-บทนำ-
Love if you’re in love
จงกล้าที่จะรักเมื่อคุณตกหลุมรัก
-NAMHORM TALK-
[หวานไม่ยอมพูดอะไร เด็กคนนั้นเอาแต่นั่งเหม่ออยู่บนเตียง ฮึก...ทั้งวัน]
“...”
[ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปหวานมีสิทธิ์เป็นใบ้ตลอดชีวิตแน่ๆ ฮือออ]
ฉันได้ยินเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสารผ่านสายทุกครั้งยามได้รับฟังอาการและข่าวของ ‘หวานหวาน’ ซึ่งป่วยและกำลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากเกิดเหตุการณ์ถูกรุมทำร้ายทางกายและจิตใจ ตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนก่อน จากเด็กสาวน่ารักที่มักชอบทำให้พี่สาวอย่างฉันหัวเราะกลายเป็นคนซึมเศร้า ไม่ยอมพูดและเหม่อลอย สร้างความทุกข์ใจให้แก่ผู้เป็นแม่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับรูปคดีที่ไม่มีความคืบหน้า เมื่อผู้เสียหยุดการพูดหรือให้ปากคำไปดื้อๆ
[น้ำหอม...เมื่อไหร่หนูจะมาเยี่ยมหวานที่โรงพยาบาลล่ะลูก หนูกับหวานสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ บางทีหนูอาจจะทำให้เด็กคนนั้นยอมพูดอะไรบ้างก็ได้]
“หนูจะแวะไปหาน้องพรุ่งนี้ค่ะ”
[ขอบใจมากนะลูก หอม...]
“ด้วยความยินดีค่ะ คุณป้าเองก็ไม่ต้องร้องไห้นะคะ หนูเชื่อว่ายังไงหวานต้องหาย”
[ป้าก็เชื่อ...ฮึก] ทุกคนเชื่อแบบนั้น ต่อให้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ตาม [แล้วตอนนี้หอมเป็นยังไงบ้าง คนที่บ้านนั้นดีกับหอมหรือเปล่า?]
“ก็ดีค่ะ คุณป้าไม่ต้องห่วง” ฉันหัวเราะ
[ถ้าหอมตอบแบบนี้ป้าก็วางใจ งั้นเดี๋ยวป้าวางก่อนนะลูก กวนเวลาหนูมาเยอะแล้ว]
“ค่ะ ถ้ายังไงพรุ่งนี้เจอกันที่โรงพยาบาลนะคะ” หลังสายสนทนาตัดไป การแสร้งหัวเราะเพื่อให้คนฟังสบายใจก็หยุดลงด้วยเช่นกัน
การพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังปัจจุบันไม่ได้ดีเท่าไหร่ แม้จะเข้ามาในฐานะ ‘ลูกสะใภ้’ ตั้งแต่ 3 เดือนก่อนก็ตาม เพราะนอกจากเจ้าของบ้านแล้วฉันเข้ากับลูกของเขาไม่ได้เลยสักคนโดยเฉพาะลูกเลี้ยงของเขาหรือพูดให้ถูกก็ผู้ชายที่ฉันต้องแต่งงานด้วยนั่นแหละ
เขาชื่อ ‘คำราม’ เป็นผู้ชายที่สารเลวที่สุดเท่าที่ฉันเคยรับรู้มา เขาทำทุกอย่างตามใจตัวเองเพียงเพื่อ ‘ความสะใจ’ และ ‘ความสนุก’ จนเป็นที่รู้จักด้วยฉายาปีศาจยังไงล่ะ จะเรียกว่าอคติก็ได้แต่ฉันไม่ชอบขี้หน้าและการกระทำของเขาเท่าไหร่ พูดตามตรงก็คือฉันคิดว่าเขาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนร้ายที่พาพวกไปทำร้ายหวานหวานเมื่อสามเดือนก่อน
บอกก่อนนะ ชีวิตฉันไม่เหมือนละครน้ำเน่าหลังข่าวที่ต้องเอาตัวเองเข้าแลก แต่งงานกับเขาเพื่อสืบหาความจริง แต่การแต่งงานของเรามันเกิดขึ้นเพราะความซวยต่างหาก!
แต่การเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้มันก็มีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน หนึ่งเลยฉันสามารถจับตาดูพฤติกรรมเลวๆของคำรามได้มากกว่าที่ผ่านมา หลักฐานแค่เพียงดมกลิ่นของความชั่วที่เขาทิ้งไว้มันก็น่าจะเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าข้อเสียของการมาอยู่ที่นี่มันก็มี นอกจากฉันจะเข้ากับคนในบ้านบางคนไม่ได้แล้ว อีกเรื่องที่ต้องเจอก็...
แกร๊ก...
“อุ๊ย ตายจริง!” เสียงเปิดประตูแบบไม่เคาะดังขึ้นพร้อมเสียงอุทานลวงๆของใครคนหนึ่ง ทำฉันถอนหายใจได้โดยไม่ต้องหันไปมอง “วันนี้อยู่ห้องเหรอ นึกว่าออกไปข้างนอกซะอีก”
ฉันกลอกตาอย่างนึกเบื่อหน่ายเมื่อคนที่เดินเข้าห้องมาอย่างถือวิสาสะพูดจาเสมือนไม่รู้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก
เธอชื่อ ‘ลินดา’ เป็นผู้หญิงของคำรามที่ฉันเจอบ่อยที่สุดจากบรรดาผู้หญิงทั้งหมดที่หมอนั่นมี
“เตียงนี้นอนสบายเนอะว่าไหม?” ซึ่งเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญที่สุดที่ฉันเคยได้พบเช่นกัน “น้อยคนนักที่รามจะพามานอนที่เตียงนี้ ส่วนมากเขาจะอาศัยเปิดม่านรูดเอา เธอเองก็น่าจะรู้ คิกๆ”
“ไม่ล่ะฉันไม่รู้”
“จริงเหรอจ๊ะ... ถ้างั้นครั้งแรกที่เธออ่อยเขาจนได้เสียกันน่ะ มันที่ไหนงั้นเหรอ?”
ฉันไม่พูดอะไรเพราะไม่มีคำตอบให้ นอกจากไม่เคยเข้าม่านรูดแล้วฉันยังไม่เคยนอนกับเขาด้วย!
“ของฉันน่ะเขาพามานอนที่นี่...บนเตียงนี้”
“บนเตียงนี้เลยเหรอ?” ฉันย้อน แต่ไม่ได้มองหน้าเธอหรอก ไม่อยากสีหน้าเวลาเธอแสดงตนว่าเหนือกว่า
“ใช่ ฉันไม่ได้อ่อยเขานะ แต่เขาต้องการฉันเอง คิกๆ” เธอหัวเราะคล้ายกับชอบใจ แต่แล้วคงนึกอะไรได้ถึงได้เริ่มพูดจาชวนโมโหขึ้นอีก “วันก่อนตอนที่เธอไม่อยู่ เขาก็เพิ่งพาฉันมานานบนเตียงนี้ รู้บ้างหรือเปล่า?”
หลังจากปล่อยให้พูดมานาน ความอดทนที่มีในตัวน้อยนิดก็หมดลง จำต้องเหลือบมองใบหน้าสละสวยและรอยยิ้มเหยียดของอีกฝ่ายในที่สุด
ฉันลุกขึ้นจากเตียงจนระดับสายตาของเราอยู่ในระนาบเดียวกันก่อนถามเธอออกไป
“เธอคงชอบเตียงนี้มาก...”
“ก็นิดหนึ่งจ๊ะ คิกๆ” คนฟังยักไหล่ไม่แยแสต่อคำประชดประชัน คาดว่าหน้าเธอคงด้านจนคำพูดเหล่านี้ไม่ทำให้คิดได้อีกต่อไปแล้วล่ะ
“ถึงว่า...” ฉันกระตุกยิ้มอย่างนึกสังเวช ก่อนพูดประโยคถัดมาซึ่งทำรอยยิ้มของคนหุบลงอย่างเห็นได้ชัด “ทำไมถึงได้ภูมิใจกับการเป็นเมียน้อยนัก”
“นังหอม!” คนขนาดตัวพอๆกันวีนเสียงอย่างขัดใจ ใบหน้าสวยๆกำลังบูดเบี้ยวแสดงความเกรี้ยวกราดให้เห็นอย่างเด่นชัด
เมื่ออีกฝ่ายแสดงกิริยาออกมาเช่นนั้น ฉันก็อดแอบถอนหายใจทิ้งไม่ได้พร้อมทั้งรีบใช้ปลายนิ้วแตะที่ปากตัวเองเบาๆก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อจบบทสนทนา
“ไม่วีนเสียงนะคนดี เธอไม่รู้เหรอว่า...”
“...”
“การเมียน้อยที่ดีควรหัดเจียมกะลาหัวเวลาอยู่ต่อหน้าเมียหลวงอ่ะ” สิ้นเสียงดูเหมือนคำบอกเล่าจากปากฉันจะไม่ได้ช่วยอะไร ลินดาวีนเสียงอย่างกับนางร้ายในละคร ต้องรีบเดินหนีออกมาด้วยความรำคาญ
และนี่ก็คงเป็นเรื่องที่ฉันต้องเจออีกอย่างนับตั้งแต่ผ่านการแต่งงาน...
ฉันพาตัวเองออกจากส่วนของห้องนอนตรงไปยังห้องน้ำภายในห้องเดียวกัน พูดง่ายๆก็พื้นที่ส่วนของเตียงนอนถูกคั่นด้วยม่านบางๆ ระหว่างพื้นที่ทั่วไปกับเขตสำหรับการนอนพักผ่อนนั่นแหละ ทันทีที่เข้ามาในห้องน้ำ ฉันก็รีบปลดกางเกงออกนั่งทำธุระเบา มือพลางหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเข้าโปรแกรมแชทและส่งข้อความหาใครคนหนึ่งทันที
น้ำหอม :: เบื่ออ่ะ อยากไปจากที่นี่
ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ฉันก็ได้รับข้อความตอบกลับมา
โซล :: ออกมาทีน้ำพุ เดี๋ยวขับรถไปรับ
น้ำหอม :: คืนนี้ขอนอนด้วยได้ป่ะ พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมหวานที่ รพ.
โซล :: ไว้คุยกัน ออกมาก่อนเถอะ
ตึงง!!
“เฮือก!” ขณะกำลังพิมพ์ข้อความเพื่อตอบอีกฝ่าย จู่ๆ ประตูห้องน้ำซึ่งเคยถูกปิดสนิทกลับถูกมือดีเปิดกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรงแถมไร้มารยาทอย่างสุดๆ โดยเฉพาะคำพูดคำจาที่แสร้งเหมือนไม่รู้ว่ามีคนกำลังใช้ห้องน้ำอยู่
“อ้าว ไม่ยักรู้ว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำ” รอยยิ้มยียวนปรากฏบนดวงหน้าคนพูดสร้างความหงุดหงิดให้ฉันที่เห็นทันที
“ถ้ารู้แล้วก็ออกไป” ฉันบอกอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายกลับทำหูทวนลม ลอยหน้าลอยตาเดินเข้าหากระจกบริเวณอ่างล้างหน้าราวกับจงใจกวนประสาทให้มากขึ้นไปอีก
“บอกให้ออกไปไง ไม่เห็นเหรอว่าฉันทำธุระอยู่!?” ในเมื่อพูดกันดีๆ คราวนี้ฉันจึงใช้วิธีตะคอก ซึ่งมันดูได้ผลเมื่อคนตัวสูงสภาพเปลือยท่อนบนโชว์ลวดลายรอยสักเท่ตามเนื้อตัวยอมหันกลับมาสนใจในที่สุด
เขาหรี่ตามองฉันซึ่งนั่งในสภาพกึ่งเปลือยบนชักโครกก่อนทำเรื่องทรามสุดด้วยการโน้มหน้าเอียงมองลอดหว่างขาอย่างถือดี จนต้องใช้มือปิดของลับของตัวเองให้พ้นไปจากสายตา แต่ดูเหมือนว่าการยียวนกวนประสาทของเขาจะไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ แทนที่จะเดินออกไป กลับกลายเป็นว่าคำพูดฉันคือการเร่งให้เขาเดินเข้ามาหา
และใช่! หมอนี่คือ คำราม ผู้ชายนิสัยทรามที่ฉันโคตรเกลียด!
“สรุปเข้ามานั่งขี้หรือเล่นโทรศัพท์?” คำรามเริ่มหาเรื่องแถมยังฉวยโอกาสดึงโทรศัพท์ไปจากมือฉันที่ทำอะไรไม่ได้เพราะแต่งกายไม่เรียบร้อย
“เอาคืนมานะเฮ้ย!” ฉันตะคอกพลางพยายามไขว้คว้ามือข้างหนึ่งเพื่อเอาโทรศัพท์กลับคืนมา แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก เมื่อคำรามไม่สนใจแถมยังเสียมารยาทไล่เปิดข้อความเก่าๆที่ฉันคุยไว้ขึ้นอ่านแบบไม่ได้รับมารยาท ส่วนปากก็พึมพำว่า
“ถึงว่า ทำไมเมื่อวันก่อนไอ้โตถึงโดนดักกระทืบตอนไปส่งแต้วกับส้มจี๊ด…” ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจเมื่อถูกศัตรูจับได้คาหนังคาเขา คนตัวสูงตวัดหางตามองหน้าฉันเล็กน้อยแบบไม่ประสงค์ดีเท่าไหร่ แถมรอยยิ้มร้ายๆนั่นก็ตีความได้หลายๆ ความหมาย “อยู่ที่นี่น่าเบื่อมากว่างั้น?”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย! อ๊ะ...” เสียงตะคอกดังกล่าวทำเขารีบพุ่งตัวเข้าใส่ฉันบริเวณชักโครกทันที
“รายงานความเคลื่อนไหวของสามีกับเพื่อนสามีให้คนอื่นรู้แบบเนี่ย เขาเรียกว่าไรว่าไรรู้ไหม?” คำรามต่อว่าพลางทาบมือข้างหนึ่งลงกับผนังห้องน้ำ ส่วนมืออีกข้างก็โบกโทรศัพท์มือถือของฉันไปมาคล้ายกับรอฟัง
แต่เมื่อไม่ได้คำตอบ เขาจึงเฉลยด้วยตัวเอง
“เมียไม่รักดี!”
-KHAMRAM TALK-
“ฉันไม่ใช่เมียนาย!” เสียงแหลมเล็กหวีดสวนอย่างทันควัน ปฏิเสธทุกเงื่อนไขที่ผมหยิบยื่นให้
“ถ้ายังไม่ใช่เมีย งั้นก็เป็นมันตอนนี้เลยไหม?” ผมจงใจละสายตาจากใบหน้าสวยๆ ที่กำลังแสดงความโมโหร้ายผ่านแววตาและสีหน้าลงต่ำไปยังต้นขาขาวซึ่งเวลานี้ไม่ได้มีอาภรณ์ใดปกปิดอย่างมิดชิด เว้นเพียงแค่สองมือของเธอเท่านั้น “ตอนนี้วิวกำลังดีเลย อรรถรสดีนะ?”
“ไปตายซะ!” ผมหัวเราะในลำคอเมื่อได้รับคำตอบ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ปฏิเสธให้ตายอย่างไรผมก็เอาเธอไม่ลงอยู่ดี
อันที่จริง ‘น้ำหอม’ จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง แถมยังดูไม่โง่ ไม่งี่เง่าเหมือนแบบพวกผู้หญิงที่ผมเคยเจอมา เธอ่อนกว่าผมหลายปี แต่เรื่องมารยาทในการคุยกับผมของเธอนั้นเป็นศูนย์ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมเมินร่างกายน่าฟัดของเธอหรอก เพราะเหตุผลเดียวต้องของ Say bye ร่างกายน่าดึงดูดของเธอนั้น ก็คือ
ผมไม่ชอบใช้ของซ้ำต่อจากใครโดยเฉพาะกับศัตรู
“ปากแบบนี้...” ผมผละตัวออกห่างจากเธอช้าแต่ไม่ใช้กับมือซึ่งถือโอกาสจับขาอ่อนเธออย่างละลาบละล้วง แน่นอว่าปฏิกิริยาของเธอมีแต่การต่อต้านที่จะถูกสัมผัส แต่แรงผู้หญิงน่ะเหรอ จะสู้แรงผู้ชายได้
ไม่มีวัน!
ฟึ่บ!
“อ๊ะ!” ผมใช้แรงที่มีมากกว่าเธอนักกระชากเรียวขาให้แยกออกจากกัน แต่สายตาน่ะไม่ได้มองตามลงไปหรอกนะ แต่ผมกำลังโฟกัสไปที่ใบหน้าสวยๆ กับคำพูดที่ยังลั่นออกไปไม่จบดี
“เก็บไว้ใช้งานกับเรื่องอื่นดีกว่าไหม?” พูดจบผมก็จงใจปล่อยโทรศัพท์ในมือผ่านหว่างขาเธอใส่ชักโครกแทบจะเวลาเดียวกัน
ตุ๋ม!
เสียงของน้ำในชักโครกดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าซึ่งแสดงถึงความพึงพอใจในสิ่งที่เพิ่งพูดออกไป ผมไม่รอช้ารีบผละตัวออกห่างจากเธอทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังมีมารยาทที่จะช่วยกดชักโครกให้
“เวรเอ้ย! หยุดนะ!” คนตัวเล็กกว่าพยายามผลักตัวผมให้หยุดการกระทำทั้งหมดลง แต่ดูเหมือนเธอจะช้าไปหน่อย เมื่อผมสามารถกดชักโครกให้จนสำเร็จกิจ “คำราม!”
เธอตะคอกชื่อผม แม้แต่หลับตาก็รู้ว่าคนพูดกำลังเกรี้ยวกราดมากแค่ไหน แต่สภาพกึ่งเปลือยแบบนี้ เธอคงมีปัญญาทำได้แค่นั้นนั่นแหละ
“ไปนะ พอดีมีธุระที่น้ำพุ” ผมยิ้มให้เธออีกครั้งและผละตัวหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไปอย่างคนอย่างอารมณ์ แน่นอนว่าน้ำหอมรีบจัดการดึงกางเกงของตัวเองขึ้นสวมทันที
แต่อย่างที่บอกเธอมันเต่า ผมปิดประตูห้องน้ำกระแทกใส่หน้าก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าประชิดได้ทันเสียอีก
ตึง!! ตึง!!!
“คำราม! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ!!!” เธอหวัดเสียงน่ารำคาญพานให้ผมปวดหัวจี๊ดเวลาที่ได้ฟัง แถมยังทุบประตูจากภายในห้องน้ำแบบไม่เกรงใจเจ้าของสถานที่
ตึง!! ตึง!!
“ไอ้คำราม!!!”
แกร๊ก...
กุญแจห้องน้ำถูกไขลงกลอน เมื่อผมรู้สึกเป็นห่วงคนในบ้านขึ้นมา
ตึง! ตึงง!!
“บอกให้เปิดประตูไง ฟังภาษาคนออกไหม!?” ขืนผู้หญิงคนนี้หลุดออกมาได้ คงจะไล่กัดคนอื่นไปทั่ว ขังไว้ในห้องน้ำแบบนั้นนั่นแหละดี
“กุญแจวางอยู่หน้าห้องน้ำ...” ผมกระตุกยิ้มอย่างนึกตลก เพราะอันที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนหวังดีกับคนอื่นมากนักหรอก เหตุผลจริงๆ แล้วมันก็แค่...
ตึง!!!
“อยากออก ก็หยิบไปไขเอา”
อยากกวนตีนเฉยๆ