บทที่ ๘-๒ : ขาช้อปตัวแม่
“สิบตัว ประเดี๋ยวผมจะให้บ่าวมารับของ” ว่าแล้วก็ตรงไปจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว กับชุดนอนที่ไม่คิดว่าจะได้ใส่มัน แต่เพียงถูกใจคนขายที่ให้กำไรลูกค้าอย่างเขา ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาว ยังได้เห็นแก้มแดง ๆ ยามม้วนตัวเขินอายอยู่ข้าง ๆ กัน
“งั้น.. ไปร้านสูทต่อนะคะ คุณชาย”
“ไปสิ ฉันตามใจหล่อน” คำตอบเดิม รอยยิ้มระเรื่อบนวงหน้าหล่อเหลา เช่นเดียวกับอีกคนที่ยิ้มไม่หุบจนออกจากร้านไป
ตรงเข้าห้องร้านผ้าฝรั่ง ตัดชุดสูทสากลที่มีชื่อเสียง เป็นที่นิยมของเหล่าเจ้านาย เศรษฐี ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนถือกระดาษพะรุงพะรัง ไม่แน่ว่าชายหรือหญิง ความคิดในหัวสมองกลั่นออกมาเป็นคำพูดทันที
“ฉันอยากดีไซน์ชุดไทยได้หรือไม่เจ้าคะ คุณพี่?”
คุณชายอินทรีกำลังคิดว่าหากจะต้องผลาญเงินช้อปปิ้งที่เธอว่ารักนักหนา อันไม่ใช่ปรกติวิสัยของเขาที่ตัดแค่ชุดนายทหาร เขาต้องได้อะไรบ้างล่ะวันนี้
“หล่อนถูกดวงจิตรังควาญเวลาตื่นเต้นล่ะซี ฉันเป็นตอนไหนรู้ไหมเล่า?”
“ตอนไหนคะ?”
“ตอนคิดถึงหล่อน.. ฉันจะคิดถึงหล่อนทั้งวันทีเดียว..”
หญิงสาวแทบติดปีกลอยไปพร้อม ๆ กับเสียงสนั่นหวั่นไหวในอก วงหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มยั่วยวน เชยคางมนด้วยปลายนิ้วเรียว
“นั่นปะไร ฉันทำหล่อนใจเต้นไม่น้อยก็มากโข อ้อ... เมื่อสักครู่ หล่อนว่าจะทำเสื้อผ้าอะไรให้ฉัน?”
สติของเธอกลับมาหลังจากนั้น พอสัมผัสอุ่นร้อนผละออกไป “ฉันตัดเสื้อผ้าไม่เป็นค่ะ แต่งานออกแบบเสื้อผ้า จิวเวอรี่ฉันพอจะทำได้ ฉันเรียนจบมาทางนี้ ขอกระดาษให้ฉันหน่อยนะคะ”
“ฉันหวังว่าความคิดของหล่อน คงไม่เหลวไปเสียก่อน”
“เชื่อมือฉันได้เลย ไม่มีทางเหลวค่ะ รับรองได้ว่าคุณพี่ของฉันหล่อระเบิด”
‘คุณพี่ของฉัน’ คุ้มค่ากับเจ้าคุณพิพิธฯที่มีทรัพย์เหลือกินเหลือใช้อยู่ ร่างสูงก้าวไว ๆ ไปขอกระดาษ ดินสอจากบ่าวคนหนึ่งในร้านที่มีช่างบริการ แต่ถ้าจะสั่งตัดอย่างเดียวก็ได้
หญิงสาวมีแบบในหัวอยู่แล้ว จึงไม่เป็นอุปสรรค และไม่ได้ใช้เวลานานกับการนั่งในมุมเงียบ ๆ ตรงโซฟาสำหรับนั่งรอสูท ก้มตัวลงวาดขยุกขยิกบนกระดาษสีน้ำตาลเข้ม ตัวเนื้อกระดาษแทบเป็นยุคต้น ๆ ของการผลิตกระดาษที่จะต้องไปซื้อมาจากโรงพลอย หรือนำเข้าจากต่างประเทศโดยส่งมาทางเรือ
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้พูดอะไร ในตอนที่เธอต้องใช้สมาธิ จนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ลายเส้นแตกต่างจากการวาดแบบของยุคนี้ ละเอียด สวยงาม คล้ายการออกแบบของดีไซเนอร์ฝรั่ง
“เสร็จแล้วค่ะ คุณชาย” วางมือเปรอะเปื้อนรอยดำ ๆ ของดินสอ รอยยิ้มกว้างระบายเต็มวงหน้าหวาน “งานดีไซน์ของพลอย ชุดนี้เป็นชุดไทยประยุกต์ร่วมสมัย เสื้อสูทผ้าไหมเงา ๆ สีพื้น ด้านในเป็นเสื้อคอจีน เชิ้ตฝรั่ง มีเข็มกลัดพลอยไพลิน เข้ากับโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม อีกชุดหนึ่งเป็นราชปะแตน คาดสังวาลโบราณ ๆ แบบคุณพี่อโยธยาเลยเจ้าค่ะ”
“เป็นงานออกแบบชั้นเลิศ แต่ดูจะอย่างไร ๆ อยู่ สังวาลเส้นนี้ พลอยเท่านี้ หาได้ยากเทียว” เสียงทุ้มว่า หากเป็นชายอีกคนหนึ่ง
เจ้าของร่างสูงในชุดสูทดูมีภูมิฐานชะเง้อคอได้สักครู่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาต้องมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้โซฟา
สายตาคู่หนึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่อีกคู่หนึ่งเปี่ยมไปด้วยแรงริษยา ยิ่งได้ยินเสียงบ่าวเรียก “ท่านชายเอื้อ สูทได้แล้วขอรับกระหม่อม”
“ขอบใจนายเจิด ฉันขอคุยกับหล่อนสักประเดี๋ยว ไปรอที่รถเสียก่อน”
“ขอรับกระหม่อม”
พักตร์คมเข้มผ่องราศีสบวงหน้าหวานด้วยแววเนตรเป็นประกาย ไม่ได้ทรงดำริว่าหญิงสาวอาจไม่พอใจ ขณะที่พลอยพิลาพอได้ยินอยู่ว่าชายแปลกหน้าเป็นใคร ถึงได้อาจหาญกล้าวิจารณ์ผลงานเธอ!
“ขอประทานโทษเพคะท่านชาย หม่อมฉันว่าทำได้ ถึงไม่ได้อย่างไร สามารถลดขนาดพลอย หรือใช้พลอยอื่น ๆ แทน อาจคละกันไปหลายสีให้ครบนพเก้า”
“นี่แน่ะ หล่อน จุดเด่นของชุดนี้อยู่ที่สังวาลย์ การลดขนาดลง จะเสียรูปเสียงานไปมาก จะดูธรรมดาไป แต่ฉันเห็นด้วยกับการใช้พลอยทั้งเก้าชนิด คือพลอยนพรัตน์ ฉันแลเห็นถึงความโก้เก๋ทีเดียว” แย้มโอษฐ์กว้าง ขณะก้มพักตร์ลงมองเจ้าของใบหน้าหวานงามชม้อยที่นั่งโกรธเขาอยู่
“ฉันขอดูกระดาษแผ่นนั้นสักหน่อย”
“แม่พลอย.. มานี่” ในน้ำเสียงเย็นยะเยือก แววตาวาวโรจน์สบไปยังใบหน้าหล่อเหลารับผิวสีน้ำผึ้งสมความ ปอปูลาร์ และความมี เอดูเคชั่น ของท่านชายอยู่ทีเดียว ดั่งคำพูดของหลวงนิธิฯ ทั้งสองอยู่ฝั่งตรงข้ามกันกับเขา
“พุโธ่! เจ้าคุณพิพิธฯ ผมไม่ทราบว่าท่านอยู่ตรงนี้ด้วย please take my apologies” โน้มวรกายลงอย่างมีมารยาท แม้น้ำเสียงเป็นอีกอย่าง “แม่สาวงามผู้นี้เป็นคู่ควงคนใหม่ของท่านฤา?”
“หล่อนไม่ได้เป็นเพียงคู่ควง ท่านอย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”
ได้ยินถ้อยคำขู่ฟ่อไม่สนยศถาบรรดาศักดิ์ หญิงสาวรีบลุกพรวดหนีศึกขนาดย่อม ทว่าไม่ทันได้ระวังตัว กระดาษในมือจึงถูกแย่งไป
“ท่านชาย!”
เสียงแหลมเล็กกร้าวโกรธว่าเอาเรื่องแน่ ท่านชายเอื้อยกโอษฐ์ ยกของในหัตถ์ขึ้นเหนือเศียร ยังตรัสเรียก
“แม่พลอย กระดาษแผ่นนี้ ฉันแย่งมาจากหล่อนได้ ก็ต้องเป็นของฉันไม่ใช่ฤา?” ความหมายมีนัยคล้ายตรัสกับอีกคนหนึ่งที่ก้าวพรวดมายืนแทรกระหว่างกลางเป็นกำแพงมนุษย์ คุณชายอินทรีสูงกว่าท่านชายเอื้อเล็กน้อย
สองสายตาคู่คมปะทะกันอย่างเชือดเฉือน ทว่าทันทีที่ถ้อยคำแผ่วเบาหลุดจากริมฝีโอษฐ์ ขณะโน้มพักตร์ลงตรัสให้ได้ยินแค่เขาเท่านั้น
เพลิงโทสะลุกโชติช่วงในอกชายแกร่ง คุณชายอินทรีต้องอดทนข่มใจไม่ให้เสยพักตร์ท่านชายเข้าสักหมัด
“ไป! แม่พลอย” ดึงข้อมือเรียว ก้าวฉับ ๆ ออกจากร้านไป จนลับแววเนตรประกายจัดอาฆาตของท่านชายเอื้อที่คงไม่นิ่งเฉยกับเรื่องนี้แน่
หญิงสาวได้แต่เหลียวมองหลัง อาลัยอาวรณ์ผลงานชิ้นเอกที่เธอตั้งใจทำ “คุณชาย.. กระดาษฉัน”
“ไปซื้อใหม่!”
“ไม่ซื้อ.. ฉันจะกลับไปเอากระดาษฉัน” พลอยพิลาว่าอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะสะบัดมือหนาให้หลุดจากพันธนาการ
ร่างสูงหันหลังกลับไป หลังจากที่เธอเพิ่งจะงัดข้อมือให้หลุดไปง่าย ๆ จนถุงกระดาษในมือเกือบจะหล่น เขาพยายามควบคุมลมหายใจหอบสั่นเพราะความโกรธ
“ฉันจะพาหล่อนไปโรงพิมพ์ เหมากระดาษมาเสียให้หมด หล่อนจะเอาสักกี่แผ่น”
“มันไม่เหมือนกัน ฉันตั้งใจทำให้คุณชาย มันเป็นชิ้นแรก วันแรก..” เสียงหวานสั่น ขณะเงยหน้าขึ้นสบแววตาวาวโรจน์ที่คลายจากสีแดงก่ำลงเพราะสงสัย
“ชิ้นแรก วันแรก อะไร?”
ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยดน้ำใส หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองแรง ๆ แค่เห็นก็รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะพูดและรู้สึกอยู่ไม่ใช่เรื่องดี
“ถ้าทุกอย่างบนโลกนี้มันซื้อได้ด้วยเงิน คุณชายก็คงไม่ต่างจากป๊าม๊า คิดแต่จะฟาดหัวฉันด้วยเงิน ด้วยหนี้บุญคุณ คิดแค่ว่า.. มีเงิน จะจิกหัวใช้ฉัน ทำอะไรกับฉันก็ได้ คุณชายเป็นแบบคนพวกนั้นใช่ไหม?”
ถ้อยคำตัดพ้อกรีดลงกลางใจราวมีดคม เขาไม่รู้มาก่อนว่าเพิ่งทำร้ายเธอแม้ไม่ได้ตั้งใจ จึงละวางโทสะที่มีลง เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
“แม่พลอย หล่อนฟังฉัน ทำดื้อรั้นไปเสียเปล่า ยังไงเขาก็ไม่คืนให้หล่อน ไว้ฉันจะไปเอาคืนให้หล่อนทีหลัง ฉันสัญญา”
เหตุผลของเขาเป็นถูกต้องทุกคำ ดวงตาคู่สวยหลุบมองต่ำ ก่อนจะเหลือบมองวงหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง
“คุณชายสัญญาแล้วนะคะ”
“สัญญาซี แต่หล่อนห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับท่านชายเอื้อเป็นอันขาด รับปากฉันได้ไหม?”
หญิงสาวมีท่าทางครุ่นคิดลังเลแต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น “ค่ะคุณชาย ฉันจะไม่ไปยุ่งกับเขาค่ะ”
รอยยิ้มที่ฝังเขี้ยวตรงมุมปากปรากฏบนวงหน้าหวานคม หลังจากที่สาวนักช้อปดูจะยอมความเรื่องกระดาษ
“นี่ หล่อนทำอย่างอื่นให้ฉันก็ได้ ไว้ฉันจะพาไปดูเพชรพลอยกันดีไหม?”
นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายแวววาวราวฝังเพชรไว้ภายใน แต่พอลอบมองข้าวของมากมายเต็มมือ นึกเกรงใจคนที่บ้าน “วันนี้ซื้อของเยอะแล้ว ค่อยไปวันหลังก็ได้ค่ะ เดี๋ยวท่านหญิงจะได้บ่นเอา”
คุณชายอินทรีแค่นหัวเราะ กับความน่ารักของหญิงสาวที่เข้าใจอะไรผิดไป
“ฮึ.. ท่านแม่ยิ่งกว่าฉันหลายเท่า ถ้าท่านได้รู้ว่าหล่อนมีฝีมือในการทำชุดสวย ๆ หล่อนได้วาดรูปให้ท่านแม่จนมือหักแน่ ๆ เทียว ท่านแม่ของฉันน่ะ...” เงียบไปครู่ “ขาช้อปตัวแม่ ช้อปกระจาย หล่อนชิดซ้ายไปเลย”
“คุณชายทำไมรู้ศัพท์ใหม่เยอะจังคะ?” ถามตาโต และเป็นอย่างที่เธอคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้
“ไว้ฉันจะเล่าให้หล่อนฟังว่าฉันเคยไปเที่ยวที่ไหนมาเมื่อปีกลาย ตอนนี้ เรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อน ฉันจะซื้อของให้หล่อนเลือกไปด้วยกัน”
รอยยิ้มฉายอยู่ในแววตาคู่สวยพร่างพราว มือเรียวยกขึ้นป้องปากกระแอมไอ “ถ้าฉันเดินไวไปอีก ฉัน.. เอ่อ.. จับแขน..”
“มีข้อแม้ว่าจับแล้วหล่อนห้ามปล่อย” พลันกุมมือเรียวเล็กไว้อย่างไม่รอคำตอบ ฝ่ามืออุ่นสอดประสานปลายนิ้วเรียวเข้าด้วยกัน เช่นคู่รักที่อาจไม่ทำกันมากนักในยุคนี้ มันช่างมีความสุขกับพื้นที่แม้สักน้อยในหัวใจของเธอ
ขณะเดียวกัน แววตาคู่หวานคมสั่นไหวลอบมองคนตัวเล็ก ทั้งเจ็บแค้น หวาดหวั่น กับถ้อยคำเจ็บแสบของท่านชายเอื้อ
‘เหตุใดออกญาท่านจึงโกรธเกรี้ยวปานนั้น หญิงคนรัก คู่หมายข้า ท่านก็ใช้กำลังเข้าฉุดแย่งนางไป เยี่ยงสัตว์เดรัจฉานมิใช่ฤา’