บทที่ ๙-๒ : เสน่ห์แม่พลอย
“หม่อมฉันเกรงว่าคนคิดสูตรขนมนี้เป็นคนแรก หรือคุณจันจะเสียใจเพคะ”
“ฤาหล่อนจะลองเปลี่ยนชื่อเป็นหนูจันดี?”
พูดถึงเรื่องชื่อ พลอยพิลาคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงมารดา “ชื่อของหม่อมฉันคงจะเปลี่ยนยากเพคะ แม่ของหม่อมฉันเคยเล่าว่า ตั้งแต่วันท้องจนถึงคราวคลอด แม่ฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวโบราณ สั่งให้ตั้งชื่อหม่อมฉัน พลอยพิลา ไม่งั้นจะตามไปหักคอ”
ท่านหญิงจอมเบิกเนตรกว้างตกพระทัย “อุ๊ยตาย! แม่จะโดนหักคอไหมล่ะ”
“ท่านหญิงเชื่อเรื่องผีด้วยหรือเพคะ?”
“แม่ก็ไม่ค่อยจะเคยเชื่อ แต่มาได้เจอหล่อน มีได้ฟังเรื่องชอบกลตลอด” ไหนจะเรื่องของคุณชายที่ไม่เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เคยจริงจังกับหญิงใดสักคนจนพบหล่อน คำพูดคำจาก็ประหลาดนัก ท่านหญิงจอมไม่ได้กล่าวออกไป
พลอยพิลายกมือขึ้นป้องปาก แอบหัวเราะ “รับประทานโทษเพคะ”
ว่ากันว่า เข้าเมืองหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม พลอยพิลายังคงพยายามเรียนรู้จากผู้คนรอบกาย ซึ่งมันก็ยากอยู่ ดวงตาคู่กลมโตละจากขนมปั้นทรงสวย มองวงพักตร์งามที่เปื้อนริ้วรอยไปตามชันษา “คุณชายช่างโชคดีที่มีมารดาเช่นท่านหญิง หม่อมฉันไม่เคยทำขนมกับแม่เลยเพคะ”
ท่านหญิงจอมสีพักตร์สงสัย “หล่อนพูดจริงฤา? ไม่เบื่อ วัน ๆ ทำอะไรกัน?”
“ไม่น่าจะมีเพคะ ตอนเด็ก ๆ หม่อมฉันอยู่กับพี่เลี้ยง โตมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง กลับบ้านไปกินข้าว ไม่เกินสิบห้านาที ก็กลับเพน..” เกือบหลุดปากไปจึงแก้คำเสียใหม่ “บ้านตัวเอง เพคะ”
“ทำไมไม่ลองชวนแม่ดู?”
“แม่บอกว่าต้องทำงาน ไม่มีเวลามาทำเรื่องพวกนี้ ถ้าหม่อมฉันว่าง ให้เอาเวลาไปหาเงินดีกว่า”
ท่านหญิงจอมสดับฟังอย่างตั้งพระทัย แต่ไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของหญิงสาว จึงปลอบใจแทน “ความหมายของแม่ คงหมายว่าหล่อนหาเงินเก่งกว่าทำขนม ดีเหมือนกัน ไว้เราออกไปหาเงินด้วยกัน”
“ดีเพคะ” ตอบทันที ในรอยยิ้ม
“หากหล่อนยิ้มได้ ว่าจะไม่สงสัยก็ไม่ได้ว่าหล่อนล่ะชอบเงินเสียมากกว่าการทำขนม”
คราวนี้คนฟังเลยนิ่งคิด “แต่ว่าเวลาหม่อมฉันทำงาน หม่อมฉันยิ้มไม่ออกเพคะ ตอนนี้รู้สึกสนุกมากกว่า”
“จริงหล่อน ทำขนมดีกว่าเป็นไหน ๆ” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของร่างสูงในชุดข้าราชการที่แอบฟังสองหญิงสาวสนทนากันอยู่หลังประตูได้สักครู่ ชะโงกหน้าออกมาลอบส่งยิ้มหวาน หญิงสาวหลุบตาหนีอย่างอาย ๆ
“เป็นผู้ชายทำตัวร้ายกาจสักเท่าไร พอได้พะนอเข้าสักหน่อย ก็ใจอ่อนไปเสียทุกราย” แววเนตรว่าไม่พอหทัยนักมองกลับไป พลอยพิลารีบแก้ตัว
“หม่อมฉันยั่วโมโห... เอ่อ พูดให้ก้ำเกินคุณชายเองเพคะ”
“เอ้า นี่ พูดภาษาคนเป็นเสียนี่นะ”
“เพคะ ท่านหญิง”
ใบหน้าสดสวยที่มีรอยยิ้มบางระเรื่องามด้วยลักยิ้มตรงมุมปาก ทำให้ท่านหญิงจอมได้แย้มโอษฐ์ตาม ทว่ากริยาท่านเป็นหญิงสูงชันษา ก็ต้องบ่นเป็นปรกติวิสัย
“เลิกงานละฤาจะเคยกลับบ้านช่องได้ไวเท่านี้ ถ้าแม่พลอยไม่อยู่ ไม่มีใครได้เห็นหัวคุณชายอินทรีดอก”
“โธ่.. ท่านแม่ น้อยใจอะไรลูกจ้ะ” เสียงทุ้มหวานว่า ชายหนุ่มเข้าไปโอบองค์มารดาอย่างออดอ้อนเป็นเด็กเล็ก ๆ
พลอยพิลาอดไม่ได้ที่จะมีความสุขไปด้วย ขณะเดียวกัน คงได้แอบอิจฉาอยู่น้อย ๆ ในความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของลูกคนหนึ่งที่อยากจะมีโอกาสได้รับความรักจากบิดามารดาสักครึ่งค่อนของท่านหญิงจอมรักบุตรชาย
ป๊าม๊าไม่เคยกอดเธอเลยสักครั้ง..
คิด ๆ ไปก็วางมือเปรอะเปื้อนแป้งขนม คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่น มองเสื้อขาวข้าราชการกระดุมทอง กางเกงดำแถบทอง หรือบางวันที่เป็นเครื่องแบบสีดำเสื้อคอตั้งอกปิดเอวรัด ด้านหน้าสั้นแค่เอว ด้านหลังชายเสื้อยาวถึงเข่า บากตรงกลางเหมือนเสื้อทักซิโด คล้ายว่าเครื่องแบบทหารเรือจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“มีอะไรหรือ? แม่พลอย” ถามคนตัวเล็กที่กำลังจ้องชุดของเขายังกับจะสิงเข้าไป
“ถ้าจะให้แม่เดา คงเป็นเครื่องแบบของคุณชาย”
หญิงสาวยิ้มเจื่อนตอบไปตามตรง “เพคะ.. ท่านหญิงอ่านใจหม่อมฉันออกอยู่เรื่อย”
“เห็นทำหน้ายุ่ง ๆ เงียบ ๆ แม่รึดูแว้บเดียวก็รู้แล้วว่าแม่คนนี้น่ะขี้สงสัยกว่าใคร” ท่านหญิงจอมสรวลพองาม จึงอธิบาย “ตั้งแต่ ร.ศ. 131 เป็นต้นมา คุณชายแต่งตัวเต็มยศขาว ฤาครึ่งยศอย่างไร แล้วแต่โอกาส”
“คนเขานับวันเดือนปีเป็นพุทธศักราช แล้วกระหม่อม”
“แม่เป็นคนรุ่นเก่า จะให้ทำอย่างไรดีล่ะ? แม่ยังชินกับรัตนโกสินทรศก”
“มันเมื่อไรคะ? ร.ศ. 131” คนถามมองไปทางร่างสูงที่ละจากองค์นุ่มนิ่มของมารดา ขยับมายืนข้าง ๆ กัน เขาคงตอบคำถามได้ดีกว่า
“พ.ศ.2455 ปีนี้ยังไงล่ะ”
“แล้วเครื่องแบบนี่… ทำไมถึง...?” ในสีหน้าฉงนสงสัย เธอจำได้ว่าเคยดูละครย้อนยุคผ่านช่องโทรทัศน์เมื่อนานมาแล้ว ต่างจากชุดของนายทหารเรือยุคนี้
“ราชนาวีสยามมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายจากราชนาวีเยอรมัน เป็นราชนาวีอังกฤษ เพราะสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”
“สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง!” เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ คุณชายอินทรีจึงรีบบอก
“สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประเทศไทยเราวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ไม่เหมือนสงครามโลกครั้งที่สอง”
“มันยังมีครั้งที่สองอีกรึ?”
ชายหนุ่มเหมือนลืมตัวไปว่ามารดายืนอยู่ตรงหน้า มองเลิ่กลั่ก “ท่านแม่ ลูกพูดไปเรื่อยเปื่อย อย่าได้ใส่พระทัย กระหม่อม”
“ขนมเสร็จแล้วเพคะ ท่านหญิง”
พลอยพิลาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ให้ต่างคนก้มหน้าลงมองขนมปั้นก้อนเล็กกลมที่มีดอกไม้ห้ากลีบเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง ท่านหญิงจอมตรัสชมไม่ขาดปาก ยกถาดขนมเสด็จไป เหลือไว้ในครัวเพียงสามก้อน ให้บุตรชายที่มองขนมตาเป็นมัน หรือจะแอบมองคนทำขนมก็หาได้มีใครรู้
คุณชายอินทรีรวบขนมไว้ในอุ้งมือเดียว เดินอมยิ้มไปถึงห้องรับแขกที่ท่านหญิงจอมกำลังเสวยขนมกับบ่าวทั้งสอง แม่แช่มกับแม่เย็น ถึงจะเป็นบ่าวคอยดูแลบ้าน แต่เปรียบเสมือนญาติมิตรสนิทกัน บ้านของท่านหญิงจอมอยู่กันอย่างรักใคร่ อบอุ่นแบบนี้ ท่านถึงได้โปรดให้ละคำราชาศัพท์ว่าวังไว้สักคำหนึ่ง ให้เรียกว่า ‘บ้าน’
“ฉันแลไม่เห็นแม่พลอย ทำไมยังไม่มาล่ะ?” ท่านหญิงจอมตรัสถาม
ชายหนุ่มตะโกนเรียก “หนูพลอย!”
ท่านหญิงจอมไม่พอหทัยอยู่เนือง ๆ กับเสียงเอะอะโวยวาย และคำเรียกขานเด็กเล็ก ๆ หากแต่ยังทอดเนตรเอ็นดูหญิงสาวที่ถือถาดขนมมาเพิ่ม
“แม่พลอย มานั่งทานขนมด้วยกันซี”
“เพคะ” พลอยพิลาวางจานกระเบื้องเคลือบลายสวยลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ทว่าพอหย่อนก้นนั่งลงตรงโซฟา เจ้าของบั้นทายหนาก็เบียดลงข้าง ๆ ด้วยท่าทีเฉยเมย ไม่ได้สนใจว่าจะเหลือพื้นที่อีกมากเท่าไร เก้าอี้ในห้องก็ยังเหลือหลายตัว
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร แต่เป็นท่านหญิงจอมตรัส “โซฟาตั้งกว้าง มันต้องไปยัดเยียดเบียดนั่งกับเขา จะได้นั่งกินขนมสบาย ๆ ไหมล่ะ?”
“ลูกสบายดีกระหม่อม ลูกจะนั่งตรงนี้เพราะอยากนั่ง จะโซฟาหรือคนล้วนเป็นสมบัติของลูก” สิ่งหนึ่งซึ่งคนรอบกายมั่นใจได้แน่คือหญิงสาวเป็นมากกว่าสมบัติล้ำค่า ถึงจะชอบแกล้ง ชอบรังแก เขาก็เป็นแบบนี้
ผู้หญิงสมัยใหม่อย่างพลอยพิลาควรโกรธกับคำว่า ‘สมบัติ’ ดันอดเก้อเขินกับคนข้างกายไม่ได้ จึงก้มหน้าลอบยิ้มอยู่เงียบ ๆ
“นั่งนิ่งทำไม? หนูพลอย ป้อนขนมปู่ทวดสิ”
“ในมือของคุณชายก็ยังมีอยู่นี่คะ ที่หยิบมาจากในครัว” มีหรือเธอจะไม่รู้ นิยามการกลั่นแกล้งของเด็กผู้ชายที่แอบชอบเพื่อนสาวในห้องเรียนชั้นประถมฯ หลายวันมานี้ พลอยพิลาคิดว่าน่ารักอยู่ หากเขาไม่เอ่ยคำว่า...
“ดอกเบี้ย”
ขนมกว่าหลายชิ้นจึงถูกหยิบให้คนที่อ้าปากโตอย่างกับเจอหมอฟัน จากคำที่ยังรับประทานไม่เสร็จดี ชิ้นใหม่ตามไปเรื่อย ๆ จนเต็มปาก ชายหนุ่มยิ้มแก้มตุ่ย และพอจะถูกเอาคืนด้วยก้อนกลม ๆ ชิ้นที่หก ข้อมือเรียวก็ถูกคว้าอย่างระวัง ไม่ให้ต้องเจ็บตัวกันอีก ก่อนจะผลักไปให้คนทำขนมได้รับประทานบ้างสักคำ
กลืนขนมหวานลงคอฝืด ๆ ก็สั่ง “น้ำ”
ได้รับการบริการเป็นอย่างดี ขณะมือนุ่มนิ่มที่ลอบบีบจับเมื่อครู่ประคองแก้วให้ถึงปาก คุณชายอินทรีก็ดื่มน้ำอยู่มาก ด้วยลีลากวนหทัยเจ้าของบ้าน
“ทำไมจะกินขนมดี ๆ ไม่ได้ฤา? คุณชาย”
“ก็ได้ แต่อยากสนุกด้วย”
“แล้วแม่พลอยสนุกกับลูกด้วยไหม?”
พลอยพิลาเป็นกุลสตรีที่วางตัวดีทุกสถานการณ์เสมอ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบา ๆ จึงเอ่ย “สนุกเพคะ ท่านหญิง”
“ท่านแม่...” เสียงทุ้มปราม ก้มหน้าลงสบนัยน์ตาคู่สวยพร่างพราวที่เชยดวงหน้าระรื้นขึ้นพร้อมความรู้สึกหลากหลาย
“หล่อนควรจะเรียกท่านจอมว่าท่านแม่” ผิดปรกติวิสัยคุณชายขี้เล่นที่หันไปเอ่ยกับมารดาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ในน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง “ได้หรือไม่? ท่านแม่ ลูกอยากแต่งเมียคนนี้ ท่านแม่จะว่ายังไง?”
ท่านหญิงจอมวงเนตรคลออัสสุธารา ตรัสถามกลับ “ถามความเห็นหล่อนเป็นดีแล้วฤาว่าจะแต่งกับลูก?”
คนไร้ตัวตนได้แต่อึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ก้มหน้าลงกำมือไว้บนหน้าตักแน่น “หม่อมฉันเกรงว่า...”
“เงียบเสีย..” เอ็ดด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ ให้เรียวปากคู่งามต้องเก็บงำทุกถ้อยคำไว้ในใจเช่นเดิม เขาไม่อยากให้เธอต้องโกหก
“ลูกจะพาหล่อนไปสวดมนต์สักหน่อย ค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้ทีหลัง ทูลลา กระหม่อม”
“ไปเถอะลูก” ท่านหญิงจอมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง กับคำขอของบุตรชายที่จะยอมมีครอบครัวไปได้สักที จึงไม่ได้ตรัสอะไรอีก
คุณชายอินทรีลุกขึ้นยืนสุดความสูง ก่อนจะพาคนที่เกือบละเมิดคำสั่ง ‘เคร่งครัด’ ไปห้องพระตามลำพัง