บทนำ : 2 คุณชายนายเรือ
“แต่แม่เห็นด้วยกับคำแม่แช่ม ลูกเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดรับชอบดี ผู้น้อยต่างให้ความเคารพ นับถือ จะหยอกแกล้งเล่นหัวกับมิตรสหาย มิใช่เรื่องผิด แต่ลูกน่ะ ขออย่าได้ใช้ภาษาเลวทรามเช่นนี้อีก อีกเรื่องหนึ่ง... เรื่องผู้หญิง!”
ชายหนุ่มสะดุ้งทันที ตอบร้อนรน “ลูกไม่เคยทำเรื่องไม่งาม จะไปซุกซน เล่นสกปรกกับหญิงใดยังมิเคย ให้ลูกสาบานได้”
“แม่เชื่อลูกอยู่ในข้อนี้ แต่ไม่ได้รักใคร่ชอบพอ อย่าไปให้ท่าทำทางให้เขาเข้าใจผิด” ท่านหญิงจอมได้ดุบุตรชายสักหน่อย ทรงดำริได้ถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ไม่สามารถเลิกความได้ง่าย ๆ “นี่แน่ะ คุณชาย ลูกได้ยินข่าวพ่ออาวุธไหม? พ่อลูกว่าให้ถามถึงว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“ไม่ทราบขอรับ กระหม่อม”
“แม่แช่มล่ะ ว่ายังไง?”
“พวกบ่าวเห็นหลัด ๆ ที่โรงบ่อนเพคะ”
ชายหนุ่มยิ้มแยกเขี้ยวให้บ่าวที่ไม่เคยเหลียวแลกัน แม้เอาตัวรอดได้ ด้วยเป็นลูกชายคนเดียวที่สามารถรักษาหน้าตาวงศ์ตระกูล
“ดีละ จะเอายังไงกับลูกชายท่านกรมหมื่นฯ สุรา พาชี นารี กีฬาบัตร” ว่าด้วยสุรเสียงตัดพ้อ
คนลูกกลับแก้ตัวแทน “พี่อาวุธแค่ชอบพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง คงต้องดื่มสุราเป็นเรื่องธรรมดา เข้าโรงบ่อนเบี้ยบ้างสุดแต่ตัวเขา เงินของเขาไม่ได้มาเปะปะวุ่นวายกับเราเสียบ่อย คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ท่านพ่อท่านแม่”
“นั่นปะไร หมดเนื้อหมดตัวทีไร ได้แวะเวียนมาสูบเลือดฉันทุกที”
“แล้วท่านแม่ก็มาขอประทานเงินลูกทุกที” หนีไม่พ้นเป็นความผิดของเขาที่เป็นคนใจดี ขี้สงสาร ทำให้ยอมควักเงินให้พี่ชายอยู่เรื่อยไป
“ไม่อยากให้แม่ขอเงิน ก็รีบ ๆ มีเมียไปเสีย อายุอานามไม่ใช่น้อย จะสี่สิบสามอยู่รอมร่อ ไม่รู้มัวเพ้อฝันหาผู้ใด เป็นคนดีหรือคนบ้า” ตรัสว่าเหน็บแนมบุตรชายที่ชอบละเมอเพ้อพกบ่นหาพระยาหาอะไรไม่รู้ได้ บ้างก็นั่งเมาหัวราน้ำอยู่คนเดียวเป็นวัน ๆ พักหลังมานี้ยิ่งเป็นหนัก สีพักตร์บึ้งตึงเมินไปอีกทางหนึ่ง คนลูกกุมหัตถ์นุ่มไว้พลางว่าคำหวาน
“ท่านแม่.. ไว้ลูกพร้อมเมื่อไร จะมีเมียสับสิบคน ประทานหลานซน ๆ วิ่งเล่นให้บ้านพัง กระหม่อม”
บ่าวทำตาโต “สิบคนเลยฤาเจ้าคะ? คุณชาย”
“ทำเป็นพูดดีไป พอถึงเวลาจะหาเมียดี ๆ ให้สักคน ได้ทำเรื่องยุ่งบ้ามันทุกที” ท่านหญิงจอมทรงดำริได้เรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ “คุณหญิงพุ่มรึอุตส่าห์พาลูกสาวมาเยี่ยมฉัน ดันเจอคุณชายขี้เหล้า เมาเอะอะโวยวาย จนได้เกิดเคืองกันเป็นใหญ่โต”
“หากคุณหญิงพุ่มมีประสงค์แค่มาเยี่ยมเยียนท่านแม่ ลูกคงไม่ได้ไปกินเหล้ากับพี่อาวุธ”
สดับเท่านั้นก็กริ้วไปถึงวงเนตรเรียวรี “นี่! เสียนี่นะ ฉันนึกอยู่แล้วเชียว ผู้ร้ายปากแข็งอย่างแกต้องยอมสารภาพความ”
เมื่อใดได้แทนองค์เองว่า ‘ฉัน’ ขืนอยู่ต่อนานกว่านี้คงได้เห็นไม้หวาย คุณชายอินทรีฉีกยิ้มกว้าง บอกลาด้วยหอมลูกใหญ่บนปรางนุ่ม มือหนาคว้าหมวกเฮลเม็ตสีขาวตราหน้าหมวกพระครุฑขึ้นสวม
“ลูกลาทีท่านแม่ ประเดี๋ยวจะไปทำงานสายกระหม่อม”
“ไปเถิด ขับรถระมัดระวังเล่า คุณชาย”
ท่านหญิงจอมจึงยอมปล่อยบุตรชาย ถึงจะยังไม่ใช่เวลาเข้า ‘ออฟฟิซ’ ที่ข้าราชการต้องเข้างานตามเวลาราชการแบบตะวันตกมาตั้งแต่พระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน จนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หกแห่งราชวงศ์จักรี
คุณชายอินทรีตั้งใจว่าจะแวะหาอาหารเช้ารับประทานในตลาดที่มีผู้คนคึกคัก จะได้ถือโอกาสนั่งชมสาวงามไปพลาง ตามประสาหนุ่มโสดที่ถึงว่ามีคุณหญิง คุณนาย หญิงงามมากหน้าหลายตามาทอดสะพานให้ก็ยังไม่เอา เขาชอบที่จะให้ท่าไปอย่างนั้นเสียมากกว่า
เป็นมาตั้งแต่วัยคึกคะนอกจนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่ ไม่รู้กี่สิบ ๆ ปีได้ที่เริ่มมีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ไม่อยากรักใครเหมือนเป็นพ่อม่ายเมียทิ้ง...
ชายหนุ่มทอดความคิดไปกับลมเย็น ๆ ในรถยนต์โบราณรุ่นเปิดประทุนสีดำสนิท จู่ ๆ ใบหน้านวลลออแม้เสียงอ้อนหวานว่า ‘คุณพี่เจ้าคะ’ ในความฝันสุดวาบหวามทำให้ต้องสะบัดศีรษะแรง ๆ ความร้อนรุ่มเข้าพุ่งชนจนสุดท้ายเขาก็ไม่ได้หาอะไรลงท้อง บึ่งรถตรงไปออฟฟิศที่ปัจจุบันได้รับหน้าที่ให้เป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ
โชคดีที่การจราจรไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไร ถึงจะมีรถม้า รถเกวียน รถลากวิ่งอยู่ทั่วไป รวมไปถึงรถยนต์ในกรุงเทพฯเวลานี้ที่มีแค่พันกว่าคัน เนื่องจากเป็นของทันสมัย มีราคาแพง ต้องสั่งซื้อมาแต่เมืองฝรั่ง คงจะมีแค่เจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายห้างฝรั่งเจ้าสัวจีน และเศรษฐี ได้สั่งรถยนต์มาใช้
ระดับหม่อมราชวงศ์ เจ้าคุณพิพิธฯคงต้องมีกับเขาคันหนึ่ง สาว ๆ ในพระนครอยากได้เป็นคู่ควงนั่งรถยนต์กินลมชมวิว แต่เขาไม่เคยจะพาเจ้าเชฟโรเลต รถยนต์หรูจากห้างบัตเลอร์แอนด์เว็บสเตอร์ เพื่อนคู่ใจคันนี้ไปรับส่งใคร หรือพาสาวไหนขึ้นรถสักคน นอกเสียจากท่านหญิงจอม
สิบห้านาทีก็มาถึงบริเวณพระราชวังเดิม ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ข้าราชการนายเรือในเครื่องแบบเต็มยศสีขาวกำลังยืนชะเง้อคอมองหาใครอยู่
นายนาวาโท หลวงนิธิเตชจินดา เป็นสหายคนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนประถมฯพระตำหนักชื่อดังที่คงจะได้เรียนกันแค่ลูกหลานเจ้านาย
แถบสีเครื่องหมายยศนายทหาร แถบสีขนาดกว้างสิบห้ามิลลิเมตร พาดตามยาวสีฟ้าคือเหล่ายกกระบัตรและสมุห์บัญชี ต่างจากเหล่าอาจารีย์อย่างคุณชายอินทรีจะใช้แถบสีบานเย็น
“สวัสดี คุณหลวง มารอฉันถึงนี่ พนันได้เลยว่ามีเรื่องแน่ ๆ”
คนฟังทำหน้างง ก็ว่า “คุณชายท่านนี้พูดจาชอบกล สะ-หวัด-ดี กระไร? ฉันไม่เข้าใจ”
“อีกหน่อยก็เข้าใจเองแหละ” บอกปัดไป ด้วยเบื่อจะพูดเรื่องเดิม ๆ หรืออธิบายความให้มากถึงเรื่องที่หลายคนยังไม่ถึงเวลาต้องรู้ ก่อนที่ร่างสูงสง่าในชุดข้าราชการสีขาวจะหยิบกระเป๋าใส่เอกสาร ก้าวลงจากรถไว ๆ
“เห็นทีฉันจะต้องไปโรงหมอตรวจสมองสักหน่อย คุณชายกลับมารับราชการคราวนี้ ทำตัวประหลาดพิลึก...”
“เออ! แล้วแต่เอ็ง อ้ายหลวงนิธิฯ คำก็บ้า สองคำก็บ้า ไม่อยากคบ ก็เลิกคบไปเลย”
น้อยครั้งนักที่ถ้อยคำสบถด่าจะหลุดจากปากลูกหลานเจ้านายผู้ได้รับการอบรมมาดี คุณชายอินทรีคงโกรธแล้วจริง ๆ
“อย่าโมโหฉันเลย เอ้า ฉันยอมเป็นคนเลี้ยงอาหารวันนี้ คุณชายอยากไป สัปเป้อร์ ที่ใด?” หลวงนิธิฯถามในรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ยกมือขึ้นป้องปากกระซิบ “สาว ๆ ข้างคลองบางกอกน้อยหน้าตาสะสวย”
“ฉันยกโทษให้” ตอบทันที แม้วงหน้าหวานคมสมชายชาตรีในรอยแย้มยิ้ม ปรากฎเขี้ยวขาวคมอยู่ตรงมุมปากหันเข้าหาลมเย็น ๆ ในอีกทางหนึ่ง
ทิวทัศน์อันสวยงามของแม่น้ำกว้างไหลมาบรรจบกัน พาความรู้สึกโหยหาล้ำลึกท่วมท้นอยู่ในอก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้พบใครสักคนผ่านสายน้ำเส้นนี้
“น้องนางนวลผ่องแผ้ว งามเกิน ผู้ใด
น้องอยู่แห่งใดฤา จิตพี่
สุขทุกข์คู่เคียงดั่ง ชาติรัก ปางก่อน
น้องรักอย่าทิ้งพี่ พี่ไซร้ วายชนม์”
โคลงสุภาพจากชายผู้ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ของความเป็นกวี ไม่ใช่คนที่จะรู้จักคำเป็นคำตาย หรือการบังคับใช้ในบทกลอนแม้แต่น้อย
หลวงนิธิฯตะลึงงัน “คุณชาย...”
“ว่ากระไร? คุณหลวง” เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพ่นคำอะไรออกมาเมื่อครู่ จึงต้องหาคำตอบจากคนที่เอ่ยคำกล่าวชม
“เป็นโคลงที่ไพเราะยิ่งนัก”
“ขอบใจ”
“แต่ฉันว่า...”
“ลองว่าฉันบ้าอีกที ให้มีสักร้อยหญิงงาม คงช่วยคุณหลวงไม่ได้” คำขู่ของชายผู้มีอายุมากกว่าสองปีทำให้หลวงนิธิฯรู้สึกเกรงใจอยู่
“เช่นนั้น ฉันจะลองถามเรื่องอื่น”
“คุณหลวงอยากรู้เรื่องใด?”
หลวงนิธิฯลอบมองซ้ายขวาอย่างระวังว่าไม่มีใครแน่ ก่อนจะยกมือขึ้นป้องปาก กระซิบ “คุณชายไม่ได้แอบไปตีผีใช่ฤาไม่?”
ชายหนุ่มหน้าตาถมึงทึงสบถ “อุว๊ะ! คุณหลวง ไปได้ยินข่าวลือที่ไหนมา ท่านแม่ก็เพิ่งจะตรัสบ่นฉันเสียยกใหญ่”
“คุณชายคิดว่าเป็นใคร?”
“ฉันจะไปรู้ไหมเล่า?”
ไม่มีมูล หมาไม่ขี้ ช่างเป็นสุภาษิตไร้ประโยชน์ หากคุณชายอินทรีจะออกไปข้างนอกยามวิกาล ก็คลุกคลีกับเพื่อนฝูงอยู่ที่สโมสร เขาไม่รู้ว่าต้นทางของข่าวลือมาจากตลาดนางเลิ้งที่มีโรงบ่อนเบี้ยเกร่อ พูดกันปากต่อปากมาถึงคนละแวกนี้
“ลูกเมียน้อย” เปรยเท่านั้น หลวงนิธิฯได้เห็นคนฟังประหลาดใจ ผ่านแววตามาดมั่นที่แอบแฝงความเศร้าหมองอยู่ภายใน
“ในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ใยต้องกลัว คนอื่น ๆ ไปเที่ยวกันก็ดูจะเป็นเรื่องปรกติ ธรรมดา ทีเป็นฉันไม่เคยจะไปเหยียบด้วยซ้ำ ลือกันเป็นเรื่องเป็นราว น่าขันจริง”
“แต่ฉันไม่ขันด้วยเลย คุณชายต้องระวังตัวไว้ หากข่าวนี้เข้าหูผู้ใหญ่ ไม่เป็นเรื่องดี คุณชายจะถูกมองในทางเสียหาย”
ชายหนุ่มไม่ได้นึกโกรธพี่ชายต่างมารดาที่ชอบหักหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่คงอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อ “มาขอเงินฉันมีไม่มาก ฉันก็ให้ คราวนี้อะไรกับฉันอีก กะจิตกะใจไม่อยากให้ฉันกับแม่มีความสุขบ้างเลยหรือยังไง”
“คิดเสียว่าเป็นเวรเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน เจ้ากรรมนายเวรบางคราวมาในคราบพี่น้อง”
“หากเป็นอย่างคุณหลวงว่า ฉันกับท่านแม่คงมีกรรมหนักน่าดู”
“คุณชายจะคิดมากไปใย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน นับว่าบุญเท่าไร” คำปลอบพอจะทำให้ชายหนุ่มอีกคนมีกำลังใจขึ้นมาไม่น้อย
“นั่นสิ.. ต่อให้คิดจนตัวตาย คงไม่มีทางเปลี่ยนสันดานคน” มือหนายกขึ้นแตะบ่าแกร่งของสหายผู้ไม่เคยทอดทิ้งกัน หลวงนิธิฯยิ้มรับไมตรีสหายรักอย่างจริงใจ