บทที่ ๑-๑ : หนุ่มมีเขี้ยว!
ปี พ.ศ. ๒๕๖๓
“หุ้นตกไปตั้ง 20% ผู้ค้ารายย่อยก็ถอนตัวเป็นสิบราย ป๊า ม๊า ปีนี้เราขาดทุนไปเท่าไร?” พิมพาโวยวายโมโหเป็นใหญ่โต อย่างไม่ได้สนใจว่าทุกคนกำลังทำอะไร ในห้องรับประทานอาหารที่มีโต๊ะอาหารสุดหรูหราอลังการกว่ายี่สิบที่นั่ง ทั้งที่คฤหาสน์ของตระกูล ‘ศรีไพโรจน์’ มีแค่สี่คนเท่านั้น
“เศรษฐกิจมันไม่ดี ขาดทุนนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เห็นแปลก”
“ม๊าก็พูดงี้ทุกที เศรษฐกิจไม่ดียังไงมันก็ไม่น่าจะขาดทุนได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าคนมันทำงานไม่ดีแล้วโทษนู่นโทษนี่”
ในความหมายรู้กันดีว่าพิมพาต้องการต่อว่าใคร นายสัวเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์และห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ยังเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่โต มีหรือจะไม่รู้ว่าลูกสาวคนเล็กกำลังคิดอะไร
“ลื้ออยากให้ผัวมาทำงานแทนเจ้มากกว่า วัน ๆ ป๊าก็เห็นว่าลื้อเอาแต่ช้อปปิ้ง หิ้วกระเป๋าแบรนด์ เปลี่ยนคอลเลคชั่นทีวันละกี่ใบ จะไปรู้เรื่องในบริษัทได้ยังไง? ดูอย่างเจ้พลอยสิ ทำงานให้ป๊ามาตั้งแต่อายุเท่าไร ไม่เห็นจะพูดอะไร”
พิมพาว่าเสียงแหลมปรี้ด “โธ่! ป๊า... ถ้าอีเจ้พลอยมันพูดสิแปลก ทุกวันนี้หนูยังคิดว่ามันเป็นใบ้”
ขณะที่คนถูกถากถางยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับอาหารสไตล์ฝรั่งเศส หั่นขนมปังเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมันเข้าปากทีละน้อย ด้วยท่าทีแสนเบื่อหน่าย ครอบครัวที่ไม่ควรเรียกว่าครอบครัวของเธอนั้นทะเลาะกันเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ได้สม่ำเสมอ
“ลื้ออย่าโวยวายจะได้ไหม? อาพิม ลื้ออยากได้อะไร ป๊าก็ตามใจลื้อทุกอย่าง ป๊าขอเรื่องนี้เรื่องหนึ่งก็แล้วกัน” ในน้ำเสียงอ่อนลงด้วยอยากจะตามใจลูกสาวอยู่แต่มันก็ไม่ไหวจริง ๆ สามีของพิมพานั้นมาทำงานให้กี่ทีก็ไม่เคยได้เรื่องได้ราว
“ทำไมป๊าต้องเข้าข้างมันทุกที พี่รอง ผัวหนูก็เข้าประชุมหุ้นส่วนทุกครั้ง”
บิดาแค่นหัวเราะว่า “ไอ้รองเรอะ? มาเข้าประชุมไปงั้น นาน ๆ ทีจะได้เรื่องได้ราวสักงาน ตีโจทย์ไม่แตก หมุนเงินไม่เป็น แค่ประเมินราคาที่ดินยังไปจ้างบริษัทประเมินทำให้”
“ป๊า!” เสียงตวาดกร้าวดัง มารดาปรามทันที
“เงียบเดี๋ยวนี้นะลูก” แล้วเงยหน้าจากจานใบใหญ่ที่อาหารพร่องไปเล็กน้อย มองใบหน้าแดงก่ำของลูกสาวด้วยท่าทีดุดัน
“ลื้อจะเอาอะไรฮะ? อาพิม”
“หนูกับพี่รองจะถือหุ้นของบริษัทในเครือลูก คอนโดฯใหม่ที่กำลังสร้างอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์” แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ความโลภมากอยากได้ของพิมพาที่มักมีข้อต่อร้องขออะไรเสมอ ๆ แต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน
บริเวณหัวโต๊ะที่นั่งประจำของบิดา นิรัชชักไม่พอใจลูกสาวคนเล็กที่เขาตามใจแทบทุกอย่าง มีแค่เรื่องเดียวคืองานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีผู้ถือหุ้นหลายมือ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท งานส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของพลอยพิลา ลูกสาวคนโตที่มีฝีมือในการบริการจัดการงานการตลาดได้ดีที่สุด
“พลอยว่าไง จะยอมให้ไอ้รองมันมาช่วยไหม?”
ในน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แม้จะมองหน้าใครด้วยซ้ำ “แอร์เมสเบอร์กินบลู.. รุ่นลิมิเต็ด ที่เพิ่งลงห้างป๊า ตกลงได้ไหม?”
ความตึงเครียดเกิดขึ้นในฉับพลัน ก่อนที่พลอยพิลาจะดีดนิ้วจนเกิดเสียง เรียกคนสนิทที่นั่งรออยู่ข้างหลัง
เลขาฯประจำตัวส่งแท็บเล็ตให้เจ้าของบ้าน ไม่ต้องรอให้เจ้านายบอก “สรุปยอดประจำปี กับโปรเจคห้างใหม่ตามแผนรองรับเศรษฐกิจปัจจุบันค่ะ คุณนิรัช”
“เสร็จแล้วรึ? แหม.. ไวดีจริง ๆ” บิดามีสีหน้าพึงพอใจ กับงานที่มอบหมายให้บุตรสาวคนโตจัดการ และไม่เคยผิดหวัง
พลอยพิลาจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ต่อ สองมือรวบช้อนเรียบร้อย แม้ยังเหลืออาหารอยู่เต็มจาน เสียงเก้าอี้ครูดลากแสบหูตามอารมณ์ของเจ้าตัว
“เจ้พลอย! เดี๋ยว..” เสียงแหลมเล็กได้รับการจัดการด้วยปลายนิ้วเรียวที่ดีดหากันอีกครั้ง
ชายร่างใหญ่กำยำ บอดี้การ์ดนอกเครื่องแบบเข้ามาทำหน้าที่เป็นกำแพงมนุษย์ ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้เข้าใกล้เจ้านาย ที่จริงเธอจะจัดการเองก็ได้ แต่ไม่ดีกว่า พิมพาจึงได้แต่ดิ้นพล่าน ๆ อยู่ตรงนั้น
“เจ้พลอยกลับมาคุยกันก่อน อีเจ้พลอย!”
ปรกติแกเรียกพี่ตัวเองว่ามันไม่ใช่เหรอ?
ถ้อยคำที่ไม่ได้พูดออกไป แฝงอยู่ในรอยหยัดยิ้มบนวงหน้างามภายใต้เครื่องสำอางอ่อน ไม่แม้จะเหลียวหลังมอง ร่างบางก้าวขึ้นเมอร์ซิเดสเบนซ์สีดำสนิท เคียงข้างเลขาฯ สารถีประจำตัวก็เหยียบคันเร่งทันที
“โซฟาหลุยส์ที่นี่ทำปวดหลังทุกที วันนี้ได้ออกจากบ้านคุณนิรัชไว ดีสุด ๆ ค่ะ” กชกรบ่นประชด ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตอีกอันจากกระเป๋า “ประชุมหุ้นส่วนใหญ่ในเครือไดม่อนลีฟสิบโมงเช้า ประชุมสมาคมผู้ค้าเพชรบ่ายสองค่ะ”
พลอยพิลาชายตามองหญิงสาววัยไล่เลี่ยกันที่ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง โปรยยิ้มบาง ๆ “วันหลังจะซื้อโซฟาตัวใหม่ให้นั่งรอนะ คุณกช”
กชกรทำหน้าแหยง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณพลอยเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า”
“งั้นไปถล่มกาแฟร้านเดิม” เธอคงต้องระบายความสะใจ แม้ไม่ได้อยากรับประทาน เลขาฯคนโปรดก็ดันรู้ใจไปเสียทุกอย่าง
“เอาแค่กาแฟหรือคะ?”
“ใครจะกินอะไร สั่งมันมาให้หมด ลุงอ่ำจะกินอะไร บอกคุณกชได้เลยนะคะ ฉันเลี้ยง” หญิงสาวยังไม่ลืมบอกคนขับรถประจำตัวที่ทำงานให้เธอมาพร้อม ๆ กับกชกร คือตั้งแต่เปิดบริษัทมาได้แปดปี
“ขอบคุณครับ คุณพลอย งั้นลุงไม่เกรงใจนะ”
“อย่าเกรงใจฉัน ลุงอ่ำ ไม่งั้นฉันจะโกรธลุง อยากกินอะไรสั่งโลดค่ะ กินเหมือนให้เป็นมื้อสุดท้ายของชีวิตไปเลยนะลุง” พลอยพิลาชอบพูดแบบนี้ ปรกตินิสัยเธอแล้วเป็นคนง่าย ๆ น่ารักเฉพาะกับคนกันเอง
“ได้ครับคุณพลอย มื้อนี้ลุงไม่เกรงใจนะ” นายสารถีคนดียิ้มรับหน้าระรื่น สั่งอาหารเต็มที่ตั้งแต่ไก่ย่างห้าดาว ยันเค้กปอนด์ไปเผื่อคนที่บ้านด้วย
กชกรยกสายสั่งอาหาร โดยตัดผ่านวงเงินบัตรเครดิตของเจ้านาย เลี้ยงลูกน้อง ทั้งคนขับรถ และบอดี้การ์ด หรืออาจจะเลี้ยงมันทั้งบริษัท หากวันไหนเจ้านายได้อารมณ์เสียแล้วล่ะก็
เป็นอันรู้กันว่าพลอยพิลามีเงินเหลือ ๆ
ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจิวเวอรี่ของตนมา ไม่ง้อความร่ำรวยจากทางบ้านแม้สักบาทเดียว มีก็แค่ลายเซ็นต์ค้ำประกันเงินกู้ของผู้เป็นบิดา ซึ่งเธอได้ทำงานชดใช้หนี้มาตลอดแปดปี
เป็นเรื่องตลก ๆ ของเจ้าสัวผู้ร่ำรวยมหาศาลถอยกระเป๋าใบละเจ็ดแสนให้ลูกสาวคนเล็กหิ้วไปมหาวิทยาลัยได้ แต่กับคนโตจะต้องทำงานใช้หนี้หนึ่งล้านบาทเป็นเวลายี่สิบปี
หลังเลิกเรียนเวลาของพลอยพิลาจึงหมดไปกับการทำงานในบริษัทของพ่อตัวเองในฐานะลูกจ้าง แลกกับค่าตอบแทนน้อยนิดเท่าพนักงานบริษัทเอกชนกระจอก ๆ ไว้จับจ่ายใช้สอยระหว่างไปเรียน เธอนั้นจบการตลาด จากมหาวิทยาลัยรัฐฯชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนน้องสาวจบมหาวิทยาลัยเอกชน
พิมพาออดอ้อนขอคำเดียว อะไร ๆ ป๊ากับม๊าก็ให้ได้ แต่กับพลอยพิลาแทบกราบแนบเท้า!
มันเป็นแบบนี้มาตลอดจนพิมพากลายเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัว นิสัยเสียที่สุดเท่าที่เธอเคยพบพานมา อาจจะพอ ๆ กับพ่อและแม่ของเธอ ที่จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาได้เห็นหัวเธอบ้างหรือเปล่า หากไม่คอยทำงานงก ๆ ให้