวหรือยัง” ฉันกลั้นเสียงสั่นๆ ของตัวเองถามออกไป ทว่า ตอนนั้นเองรอยยิ้มของแม่ก็หุบลงอีกครั้ง
“ไม่ใช่!! เธอไม่ใช่ลูกฉัน!!!”
พลั่ก!
ฝ่ามืออุ่นและความรักของแม่ที่ฉันโหยหามาตลอดเปลี่ยนไปกลายเป็นความรุนแรง เมื่อหญิงวัยกลางคนตรงหน้าใช้มือผลักตัวฉันอย่างแรงจนเซถอยหลัง
“ฮึก...แม่...นี่หอมเอง...น้ำหอมลูกแม่ไง”
“อีหอม! อีลูกทรพี!! มึงไม่ใช่ลูกกู!!!!” แม่โวยวายและพยายามทำร้ายฉันเหมือนอย่างที่ผ่านมา
แบบนี้ทุกครั้งและเป็นมาตลอดตั้งแต่จำความได้...
“ออกไป!!!!!” เสียงกรีดร้องอย่างคนเสียสติทำเอาบุรุษพยาบาลซึ่งรออยู่ด้านนอกรีบเปิดประตูเข้ามาดูเราสองคนแม่ลูกอีกครั้ง คนหนึ่งพุ่งตัวปราดเข้าจับแม่ให้สงบสติอารมณ์ลง
“อีหอม อีมารหัวขน ทำไมมึงไม่ตาย!!” ฉันยกมือปิดปากกลั้นน้ำตาเมื่อได้รับคำด่าทอ ก่อนตัดสินใจก้าวเท้าหันหลังจ้ำเท้าเดินสวนบุรุษพยาบาลอีกคนออกจากห้องพักผู้ป่วยพิเศษไปเพราะไม่อยากให้สถานการณ์วุ่นวายไปมากกว่านี้
โดยมีเสียงของแม่ตะคอกดังไล่หลังก้องไปทั่วโถงทางเดิน
“ไปตายซะอีหอม มึงทำลายชีวิตกู ไปตายซะ!!! ฮือออ”
ทุกครั้ง...ฉันต้องกลั้นน้ำตา ยามถูกแม่ไล่หรือด่าทอ แต่ทุกครั้งฉันก็ทำไม่ได้
สองมือยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ เดินก้มหน้าก้มตาไปตามทางเดินเพื่อพาตัวเองไปให้พ้นเสียงกรีดร้องสาปส่งของผู้เป็นแม่
ถึงแม้เหตุการณ์แบบนี้ฉันจะพบและเจอมาหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่ชิน
“ฮึก...”
ตึก! ตึก! ตึก!
ตุบ!
เพราะเอาแต่ก้มหน้าเดิน ฉันที่ไม่ได้ดูทางจึงเดินชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า และในตอนที่เงยหน้าขึ้นมอง เพื่อกล่าวคำขอโทษ ความรู้สึกกลับต้องเปลี่ยนไป เมื่อคนตรงหน้าดันเป็นใครคนหนึ่งซึ่งควรจะไสหัวไปจากที่นี่นานแล้ว
เขามองฉันเหมือนรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่และรู้อยู่แล้วว่าเราจะได้เจอกันพร้อมคำถาม
“เฮ้ย ร้องไห้เหรอ?”
เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่าเขาน่ะดื้อด้านจะตาย กล้าตามเข้ามาถึงในสถานพักผู้ป่วยพิเศษแบบนี้ ก็ลองคิดเอาแล้วกันว่าคนอย่างเขาน่ะเหรอจะยอมทำตามคำสั่งแม่ตัวเอง
“ไม่ใช่เรื่องของนาย อย่าเจ๋อ” ฉันบอกส่งๆ พลางเช็ดน้ำตาออกจากแก้มอีกครั้งและเตรียมที่จะเดินเลี่ยงออกไปเพื่อลดการปะทะ ความรู้สึกตอนนี้น่ะ ไม่พร้อมที่จะต่อปากต่อคำกับใครทั้งนั้น
แต่ คำรามที่ไวกว่ากลับดึงแขนฉันไว้
ฟึ่บ!
“เดี๋ยว!”
“...” และใช้นิสัยดื้อด้านของตัวเองเชิญชวนฉันให้เข้าร่วม
“หิวว่ะ ไปซัดเตี๋ยวข้างทางด้วยกันสักชามป่ะ?”
คนตัวสูงไม่ได้พูดแค่เพียงอย่างเดียว แต่กระตุกแขนให้เดินตามด้วย ซึ่งฉันเลือกที่จะยื้อแรงเขาไว้ แล้วมองกลับไปอย่างไม่ชอบใจ จนอีกฝ่ายหันมาโวยวาย
“อะไร!?”
“นายต้องการอะไร”
“เอ้า! โง่อีก” เขาสบถคล้ายกับเหนื่อยหน่ายจะตอบคำถาม “บอกว่าจะไปซัดเตี๋ยวไง ฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอหรือต้องพูดภาษาอังกฤษ?”
อะไรของเขา เรื่องเยอะ เจ้ากี้เจ้าการ แล้วยังจะปากดีอีก
“Go-to-eat-MAMA,Don’t-slow-dead-time!”
“อะไร?”
“ไปกินก๋วยเตี๋ยว อย่าชักช้า เสียเวลา!” เขาบอก
ฉันกลอกตาอย่างนึกเอือมระอากับภาษาอังกฤษชนิดดำขุดดำว่าย แถมยังมั่วอย่างสุดๆ ต่างจากคนพูดที่ดูมั่นใจสำเนียงและภาษาที่ใช้พูด แต่ยังไม่ทันได้ปฏิเสธอะไร คำรามก็พูดขึ้นอีก
“Go-fast-fast,If-step-wait-beautiful!!”
“อะไร?”
“ไปเร็วๆ ถ้าลีลาเดี๋ยวสวย!” สวยพ่อ**ง!
วินาทีนั้นต่อให้บอกปฏิเสธผู้ชายคนนี้ให้ตาย เชื่อเลยว่าเขาไม่ยอมปล่อยฉันให้ไปไหนแน่ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่าการต่อปากต่อคำกับเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันช่วยให้ลืมเรื่องแย่ๆไปได้ชั่วขณะ อีกอย่างตอนนี้ฉันเองก็อยากออกไปที่แห่งนี้เหมือนกัน
ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือป้าบุญเลี่ยม
ฉันนั่งกอดอกมองผู้ชายตรงหน้าสวาปามก๋วยเตี๋ยวเรือตรงหน้าด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย และใช่! เขาพาฉันมากินก๋วยเตี๋ยวจริง เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเล็กๆ ข้างถนน มีโต๊ะรับลูกค้าแค่ 3-4 โต๊ะเท่านั้น ที่สำคัญทั้งร้านมีแค่เรา 2 คนกับป้าคนขายเท่านั้น!
“มองไรวะ?” หลังจากหมกมุ่นกับการกินก๋วยเตี๋ยวหมดไป 2 ชามเขาก็ละหน้าขึ้นถาม สายตาน่ะไม่ได้มองฉันหรอกแต่มองบางสิ่งบางอย่างในชามก๋วยเตี๋ยวที่ฉันไม่ได้แตะเลยแม้แต่ปลายตะเกียบ มิหนำซ้ำยังพูดขออย่างหน้าด้านๆ “ลูกชิ้นนี่กินป่ะ?”
ฉันมองคำรามนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็เหมือนเดิม เขาพูดเองเออเอง
“ขอนะ...ขอบใจ” และลูกชิ้นเพียงเม็ดเดียวในชามถูกโจรกรรมไปต่อหน้าต่อตา
ด้วยความหมั่นไส้ฉันจึงอดแซะออกไปไม่ได้
“ที่บ้านไม่เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวเรือให้กินเหรอ?”
“เคย” เขาตอบแบบส่งๆ มือพลางหยิบแก้วขึ้นดูดน้ำไม่ได้มองฉันหรอก แถมยังมีหน้ามาย้อน “ทำไมอ่ะ หรือที่บ้านเธอไม่เคยซื้อเตี๋ยวเรือให้กิน?”
ถ้าฉันขออนุญาตป้าเจ้าของร้านลุกฟาดหน้าเขาด้วยเก้าอี้ ป้าเขาจะอนุญาตไหมนะ?
“แล้วนี่ สรุปไปเยี่ยมใครที่โรงพยาบาล?” อีกครั้งที่คำรามถามขึ้นหลังจากยอกย้อนกวนประสาทจบ
“ยุ่งไรด้วย”
“ก็เห็นร้องไห้” เขาพูดส่งๆ คราวนี้เลื่อนสายตามองหน้าฉันด้วย
“ไม่ต้องยุ่งสักเรื่อง คงไม่ตายหรอกมั้ง”
“อยากเสือก ขอเสือกสักเรื่องคงไม่มีใครตายหรอก” ฉันกลอกตาเป็นรอบที่ร้อยของวันเมื่อถูกผู้ชายตรงหน้าย้อนกลับมาอย่างหน้าตาย เพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำ ฉันจึงตอบส่งๆ
“แม่” คำรามนิ่งไปเล็กน้อยและวางแก้วน้ำลง สายตาที่เขาใช้มองมันเต็มไปด้วยหลายความรู้สึก เพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ฉันจึงชิงพูดดัก “จะแขวะไรกลับล่ะ เชิญ...”
“บ้าป่ะ?” แต่เขาดันว่าฉัน “ใครเขาจะเอาเรื่องพ่อแม่มาแซะกัน”
โอเคคำตอบของเขาฟังดูชนะเลิศ แต่ที่ขัดใจคือมือที่กำลังเอื้อมมือดึงชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าฉันพร้อมคำถาม
“ไม่กินใช่ป่ะ ขอนะ”
เอือมสุดอะไรสุด!
“แล้วถ้าแม่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอโตมายังไงอ่ะ?” อีกครั้งที่เขาถามเมื่อจัดการยึดชามก๋วยเตี๋ยวไปไว้กับตัวสำเร็จ
“ป้า”
“พี่สาวแม่?”
“คนอื่น รับฉันไปจากสถานสงเคราะห์เด็ก” ฉันบอกเขาแค่นั้นและไม่คิดจะพูดชีวประวัติน่าสมเพชของตัวเองต่อ แต่ว่าคำรามกลับ
“เออ เหมือนกันเลย” พูดออกมาแบบนั้น
จริงสิ... เขาก็เป็นลูกบุญธรรมของคนที่บ้านหลังนั้นเหมือนกันนี่
“แล้วที่บ้านป้าเธอ อยู่กันกี่คนอ่ะ”
“3” เพราะความที่มีบางส่วนคล้ายกันนิดหน่อยมันทำให้ฉันเผลอตอบคำถามเขาไปอย่างลืมตัว
“อบอุ่นน่าดู”
“ประมานนั้น”
“แล้วไมโตมาถึงได้เหลือขออ่ะ?” ปากเขาน่ะพูดหาเรื่อง ขณะมือไม้วุ่นวายกับการสาวเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับเอร็ดอร่อย
“เสือก”
“ก็บอกว่าขอเสือกสักเรื่องคงไม่มีใครตายไง!” ฉันถอนหายใจอย่างนึกเหนื่อยหน่าย แต่ไม่คิดจะตอบคำถามเขาหรอกนะ เลือกที่จะมองไปทางอื่นมากกว่า
อยากมองอะไรที่สร้างสรรค์มากกว่ามองหมากินก๋วยเตี๋ยว ก็ว่าได้ แต่ว่า...
บรืน บรืนน
จังหวะเดียวกับที่สายตาฉันมองออกไปนอกร้าน วินาทีนั้นก็มีร่างชายตัวสูงใหญ่จำนวน 2 คนขับรถมาจอดบริเวณหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวพอดี
“เฮ้ยมึงอ่ะ!” หนึ่งในนั้นดังตะโกนทักขึ้นก่อนตามมาด้วยเก้าอี้พลาสติกก็ถูกโยนเข้าใส่กลางโต๊ะจากบริเวณหน้าร้านอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันให้คนถูกเรียกอย่างคำรามได้ตั้งตัว
โครมม!! เพล้งง!
การกระแทกของเก้าอี้ทำเอาแก้วน้ำรวมถึงชามก๋วยเตี๋ยวถูกแรงเหวี่ยงของเก้าอี้ชนร่วงลงกับพื้นแตกกระจายเสียหาย พลอยให้ คำรามตวัดหางตามองไปยังต้นเรื่องอย่างไม่สบอารมณ์ เขาวางตะเกียบซึ่งยังคีบเส้นติดไว้ในมือลงกับโต๊ะในอาการสงบนิ่งและลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
“มึงคิดว่าเจ๋งมากนักเหรอ?” หนึ่งในนักเลงวัยรุ่นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท และนั่นทำให้ฉันสังเกตเห็นท่าทีของคำรามที่เปลี่ยนไป
เขาดูนิ่ง ไม่พูดจาใดตอบโต้เหมือนตอนอยู่กับฉัน แม้แต่แววตาที่เขาใช้มองสองคนนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป
เหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับคนละคน...
คำรามไม่แสดงคำพูดหรือท่าทียียวนกวนประสาทตอบโต้แต่เลือกที่จะคว้าเก้าอี้ที่เคยใช้นั่งติดมือ ก่อนจ้ำเท้าพุ่งตัวหวือฟาดเก้าอี้ไม้ในมือใส่หนึ่งชายสองคนนั้นอย่างแรงจนล้มลงไปแทนการโต้กลับ
ผัวะ!
ท่าทางที่นิ่งงันซึ่งดูไม่เหมือนเขาในแบบที่ฉันเคยรู้จัก ดึงดูดสายให้จับจ้องทุกอกัปกิริยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับคำพูดที่นิ่งเหมือนกับการกระทำราวกับเป็นคนละคน
“เออ กูเจ๋ง”