บทที่ ๒-๑ : นางในฝัน
พระพุทธศักราช ๒๔๕๕
“เอ็งวาดภาพแม่นางให้ดีกว่าที่วาดอยู่มิได้ฤา? อ้ายหลี่จิง จมูกไปทางซ้าย ปากรึก็ไปทางขวาเยี่ยงนี้ข้าว่าแปลกประหลาด แม่นางดูจะพิกลพิการเป็นโรคหน้าเบี้ยวไปเสียแล้วกระมัง” ในสีหน้าว่าไม่พอใจผลงานของจิตรกรประจำตัวที่มาใช้บริการตลอดยี่สิบปี ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นหนุ่มทหารเรือใหม่ ๆ จนทุกวันนี้เป็นนายนาวาเอก ก็ยังต้องกลับมาหาหลี่จิง หนุ่มไทยเชื้อสายจีนวัยห้าสิบห้าปี
ด้วยเหตุว่าเขามีความคิดคำนึงถึงแม่พลอยเป็นอย่างมาก ถึงได้มาบ้านนักศิลป์ท้ายตลาดนางเลิ้ง ทั้งที่ปรกติจะมานาน ๆ ครั้ง เป็นหลายเดือนหรือปีละครั้งได้ ทุก ๆ ครั้งที่มาเขาจะไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบาย หรือบางทีเขาอาจสติฟั่นเฟือนไปเพราะนางในฝันเสียแล้วกระมัง
“เอาอีกละ พุทโธ่ ท่านเจ้าคุณ กระผมก็วาดของผมเหมือนเดิม ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไปสักน้อย”
“จมูก ปาก เปลี่ยนเสียบัดเดี๋ยวนี้ ฤาเอ็งจักเปลี่ยนมือของเอ็ง หลังจากที่ข้าสะบั้นมันให้ขาด เผื่อว่าเอ็งจะทำงานทำการได้เหมาะสมกับเบี้ยของข้า” ดวงตาสีนิลสนิทประกายวาวโรจน์จับจ้องไปยังชายสูงวัยที่มีสีหน้าตื่นตะลึง มือเปรอะเปื้อนสีถือพู่กันวาดภาพสั่นระริก
“อั๊ยยา.. ผมแค่วาดรูปนางในฝันท่านไม่ถูกอกถูกใจ ท่านถึงกับจะตัดมือ ท่านคงเป็นผู้ร้ายฐานฆ่าคนโดยเจตนาโดยแน่แท้”
“ตัดมือเอ็งเท่านี้ ไอ้แก่หนังเหนียวอย่างเอ็งมิเป็นอันต้องตายไปเสียง่าย ๆ ดอก หลี่จิง”
หลี่จิงสบถเสียงดัง “อั๊ยยา ๆ ! กระผมว่าท่านเจ้าคุณพูดจาให้เป็นภาษาคนก่อน ท่านเป็นอย่างนี้เสียอย่างไรเล่า เวลาดี ๆ ก็ดีอยู่ เวลาเป็นบ้าผมล่ะปวดกบาล”
“เอ็งว่าผู้ใดเป็นบ้ารึ? อ้ายเจ๊ก เป็นไทยไม่ถึงครึ่ง”
สองสายตาฟาดฟันแต่เพียงครู่เดียว หลี่จิงสูดลมหายใจเข้าลึก “ยุบหนอ พองหนอ.. เงินหนอ” แล้วสะบัดหน้ากลับไปยังงานของตน
บางครั้งบางคราวท่านเจ้าคุณจะปากคอเราะร้ายว่าภาษาอโยธยาไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะเวลาที่มาขอให้วาดรูปให้ด้วยราคามากกว่าเจ้าอื่นเป็นสิบเท่า
หนุ่มวัยห้าสิบห้าปาดพู่กันเบา ๆ ด้วยสมาธิแน่วแน่ โดยมีเจ้าคุณหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมข้าง ๆ จ้องภาพวาดตาไม่กระพริบ ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งย่ำก้าวเข้ามา ผ่านกระดานวาดภาพซึ่งสายตาสองคู่มองกลับไปด้วยสีหน้าแปลกใจ ยกมือไหว้กันพอเป็นพิธี
“คุณหลวงมาพอดี กระผมกำลังนึกถึงท่านอยู่เทียว”
หลวงนิธิขับรถยนต์มาตามสหายที่ได้บอกเขาเอาไว้ว่าจะมาที่นี่ ไปยืนข้าง ๆ คนวาดภาพที่ละมือออกจากงานก็บ่นในทันที
“เจ้าคุณพิพิธฯวันนี้ท่านเป็นกระไร? เอาแต่ตะขิดตะขวงไปเสียรอบข้างตั้งแต่เช้า ฉันล่ะกินยาหมอฝรั่งไปเม็ดหนึ่ง เพราะปวดศีรษะจวนเจียนจะเป็นบ้าต้องไปโรงหมอก็เพราะท่านนี่แหละ”
ได้ยินเท่านั้น ตาคมมองขวับไปยังคนที่ยังจ้องภาพวาดอยู่ด้วยสีหน้าเข้มเครียดพอกัน หลวงนิธิฯนั้นรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี นอกเวลางานหากคุณชายอินทรีได้คิดถึงหญิงคนนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ มักจะเป็นเช่นนี้ ขณะที่สติสัมปชัญญะของเขาครบถ้วนเหมือนคนปรกติทุกประการ
“คุณชาย กลับกันเถิด ท่านแม่ตรัสว่าให้ฉันมาตามท่าน”
“ข้าหาได้อยากไปที่ใดเพลานี้ ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักประเดี๋ยว..”
หลวงนิธิถอนหายใจทีหนึ่ง เบือนหน้าไปทางหนุ่มชาวจีน “งานเรียบร้อยดีหรือไม่ อีกนานไหมเล่า? หลี่จิง”
“อีกประเดี๋ยวเดียวขอรับ”
ต่างคนจึงอยู่ในความเงียบให้จิตรกรได้ลงมือแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษ สานงานของตนต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
ใบหน้างามผลิยิ้มเจิดจ้า ดวงตาคู่กลมโตสว่างใสประกายจรัส จมูกโด่งงามเป็นสัน เรียวปากงามอิ่มอมแดงชมพูระเรื่อ งามหมดจดแม้กระทั่งรอยยิ้มที่ปรากฎรอยบุ๋มตรงมุมปาก ในชุดไทยสไบทอม่วงมีลาย ประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์
“งามเท่านี้ หากมีตัวตนจริง ไม่ใช่เทพนิยาย หล่อนคงเปรียบเสมือนดวงไฟที่มีตัวแมลงมาตอมว่อน”
“ไม่มีทางที่ข้าจักละเลย ให้เป็นไปตามคำพล่อย ๆ ของเอ็ง.. อ้ายทิศ”
คุณหลวงได้ย้อนกลับไปในสมัยราชธานีเก่า อ้ายทิศเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แย้มยิ้มอย่างไม่ถือสา “ฉันจะต้องพยายามสืบสาวดูสักหน่อยว่าหล่อนเป็นใคร”
“ท่านจะไปเสาะหานางที่ใดก็ไม่พบดอก”
“ลืมไปแล้วรึว่าฉันเป็นใคร?”
ชื่อเสียงในการสืบความเรื่องราวต่าง ๆ มีผู้คนไหว้วานมาก็มาก ต้องยกให้หลวงนิธิเตชจินดา นายสมุห์บัญชีประจำโรงเรียนนายเรือ
หลวงนิธิฯเริ่มต้นจากผู้คนรอบตัวและคนรู้จักของท่านหญิงจอมทั้งหมด เมื่อนานมาแล้ว เขาได้นำภาพของหลี่จิงไปด้วยชิ้นหนึ่งโดยเจ้าตัวไม่รู้ แน่ว่าเขาเป็นคนสนิทคนเดียวที่รู้เรื่องรูปภาพเหล่านี้
“ฉันว่าหล่อนคลับคล้ายคลับคลาลูกสาวคุณหญิงพุ่ม”
“แม่พิม... มิใช่แม่พลอย แม้นกริยาเป็นหญิงเท่ากัน หน้าตาละม้ายคล้ายกัน พี่น้องคู่นี้มิใช่คนคนเดียวกัน”
“คุณหญิงพุ่มมีลูกสาวคนเดียวไม่ใช่ฤา? ฉันได้ยินมาว่า...”
“แหวน.. ชาวสยามในเพลานั้น นิยมสวมแหวนที่นิ้วท้าย ๆ คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย เหตุไฉนเอ็งจึงใส่แหวนไว้ที่นิ้วชี้ล่ะ? หลี่จิง”
คำที่ถูกขัด หนุ่มต่างวัยทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่สบอารมณ์กับคนสั่งงานจอมเรื่องมาก ก่อนที่หลี่จิงจะพูด “แก้ไขไม่ได้แล้ว ต้องวาดใหม่เท่านั้นขอรับท่าน”
คุณชายอินทรีปิดตาลงถอนหายใจหนัก ๆ “ช่างเถอะ เอ็งมีอารมณ์อยากวาดตอนไหน ค่อยวาดก็แล้วกัน”
เงินฟ่อนหนึ่งถูกส่งให้หลี่จิงที่ยกมือไหว้ปลก ๆ ยิ้มหน้าระรื่น ร่างสูงในชุดนายทหารเรือลุกขึ้นรับกระดาษแล้วเดินไป โดยไม่สนใจอีกคนหนึ่ง
หลวงนิธิเห็นว่าเพื่อนกลับมาอยู่ในอารมณ์ปรกติ ก้าวตามไปไว ๆ “วิญญาณกลับร่างแล้วฤาคุณชาย?”
“มีกระไร? คุณหลวง ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ยังไม่ชินอีกรึ?”
“ฉันถึงไม่ซักไซร้หาถ้อยเอาความอะไรกับเพื่อนยังไง ฉันล่ะกลัว..” พูดหน้าตาเหยเก หลวงนิธินั้นเป็นเจ้าหัวใหม่ จบการศึกษาจากเมืองอังกฤษ ไม่ได้กลัวผีอะไรมากมายเหมือนชาวบ้าน แต่กลัวกริยาท่าทาง นิสัยคำพูดของเพื่อนที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเดิม
“ฉันไม่กล้าทำอะไรเพื่อนดอกกระมัง” ในรอยแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ได้รับตอบกลับมาในแบบเดียวกัน
“หากว่ากล้าทำ ฉันก็ไม่เกรงใจเพื่อนนะ”
ชายหนุ่มทั้งสองปะทะสายตาเล็กน้อย ก่อนจะมาถึงรถยนต์ที่จอดไว้หน้าบ้านของหลี่จิง หลวงนิธิมีเรื่องตั้งใจมาขอร้องจึงรั้งอีกคนไว้ ไม่ให้ขึ้นรถไปเสียก่อน
“คุณชายจะกลับบ้านเลยหรือว่ามีธุระที่ไหนหรือไม่? ท่านแม่ให้ฉันมาดูท่าน แต่ที่โรงเรียนยังมีงานอีกสักเล็กน้อย ฉันอยากทำให้เสร็จเรียบร้อยในวันนี้”
“โอเค.. ตามนั้น”
“โอเค.. ตามนั้น?” หลวงนิธิย้อนถามกลับด้วยสีหน้าตะลึงงัน ในวันที่เขาต้องเจอเรื่องประหลาด ๆ อะไรไม่รู้ตั้งหลายอย่าง เขาแน่ใจว่ามันไม่ใช่ภาษาอโยธยาแน่ ๆ และก็ไม่มีใครพูดตอบรับคำด้วยว่า..
“โอเค.. ตามนั้น ทำหน้างงอะไรเล่า? คุณหลวง ไปเจอกันที่โรงเรียน ฉันจะขับรถตามหลังท่านไป”