บทที่ ๒-๑ : นางในฝัน

1379 คำ
บทที่ ๒-๑ : นางในฝัน พระพุทธศักราช ๒๔๕๕ “เอ็งวาดภาพแม่นางให้ดีกว่าที่วาดอยู่มิได้ฤา? อ้ายหลี่จิง จมูกไปทางซ้าย ปากรึก็ไปทางขวาเยี่ยงนี้ข้าว่าแปลกประหลาด แม่นางดูจะพิกลพิการเป็นโรคหน้าเบี้ยวไปเสียแล้วกระมัง” ในสีหน้าว่าไม่พอใจผลงานของจิตรกรประจำตัวที่มาใช้บริการตลอดยี่สิบปี ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นหนุ่มทหารเรือใหม่ ๆ จนทุกวันนี้เป็นนายนาวาเอก ก็ยังต้องกลับมาหาหลี่จิง หนุ่มไทยเชื้อสายจีนวัยห้าสิบห้าปี ด้วยเหตุว่าเขามีความคิดคำนึงถึงแม่พลอยเป็นอย่างมาก ถึงได้มาบ้านนักศิลป์ท้ายตลาดนางเลิ้ง ทั้งที่ปรกติจะมานาน ๆ ครั้ง เป็นหลายเดือนหรือปีละครั้งได้ ทุก ๆ ครั้งที่มาเขาจะไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบาย หรือบางทีเขาอาจสติฟั่นเฟือนไปเพราะนางในฝันเสียแล้วกระมัง “เอาอีกละ พุทโธ่ ท่านเจ้าคุณ กระผมก็วาดของผมเหมือนเดิม ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไปสักน้อย” “จมูก ปาก เปลี่ยนเสียบัดเดี๋ยวนี้ ฤาเอ็งจักเปลี่ยนมือของเอ็ง หลังจากที่ข้าสะบั้นมันให้ขาด เผื่อว่าเอ็งจะทำงานทำการได้เหมาะสมกับเบี้ยของข้า” ดวงตาสีนิลสนิทประกายวาวโรจน์จับจ้องไปยังชายสูงวัยที่มีสีหน้าตื่นตะลึง มือเปรอะเปื้อนสีถือพู่กันวาดภาพสั่นระริก “อั๊ยยา.. ผมแค่วาดรูปนางในฝันท่านไม่ถูกอกถูกใจ ท่านถึงกับจะตัดมือ ท่านคงเป็นผู้ร้ายฐานฆ่าคนโดยเจตนาโดยแน่แท้” “ตัดมือเอ็งเท่านี้ ไอ้แก่หนังเหนียวอย่างเอ็งมิเป็นอันต้องตายไปเสียง่าย ๆ ดอก หลี่จิง” หลี่จิงสบถเสียงดัง “อั๊ยยา ๆ ! กระผมว่าท่านเจ้าคุณพูดจาให้เป็นภาษาคนก่อน ท่านเป็นอย่างนี้เสียอย่างไรเล่า เวลาดี ๆ ก็ดีอยู่ เวลาเป็นบ้าผมล่ะปวดกบาล” “เอ็งว่าผู้ใดเป็นบ้ารึ? อ้ายเจ๊ก เป็นไทยไม่ถึงครึ่ง” สองสายตาฟาดฟันแต่เพียงครู่เดียว หลี่จิงสูดลมหายใจเข้าลึก “ยุบหนอ พองหนอ.. เงินหนอ” แล้วสะบัดหน้ากลับไปยังงานของตน บางครั้งบางคราวท่านเจ้าคุณจะปากคอเราะร้ายว่าภาษาอโยธยาไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะเวลาที่มาขอให้วาดรูปให้ด้วยราคามากกว่าเจ้าอื่นเป็นสิบเท่า หนุ่มวัยห้าสิบห้าปาดพู่กันเบา ๆ ด้วยสมาธิแน่วแน่ โดยมีเจ้าคุณหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมข้าง ๆ จ้องภาพวาดตาไม่กระพริบ ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งย่ำก้าวเข้ามา ผ่านกระดานวาดภาพซึ่งสายตาสองคู่มองกลับไปด้วยสีหน้าแปลกใจ ยกมือไหว้กันพอเป็นพิธี “คุณหลวงมาพอดี กระผมกำลังนึกถึงท่านอยู่เทียว” หลวงนิธิขับรถยนต์มาตามสหายที่ได้บอกเขาเอาไว้ว่าจะมาที่นี่ ไปยืนข้าง ๆ คนวาดภาพที่ละมือออกจากงานก็บ่นในทันที “เจ้าคุณพิพิธฯวันนี้ท่านเป็นกระไร? เอาแต่ตะขิดตะขวงไปเสียรอบข้างตั้งแต่เช้า ฉันล่ะกินยาหมอฝรั่งไปเม็ดหนึ่ง เพราะปวดศีรษะจวนเจียนจะเป็นบ้าต้องไปโรงหมอก็เพราะท่านนี่แหละ” ได้ยินเท่านั้น ตาคมมองขวับไปยังคนที่ยังจ้องภาพวาดอยู่ด้วยสีหน้าเข้มเครียดพอกัน หลวงนิธิฯนั้นรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี นอกเวลางานหากคุณชายอินทรีได้คิดถึงหญิงคนนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ มักจะเป็นเช่นนี้ ขณะที่สติสัมปชัญญะของเขาครบถ้วนเหมือนคนปรกติทุกประการ “คุณชาย กลับกันเถิด ท่านแม่ตรัสว่าให้ฉันมาตามท่าน” “ข้าหาได้อยากไปที่ใดเพลานี้ ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสักประเดี๋ยว..” หลวงนิธิถอนหายใจทีหนึ่ง เบือนหน้าไปทางหนุ่มชาวจีน “งานเรียบร้อยดีหรือไม่ อีกนานไหมเล่า? หลี่จิง” “อีกประเดี๋ยวเดียวขอรับ” ต่างคนจึงอยู่ในความเงียบให้จิตรกรได้ลงมือแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษ สานงานของตนต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้างามผลิยิ้มเจิดจ้า ดวงตาคู่กลมโตสว่างใสประกายจรัส จมูกโด่งงามเป็นสัน เรียวปากงามอิ่มอมแดงชมพูระเรื่อ งามหมดจดแม้กระทั่งรอยยิ้มที่ปรากฎรอยบุ๋มตรงมุมปาก ในชุดไทยสไบทอม่วงมีลาย ประหนึ่งนางฟ้านางสวรรค์ “งามเท่านี้ หากมีตัวตนจริง ไม่ใช่เทพนิยาย หล่อนคงเปรียบเสมือนดวงไฟที่มีตัวแมลงมาตอมว่อน” “ไม่มีทางที่ข้าจักละเลย ให้เป็นไปตามคำพล่อย ๆ ของเอ็ง.. อ้ายทิศ” คุณหลวงได้ย้อนกลับไปในสมัยราชธานีเก่า อ้ายทิศเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แย้มยิ้มอย่างไม่ถือสา “ฉันจะต้องพยายามสืบสาวดูสักหน่อยว่าหล่อนเป็นใคร” “ท่านจะไปเสาะหานางที่ใดก็ไม่พบดอก” “ลืมไปแล้วรึว่าฉันเป็นใคร?” ชื่อเสียงในการสืบความเรื่องราวต่าง ๆ มีผู้คนไหว้วานมาก็มาก ต้องยกให้หลวงนิธิเตชจินดา นายสมุห์บัญชีประจำโรงเรียนนายเรือ หลวงนิธิฯเริ่มต้นจากผู้คนรอบตัวและคนรู้จักของท่านหญิงจอมทั้งหมด เมื่อนานมาแล้ว เขาได้นำภาพของหลี่จิงไปด้วยชิ้นหนึ่งโดยเจ้าตัวไม่รู้ แน่ว่าเขาเป็นคนสนิทคนเดียวที่รู้เรื่องรูปภาพเหล่านี้ “ฉันว่าหล่อนคลับคล้ายคลับคลาลูกสาวคุณหญิงพุ่ม” “แม่พิม... มิใช่แม่พลอย แม้นกริยาเป็นหญิงเท่ากัน หน้าตาละม้ายคล้ายกัน พี่น้องคู่นี้มิใช่คนคนเดียวกัน” “คุณหญิงพุ่มมีลูกสาวคนเดียวไม่ใช่ฤา? ฉันได้ยินมาว่า...” “แหวน.. ชาวสยามในเพลานั้น นิยมสวมแหวนที่นิ้วท้าย ๆ คือนิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย เหตุไฉนเอ็งจึงใส่แหวนไว้ที่นิ้วชี้ล่ะ? หลี่จิง” คำที่ถูกขัด หนุ่มต่างวัยทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่สบอารมณ์กับคนสั่งงานจอมเรื่องมาก ก่อนที่หลี่จิงจะพูด “แก้ไขไม่ได้แล้ว ต้องวาดใหม่เท่านั้นขอรับท่าน” คุณชายอินทรีปิดตาลงถอนหายใจหนัก ๆ “ช่างเถอะ เอ็งมีอารมณ์อยากวาดตอนไหน ค่อยวาดก็แล้วกัน” เงินฟ่อนหนึ่งถูกส่งให้หลี่จิงที่ยกมือไหว้ปลก ๆ ยิ้มหน้าระรื่น ร่างสูงในชุดนายทหารเรือลุกขึ้นรับกระดาษแล้วเดินไป โดยไม่สนใจอีกคนหนึ่ง หลวงนิธิเห็นว่าเพื่อนกลับมาอยู่ในอารมณ์ปรกติ ก้าวตามไปไว ๆ “วิญญาณกลับร่างแล้วฤาคุณชาย?” “มีกระไร? คุณหลวง ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ยังไม่ชินอีกรึ?” “ฉันถึงไม่ซักไซร้หาถ้อยเอาความอะไรกับเพื่อนยังไง ฉันล่ะกลัว..” พูดหน้าตาเหยเก หลวงนิธินั้นเป็นเจ้าหัวใหม่ จบการศึกษาจากเมืองอังกฤษ ไม่ได้กลัวผีอะไรมากมายเหมือนชาวบ้าน แต่กลัวกริยาท่าทาง นิสัยคำพูดของเพื่อนที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนเดิม “ฉันไม่กล้าทำอะไรเพื่อนดอกกระมัง” ในรอยแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ได้รับตอบกลับมาในแบบเดียวกัน “หากว่ากล้าทำ ฉันก็ไม่เกรงใจเพื่อนนะ” ชายหนุ่มทั้งสองปะทะสายตาเล็กน้อย ก่อนจะมาถึงรถยนต์ที่จอดไว้หน้าบ้านของหลี่จิง หลวงนิธิมีเรื่องตั้งใจมาขอร้องจึงรั้งอีกคนไว้ ไม่ให้ขึ้นรถไปเสียก่อน “คุณชายจะกลับบ้านเลยหรือว่ามีธุระที่ไหนหรือไม่? ท่านแม่ให้ฉันมาดูท่าน แต่ที่โรงเรียนยังมีงานอีกสักเล็กน้อย ฉันอยากทำให้เสร็จเรียบร้อยในวันนี้” “โอเค.. ตามนั้น” “โอเค.. ตามนั้น?” หลวงนิธิย้อนถามกลับด้วยสีหน้าตะลึงงัน ในวันที่เขาต้องเจอเรื่องประหลาด ๆ อะไรไม่รู้ตั้งหลายอย่าง เขาแน่ใจว่ามันไม่ใช่ภาษาอโยธยาแน่ ๆ และก็ไม่มีใครพูดตอบรับคำด้วยว่า.. “โอเค.. ตามนั้น ทำหน้างงอะไรเล่า? คุณหลวง ไปเจอกันที่โรงเรียน ฉันจะขับรถตามหลังท่านไป”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม