บทที่ ๙-๑ : เสน่ห์แม่พลอย
“หล่อนฟังฉันอยู่หรือเปล่า? แม่พลอย”
เสียงทุ้มกังวานปลุกหญิงสาวจากภวังค์หวาน ใบหน้าสดสวยเจือยิ้มบาง ๆ “ว่าไงคะ?”
“ฉันถามอยู่ตั้งหลายหน หล่อนก็ไม่ตอบว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ?”
ชายหนุ่มไม่ได้หงุดหงิดกับการพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ตั้งแต่เริ่มอธิบายเรื่องเงินสตางค์รู เนื้อทองแดง เงินเหรียญอัฐและโสฬส เงินเฟื้อง เงินชั่ง จากนั้นเธอก็สติหลุดไปกว่าจะตอบ
“เข้าใจค่ะ คุณชาย”
“เข้าใจว่า?”
“เงินมีไว้ใช้... ช้อปปิ้ง แต่ว่าที่นี่ฉันคงไม่ได้ใช้” เธอยังคงเป็นพลอยพิลา ขณะละสายตาจากโต๊ะไม้สักโบราณ ในห้องรับแขกที่มีเพียงเขาและเธอลำพัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วัน คุณชายอินทรีให้ความช่วยเหลือเธอทุกอย่าง คอยบอกเรื่องที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตที่นี่ หลังเลิกงานตามเวลาราชการเขาจะพาไปเที่ยวไหนต่อไหน ยกย่องเธอเช่นคนรักต่อหน้าผู้คน
ในสถานะของหนุ่มสาวในยุคสมัยนี้ ต่อให้เป็นคนรักมากินอยู่ด้วยกันก่อนแต่งยังนับว่าไม่งาม นับประสาอะไรกับเธอที่เป็นคนพลัดถิ่น ไม่มีแม้กระทั่งที่ซุกหัวนอน จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะกลับยังไง เธอคงขัดเขาไม่ได้อยู่แล้ว ไหนจะความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในใจ ต่อให้วิ่งหนีหรือวิ่งเข้าหา มันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขายังไม่เคยทำให้เธอรู้สึกว่าอึดอัดสักนิดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แม้กระทั่งว่าการต้องมาอาศัยอยู่บ้านของคนอื่น สำหรับพลอยพิลาซึ่งเป็นคนหาเงินเลี้ยงตัวเองมาตลอด มีก็แค่บางครั้งที่เขาอาจเป็นพวกชอบสั่งสอนประสาผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“แน่ใจได้ยังไง? ว่าจะไม่ได้ใช้”
“ฉันไปไหนมาไหนกับคุณชายสายเปย์ตลอด ส่วนตัวฉันก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่นาน อาจจะได้กลับบ้านมั้งคะ” ในถ้อยคำเศร้า ๆ เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดัง รอยยิ้มที่ฝังเขี้ยวคมอยู่ตรงมุมปากหายไปในอีกครู่
“ไม่ได้กลับง่าย ๆ ดอก” คนขู่ไม่รอช้า ว่าเบญจมาตราต่อ “ทองพาราหนึ่งแท้ ยี่สิบดุลแน่ ดุลหนึ่งยี่สิบชั่งนา ชั่งหนึ่งยี่สิบตำลึงหนา ตำลึงหนึ่งว่า สี่บาทถ้วนจงจำไว้... ”
บทกลอนยาวเหยียดจบลง เมื่อเขี้ยวขาว ๆ ของคนข้างกายจกตาเข้าอีกรอบ!
อาจเป็นเพราะสร้อยหรืออะไรไม่รู้แน่ หากจะให้เปรียบความรู้สึกทั้งหมดของเธอแต่แรกพบคุณชาย เขาคงเป็นแม่เหล็ก มีทิศการหมุนรอบตัวเองไปทางเดียวกัน จนเกิดปฏิกิริยาไปตามแรงธรรมชาติ
เฮ้อ... หนุ่มหน้าตาดีมีเขี้ยวคม ดีอย่างนี้น่ะเอง เธอล่ะอยากยื่นคอขาว ๆ ให้คุณชายปู่ทวดกัดสักที!
“หล่อนไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลย”
“คะ..?”
“เหมือนคนไร้สติ” ไม่ว่าเปล่า ในน้ำเสียงเข้มเครียด “ถามจริง ๆ หล่อนคิดกระไรอยู่?”
ริมฝีปากบางเม้มปิดสนิทแน่น ใครมันจะกล้าพูด!
“สอนหนังสือนักเรียนนายเรือยังง่ายกว่าสอนหล่อน น่าเสียดายที่ดูมีความรู้เสียเปล่า... วันนี้พอก่อน” อาจารย์นายเรือปิดสมุดอย่างหงุดหงิดอยู่น้อย ๆ เก็บเงินเหรียญใส่ซองไว้เช่นเดิม เล่นมองเขาเสียตาแป๋วขนาดนั้น ไม่ใช่แค่เธอที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“คุณชายคะ... คือ” พูดไปแล้วห่อริมฝีปากเก็บถ้อยคำไว้เช่นเดิม
“มีอะไร?”
ในสีหน้าลังเลใจว่าควรถามเขาดีหรือไม่ มันเป็นภาพเลือนรางของความฝันที่จะฝันอยู่แค่บางคืนเท่านั้น พลอยพิลาหลุบตามองโต๊ะไม้สลักมุกก่อนสบวงหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาประกายมาดหมาย
“ฉันคิดว่า... ฉัน.. รู้จักท่านชายเอื้อมาก่อน”
“แม่พลอย!” เสียงตวาดกร้าวพาร่างบางสะดุ้งเฮือก มือหนาหยาบกร้านกระชากต้นแขนเรียวด้วยแรงโทสะ “หล่อนเป็นผู้หญิงของฉัน อย่าได้พูดถึงมันอีก”
อารมณ์กร้าวโกรธประกายจัดในดวงตาคู่หวานคมเป็นสีแดงก่ำราวพญามัจจุราช เขาไม่ใช่คนคนเดิม หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความเจ็บร้าว ดวงตาคู่สวยหรี่เล็กจนเหยียดตรง
“โอ๊ย.. ฉันเจ็บนะ.. คุณชาย”
คนได้ยินค่อยคลายแรงบีบที่เกือบจะทำให้ต้นแขนเล็ก ๆ แหลกคามือด้วยสีหน้างุนงง
“ฉันแค่สงสัย ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นคะ” บ่นพลางลูบแขนแรง ๆ เอี้ยวคอมองแขนเสื้อลูกไม้ระบาย “คุณชายนี่ก็.. หึงไม่เข้าเรื่อง”
“คือฉัน.. ไม่ได้ตั้งใจ หล่อนเจ็บมากไหม?” ในน้ำเสียงห่วงใย มือหนาเอื้อมไปสัมผัสชายเสื้อเบา ๆ พยายามที่จะลอบมองฝีมือของตัวเองแต่ได้รับสายตาไม่เป็นมิตรกลับมา
“ไม่ค่ะ” เธอแค่สะบัดมือเขาออก ลุกหนีไปดื้อ ๆ พลอยพิลากำลังมีความคิดบางอย่างหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดมากกว่าหนึ่งครั้ง
“แม่พลอย.. หล่อนจะไปไหน?” คนเรียกไม่รีรอ ตามก้าวสั้น ๆ ไป ซึ่งขายาว ๆ ไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามคนตัวเล็กที่เดินไปทางสวนหลังบ้าน เขาคิดว่าเธอคงจะโกรธมาก ทว่าพอหญิงสาวหันหลังกลับมาส่งยิ้มหวาน หลังจากที่เธอเพิ่งทำบางอย่าง
“คุณชายหายโมโหหรือยังคะ?”
แววตาคู่หวานคมประกายกร้าวเหลือเพียงความสงสัย บอกว่าเขาเห็น และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอทำ
“หล่อนเขวี้ยงสร้อยไปทำไม?”
“คุณชายดูร้อนไม่มีเหตุผล ปรกติก็ไม่เคยจะโกรธฉันขนาดนี้” ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ใบหน้าสดสวยดูผ่อนคลาย เมื่อได้ระบายอารมณ์ด้วยการขว้างตัวต้นเหตุของเรื่องราวบ้า ๆ ไปอย่างสะใจ
“ทำแบบนั้นไป แล้วฉันจะไม่หึงไม่หวงหล่อนอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่รู้สิคะ ลองดูก็ไม่เห็นเสียหาย เดี๋ยวมันก็กลับมา”
คิ้วเข้มหนาที่เรียบขนานไปกับดวงตาคู่หวานคมขมวดเข้าหากันเป็นปม แน่ว่าเขาเคยใส่มันมาก่อน “เรื่องแบบนี้ หล่อนไม่ควรมาหลอกเล่นเป็นตลกไป สร้อยมันจะกลับมาเอง มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
“แปลว่าฉันควรจะระวังไม่ให้มันหายมากกว่าโยนมันทิ้งใช่ไหมคะ?”
“ก็ไม่ใช่ฤา สงสัยจะไม่อยากกลับบ้านแล้วกระมัง”
ในท่าทีท้าท้ายของหญิงสาวที่ดูเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา รอยบุ๋มปรากฏตรงมุมปาก “พนันกันไหมเล่าคะ? ท่านเจ้าคุณ”
“อยากอยู่หรอก แต่หล่อนน่ะ เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ายุ่งเรื่องอบายมุกจะดีกว่า”
“ฉันว่า.. ฉันก็ไม่เด็กเท่าไรนะคะ” เธอจำได้ลาง ๆ ว่าบางคนพนันขันต่ออะไรกับคุณหลวง ด้วยถ้อยคำชัดเจน “แต่ถ้าคุณชายรู้สึกกลัว ไม่เป็นไร”
ได้ถูกเด็กสาวรุ่นเหลนลูบคม ชายหนุ่มจึงตั้งใจว่าจะสั่งสอนสักหน่อย หากพอสบวงหน้าหวานที่บูดเบี้ยวไปในอีกครู่
“เป็นอะไรไป? แม่พลอย” ร่างสูงรีบเข้าไปปรี่ประคองคนที่ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ปิดตาลงสนิทแน่น
“.. เจ็บหัว.. ค่ะ” ความรู้สึกเหมือนถูกท่อนเหล็กฟาดแสกหน้าพาให้ต้องทิ้งตัวในอ้อมแขนแข็งแรง ขณะที่ข้อพับขาวเนียนถูกตวัดขึ้นลอยโหวง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องดีแน่ ๆ
หยาดน้ำใสพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายลงอาบแก้มขาวนวล เธอรู้สึกเหมือนคนปวดหัวไมเกรนที่น้ำตาไหลอย่างไร้สาเหตุ หรือถูกบังคับให้ร้องไห้ด้วยเครื่องมือแพทย์ยังไงยังงั้น ความเจ็บปวดเพิ่มเป็นเท่าทวี ทุกย่างก้าวที่ร่างสูงย่างเหยียบ
“พวกชอบลองของ ไม่รู้ว่าจะสงสาร หรือสมน้ำหน้าดี”
“คุณชาย..” เรียกเสียงพร่า มือกำเสื้อผ้าไหมทอสีขาวเปียกชื้นจนยับยู่ยี่ ตามแรงเจ็บปวดที่ถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ ร่างสูงก้าวไว ๆ ไปนั่งลงบนโซฟา วางร่างบางไว้บนตัก ไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำอะไรมาต่อว่าอีก กระทั่งพบของซึ่งลอยไปกับอากาศกลับมาอยู่บนคอเพรียวระหง ดวงตาคู่หวานคมเบิกกว้าง
“สร้อย..?”
ชายหนุ่มทั้งสงสัยและตกใจไม่น้อย ขณะที่เสียงสะอึกร่ำไห้เบา ๆ ของคนที่พยายามอดกลั้นจนถึงที่สุด พาหัวใจชายแกร่งวูบไหว เขาไม่อยากเห็นน้ำตาของเธอแม้สักหยด แต่กลับต้องก้มหน้าลงปาดทุกหยดน้ำใสจากแก้มนวลด้วยปลายนิ้วโป้ง
“อดทนหน่อยนะแม่พลอย ฉันจะให้บ่าวเอายามาให้”
พลอยพิลาปิดตาลง พิงศีรษะลงบนอกกว้างกำยำ ก่อนที่โลกของเธอจะดับมืดไป
เช้าวันต่อมา อาการปวดศีรษะรุนแรงหายเป็นปลิดทิ้ง หลังหมดสติไปในเจ้าของอ้อมแขนอุ่นที่เป็นห่วงเธอมากขนาดนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง แม้จะโดนท่านหญิงจอมสวดไปยกใหญ่ เรื่องรอยช้ำเขียวบนต้นแขน คุณชายอินทรีก็ไม่ยอมไปไหน จนถึงเวลาต้องออกไปทำงานในตอนเช้า ยังกำชับให้บ่าวคอยดูแล แถมซื้อวัตถุดิบทำขนมมาให้
ท่านหญิงจอมจึงพอจะหายกริ้ว ใส่พระทัยอยู่แต่กับขนม
ขนมมงคลที่มีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว และผลจันทน์ ตกแต่งด้วยดอกไม้รูปทรงสวยอยู่ตรงกลาง รูปทรงภายนอกเป็นสีเหลือง กลิ่นหอมอ่อน มีเสน่ห์สมชื่อ
“เสน่ห์จันทร์ ชื่อไพเราะดีเพคะ” เอ่ยพลางขยับปลายนิ้วปั้นแต่งเจ้าขนมก้อนอวบกลมอย่างบรรจง
พลอยพิลารู้สึกผ่อนคลายกับการทำเรื่องเล็ก ๆ อะไรที่เธอไม่เคยทำก็ได้ทำ ความในใจที่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง กับท่านหญิงจอม เธอไม่เคยรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
“ฝีมือใช้ได้ทีเดียว หล่อนว่าเคยทำครั้งแรก ยังทำได้สวยงามถึงเพียงนี้ แม่นี่แหละได้มีความสุขแทนขนม” สุรเสียงและแววเนตรชื่นชมคนทำขนม
ท่านหญิงจอมพระทัยกว้างขวาง เมตตา ยังโปรดแทนองค์เองว่า ‘แม่’ กับเธออยู่ทุกครั้งไป
“เสน่ห์แม่พลอย หาใช่เสน่นางจันทน์ เพราะแม่จันนี่หาได้รู้ว่าเป็นผู้ใด แม่ไม่ยักกะรู้จัก”