บทที่ ๑๐-๑ : เจ้ากรรมนายเวร
พลอยพิลารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนที่นอนนุ่ม หลังสวดมนต์ไม่ทันได้สักครึ่งบทชินบัญชร ความง่วงงุนก็เข้าจู่โจมจนต้องหลับไปทั้งอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครเป็นคนอุ้มเธอมาส่งถึงที่ได้ทุกวี่ทุกวัน
กระทั่งถึงเวลาเช้าตรู่ ความที่ตกกลางดึกนอนร้อน ๆ หนาว ๆ พลิกตัวไปมาไม่หลับดี เธอจึงลุกไปช่วยบ่าวเตรียมอาหารเพื่อรอใส่บาตร ด้านหลังบ้านเป็นสถานที่ซึ่งนาน ๆ ครั้งเธอจะไป หากไม่มีเหตุอะไรให้ต้องไปเรียกบ่าวเป็นการส่วนตัว
คุณเย็นจะคอยให้ความช่วยเหลือเธอตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ วันนี้เย็นนำสำรับอาหารมาวางไว้บนโต๊ะตัวเล็ก ๆ หน้าบ้านแต่ฟ้ายังมืด เห็นขอบตาดำคล้ำจึงมีท่าทีเป็นกังวล
“คุณพลอยนอนไม่หลับฤาเจ้าคะ?”
หญิงสาวยกมือขึ้นป้องปากหาวหวอด ๆ “ค่ะคุณเย็น ฉันเป็นพวกชอบฝันอะไรเยอะแยะน่ะ เลยหลับ ๆ ตื่น ๆ”
เป็นเรื่องไม่ปรกติกับบ่าวคู่กายที่แทบจะตัวติดกันเหมือนวาสนานำพา
บ้านนี้ชอบใส่บาตรกันเป็นกิจวัตร มีบางวันที่ท่านหญิงจอมอาจตื่นสายพอ ๆ กับแม่แช่ม เพราะกลับจากสมาคมคุณหญิงคุณนายดึกดื่น
“คุณพลอยเล่าให้ดิฉันฟังได้หรือไม่เจ้าคะ? คุณพลอยฝันอะไร ถึงได้นอนไม่ค่อยจะหลับ”
“ฉันว่าคุณเย็นไม่อยากฟังแน่ ๆ”
“อยากฟังเจ้าค่ะ”
ใบหน้าสวดสวยมองขวับว่า “เล่าไม่ได้ค่ะคุณเย็น มันเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ อีโรติกสุด ๆ ไม่เหมาะกับงานบุญตอนเช้า ๆ อย่างนี้ด้วยค่ะ”
“ทำไมไม่เหมาะสมเจ้าคะ? ดิฉันไม่เข้าใจ”
เป็นกชกรคงเข้าใจคำว่าอีโรติกไปแล้ว เธอถอนหายใจครั้งหนึ่ง “คุณเย็นอายุเท่าไร?”
“ดิฉันอายุย่างเข้าสามสิบสามปีนี้เจ้าค่ะ ถ้าหากว่าคุณพลอยกำลังหมายถึงเรื่องประสาหนุ่มสาว.. คุณพลอยฝันถึงคุณชายฤาเจ้าคะ?” บ่าวรู้มากทำหน้าทะเล้น ดูมั่นอกมั่นใจในเรื่องไม่ควรถาม เป็นนายผู้หญิงที่ออกอาการเก้อเขินจนหน้าซีด ๆ เมื่อสักครู่มีสีระเรื่อบาง
“คุณพี่..”
“คุณพี่ฤาเจ้าคะ?”
“ไม่รู้สิ ฉันเรียกเขาว่าคุณพี่ ชื่ออะไรก็ยังไม่รู้เลย จำได้ราง ๆ ก็แค่ฝันน่ะจ้ะ” ยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายเลิกเซ้าซี้ถาม ทว่าเธอกลับต้องแปลกใจ
“คุณพี่ของคุณพลอยก็คุณชายนี่เจ้าคะ”
คนได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่ “คุณเย็น.. รู้ได้ไง?”
“คนในบ้านนี้รู้กันหมดทั้งนั้น คุณชายท่านชอบเพ้อละเมอ เมาหัวราน้ำอยู่เรือนหลังบ้าน ท่านหญิงทอดเนตรเข้าทีไร กริ้วอยู่ครึ่งค่อนวัน ดิฉันกับแม่คอยแอบดูอยู่ว่ายังไง ท่านชอบว่า แม่พลอย แม่พลอย.. พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าจะให้พี่รอไปถึงเมื่อใด..” ยังเลียนเสียงชายหนุ่มด้วยอีกต่างหาก ถึงมันจะไม่ตลกกับนายผู้หญิงที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟังแม้แต่น้อย
“แม่แช่มเคยพูดกับท่านหญิง ท่านไม่โปรดฟัง แต่พอท่านได้พบคุณพลอย... บอกว่าชื่อกระไร จำได้ไหมเล่าเจ้าคะ?” บ่าวทำตาโตท่าทางเดียวกับเจ้าของบ้าน ก่อนจะเล่าต่อ “แม่แช่มยังบอกว่าเป็นคนรักของคุณชายท่านแต่ชาติปางก่อนแน่เทียว จะมีสักกี่แม่พลอยในพระนคร”
“ฉันว่ามีแหละค่ะ ชื่อโบราณ ๆ แบบนี้” ใบหน้าสดสวยขยับยิ้มหลังคุยกับบ่าวเพลิน ชะเง้อคอมองไปทางเดินข้างหน้าที่เป็นเพียงถนนเส้นเล็ก ๆ มีต้นไม้เขียวชอุ่มอยู่โดยรอบ
“พระมากี่โมงหรือคะ?”
บ่าวตอบ “อีกประเดี๋ยวก็มาเจ้าค่ะ เอ่อ.. คุณพลอยเจ้าคะ ดิฉันได้ยินมาว่า..” เงียบไปครู่ “คุณพลอยคือคุณพิมพ์พลอยใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ใครหรือ? พิมพ์พลอย” พลอยพิลาพยายามใช้ความคิด เพราะว่าเธอไม่รู้จริง ๆ แต่อีกคนกลับคิดเป็นอีกอย่าง
“คุณพลอยเจ้าคะ..” เย็นเลื่อนมือไปกุมมือของนายผู้หญิงเอาไว้ด้วยสายตามาดมั่น “เชื่อใจดิฉันเถิดเจ้าค่ะ เรื่องคุณหญิงพุ่ม.. แม่ของคุณพลอย อีเย็นคนนี้จะปกป้องคุณพลอย ไม่ให้ใครมาพาคุณพลอยไปบ้านโคมเขียวเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
คำถามเต็มวงหน้าของหญิงสาวที่ยังคงไม่เข้าใจความหวังดีของบ่าวว่ามันคืออะไร
“ที่ไหนหรือ คุณเย็น มันคืออะไรอ่ะ บ้านโคมเขียว..?”
“นังเย็น..!” เสียงตวาดดังมาจากข้างหลังพาสองสาวสะดุ้ง มองขวับตามเจ้าของร่างสูงในเครื่องแบบนายทหารเรือเต็มยศใหญ่ สีดำคาดสักหลาดแถบทอง หน้าตาถมึงทึง ไม่มีใครรู้ว่าเขาโผล่มายืนอยู่ข้าง ๆ ตอนไหน
“ปากบอนแต่เช้าเทียว แม่พลอย หล่อนอยากได้บ่าวใหม่สักคนไหม?”
บ่าวได้สันหลังวาบกับคำขู่ที่ทำให้หญิงสาวลุกพรวดไปดึงชายเสื้อเบา ๆ “ไม่ค่ะ ฉันชอบคุณเย็น”
“ฮึ! หล่อนก็คงจะต้องชอบ เพราะมันเก็บเล็กเก็บน้อยมาเล่าให้ฟังเสียหมดทุกอย่าง” ต่อว่า แล้วก็มองไปทางคนที่ลุกขึ้นหยิบจับของทำไม่รู้ไม่ชี้ด้วยสายตาริษยา ขณะที่แก้มตุ่ย ๆ ของหญิงสาวเจ้าหัวใจว่างอนแน่ทำให้เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง นอกจากตักเตือน
“ไม่ต้องไปฟังคำแม่เย็นมาก พูดจาไม่เป็นเรื่องเป็นราว”
หญิงสาวที่อุตส่าห์ช่วยเป็นกามเทพให้มองไปทางนายผู้หญิงที่ค้อนใส่ชายหนุ่ม
“คุณเย็นยังพูดไม่จบเลย ฉันอยากฟังต่อค่ะ” แล้วหันไปทางคนขวา “เรื่องพวกนี้มันไม่น่าเชื่อจริง ๆ หรือคะ? คุณเย็น พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกินเนี่ยค่ะ”
บ่าวได้รับอนุญาตให้พูดก็ไม่รอช้า “ไม่เชื่อสิชอบกลเจ้าค่ะ เรื่องของคุณชายกับคุณพลอยนับว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก บ้านอื่นรึ มีเรื่องประหลาดกว่านี้เจ้าค่ะ เพื่อนบ่าวดิฉัน เจอผีอำ เจอนางพรายในน้ำตอนดึกดื่นมืดค่ำ เป็นไข้หัวโกร๋นไปตามกัน อีกบ้านหนึ่ง นายท่านเป็นโรคแปลกประหลาด หมอรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ตัวนี้เป็นตุ่ม ๆ ทั้งตัว ผู้คนรังเกียจไปหมด ผู้เขาเล่ากันมาว่าโดนคุณไสย เจ้ากรรมนายเวรมาเอาคืนแน่เทียวเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้โดนของแน่ ๆ เทียวค่ะ เขาเรียกว่า โรคท้าวแสนปม เป็นโรคพันธุกรรมชนิดหนึ่ง คงอีกนานกว่าจะมียารักษา” เสียงใสขัดความเชื่องมงายของผู้คนในยุคนี้ ให้บ่าวยิ่งสงสัยหนัก
“คุณพลอยว่ากระไรเจ้าคะ? พันธุ ออ.. กรรม เวรกรรม เจ้ากรรมนายเวร” และเย็นก็แก้ความสงสัยให้ตัวเองได้อีกต่างหาก
พลอยพิลาถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ยกมือกุมขมับ มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของชายหนุ่ม “ฉันบอกหล่อนแล้ว พูดไปก็ไม่รู้เรื่องหรอกน่ะ”
ทันใดนั้นเอง แรงสั่นจากมือ กับอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ประหลาดทำให้เธอต้องเก็บอาการ ด้วยการลดมือลงไว้ข้างลำตัว ก่อนจะรีบบอก
“คุณเย็น.. ฉัน.. อยากอยู่กับคุณชายสองคนได้ไหมจ้ะ?”
“เจ้าค่ะ” บ่าวมีสีหน้าผิดหวัง ถึงจะอยากใส่บาตรด้วย แต่ก็ยอมสะบัดก้นไป เพราะไม่อยากเป็นกว้างขวางคอ
ชายหนุ่มเห็นท่าไม่ค่อยจะดีแต่เขาก็จำต้องฝืนให้เธอหมั่นทำบุญ ฝ่ามือหนาค่อย ๆ ประคองร่างสั่นเทาที่พยายามยืนให้อยู่ ไม่ลืมถอดรองเท้าของตนออกเสียก่อน
“อดทนหน่อยนะ แม่พลอย ที่คนเรายังมีชีวิตได้ก็เพราะบุญ หากใจมั่นคงกล้าแข็งด้วยความบริสุทธิ์ ของสกปรกพรรค์นี้ทำอะไรความดีในตัวเราไม่ได้”
เสียงทุ้มดังก้องกังวาน เตือนสติให้คงอยู่กับตัว เธอเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาให้ข้อโต้แย้งได้เสมอ เว้นคราวนี้ แสงจ้าสีเหลืองทองอร่ามของพระหลายองค์ ใกล้เข้ามามากเท่าไร เธอยิ่งร้อน เหมือนโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเธอที่หน้าสั่น ปากสั่น แต่อยู่บนพื้นดินที่หมุนเป็นม้าหมุนในสวนสนุก
เออ! ของเท่านี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!
ให้กำลังใจตัวเอง มือสั่นเทาเอื้อมไปคว้าทัพพีตักข้าวร้อน ๆ ร้อนจนแทบหล่นหากไม่ถูกจับไว้ให้ของในมือยังคงอยู่ ในอ้อมแขนกว้างกำยำเพียงครึ่งของคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง ฝ่ามืออุ่นคอยจับประคองต้นแขนไว้ให้ยังทรงตัวได้
เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนป่วยใกล้ตายที่อยากทำบุญ ทุกการขยับเคลื่อนไหวในความช่วยเหลือ ไม่ใช่ร่างกายของเธออีกต่อไป มือสั่นเทาตักข้าวใส่ลงในขันบาตร ผัดผักในห่อใบตอง ผลไม้ ถวายพระ ผ่านไปองค์แล้วองค์เล่า
หญิงสาวมองภาพลับตาไปด้วยใจเปี่ยมบุญ ถึงร้อนรุ่มสักเพียงใดก็เป็นแค่สำนึกรู้หลอก ๆ กระนั้น สัมผัสอันแสนอบอุ่นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียว ความร้อนก็ร้อนเพียงวูบเดียวเท่านั้น มันพัดผ่านไปแล้วแทนที่ด้วยความรู้สึกอันมากล้นในอก เขายังไม่ปล่อยมือเธอ และเธอที่ถูกกอบกุมไว้ด้วยความนิ่มนวลก็ไม่อยากให้เขาปล่อย
“พี่มิใช่คนใจบุญ แต่เพียงคำขอของเจ้าคำเดียวว่าอยากตักบาตรพระ พี่ก็ยอมทำบุญ.. แม่พลอย” ความคิดถึงคนึงหาในวันวานคงยากหักห้ามใจ แต่ครู่เดียวสติของเขาก็กลับมา ขณะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นของคนที่เกือบจะยืนได้อย่างมั่นคง หลังพระสงฆ์ทุกรูปจากไป
ตาคมลอบมองใบหน้างามชม้อยที่ยังคงงดงามแม้หน้าซีดเผือดไร้เม็ดสี ผิวขาวผ่องใต้รอยขอบตาดำคล้ำชัดเจน อาการน่าเป็นห่วง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
“ปรกติฉันก็ทำบุญกับคุณกชกรตลอดนะคะ”
“ใครกัน? ชื่อประหลาดนัก กชกร” ถามอย่างสงสัย ยิ่งพอรอยบุ๋มตรงมุมปากปรากฎในเสียงเจื้อยแจ้ว
“เลขานุการฉันเองค่ะ เธอเป็นเหมือนพี่สาว ทำให้ฉันทุก ๆ อย่าง แม้แต่ปลุกฉันจากที่นอน เตรียมเอกสาร ประชุม นัดหมายงาน หาข้าวหาปลาให้กินทุกมื้อ”
“อืม.. เลขานุการก็คือบ่าว ฝรั่งเรียก สิเกรตารี่” การออกความเห็นของชายหนุ่มทำเอาคนเล่าขำอยู่น้อย ๆ
“ถ้าคุณกชได้ยินคงได้โกรธคุณชายแน่ค่ะ อ้อ.. หน้าตาเธอเหมือนคุณเย็นเปี้ยบ เป็นคนคนเดียวกันเลยค่ะ”
“จริงรึ?” คิ้วเข้มหนาที่เรียบขนานไปกับดวงตาคู่หวานคมขมวดยุ่ง
“ค่ะคุณชาย”
“ฉันจะลองหาคำตอบในเรื่องนี้ หล่อนมีเรื่องกระไร โทรศัพท์หาฉันล่ะ เบอร์โต๊ะทำงานฉันอยู่กับแม่เย็น ป้าแช่ม” ใบหน้าหวานคมฉายแววเศร้าหมองอาลัยดูแล้วว่าไม่อยากไปทำงานเลยสักนิด และก็ยังไม่ขยับ ไม่ปล่อยทั้งมือนุ่ม ๆ ต้นแขนนิ่ม ๆ ทั้งที่ใส่บาตรเรียบร้อยไปแล้ว
“ไปทำงานเถอะค่ะคุณชาย เดี๋ยวจะสาย” เอ่ยพลางชายตามองเจ้าของร่างสูงในชุดราชการสีขาวสะอาด ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมที่ได้ยินอยู่ว่าดังพอกัน
“ปล่อยมือฉันได้แล้วค่ะ”
“ทำไมหล่อนไม่ดึงออกเล่า”
“ฉันอยากให้คุณชายปล่อยมือฉันเอง” หญิงสาวลอบยิ้มอยู่ ก่อนจะหลุบหน้าหนีอย่างเอียงอาย ไม่รู้ผีสาวตนไหนเจาะปากให้พูด!
“ก็คงจะไม่ได้ปล่อย ไม่ได้ไปทำงานแน่ ๆ” คนพูดฉีกยิ้มกว้างเห็นไรฟันขาวครบทุกซี่ สายตาระยิบระยับจับแก้มแดง ๆ ของนวลนาง นึกอยากฟัดสักฟอดหนึ่ง จึงค่อย ๆ โน้มตัวลงหากลิ่นหอมกรุ่นของกระแจะจัน กลิ่นเดียวกับเมียรักของเขาในอดีต
เขาทำตัวเป็นหมาคุ้นกลิ่นดมหาอาหารรสเลิศตามต้นลม ยามปลายจมูกโด่งเป็นสันคมค่อย ๆ แตะลงบนความนุ่มนวล ทว่าไม่ทันจะได้สูดความชื่นใจเข้าปอดดี เสียงนางฟ้าอีกองค์กระชากลงมาจากสวรรค์!
“ใส่บาตรพระเสร็จตั้งนาน ยังไม่เสด็จไปทำงานอีกรึ? คุณชาย”