บทที่ ๕-๑ : คุณชายสายอ่อย
เปลือกตาหนักอึ้งปรือขึ้นมองเพดานสีขาวครีมงาช้าง ในห้องนอนของบ้านสไตล์โคโลเนียล มีเตียงไม้โบราณขนาดใหญ่ ประตูและหน้าต่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบในแนวเดียวกัน
เธอฝัน.. ฝันในเรื่องเดิมทว่าชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง เหยียบพื้นหินอ่อนเย็นที่เหมือนจะลอยได้เป็นชั้น ๆ มือคว้าโต๊ะตัวหนึ่งใกล้ที่สุด พร้อมกันนั้น ประกายแสงสีแดงจัดสะท้อนเข้านัยน์ตาจนต้องยกมือขึ้นบัง
สร้อยทับทิม... อีกแล้ว
มันทำให้เธอรู้สึกเวียนหัว แต่ถึงจะไม่ได้ใส่มันนอน หรือจะถอดวางไว้ตรงไหนสักกี่ครั้ง มันจะกลับมาอยู่บนคอเช่นเดิม
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เสียงประตูดัง หญิงสาววัยประมาณสามสิบในชุดนุ่งซิ่น ทรงผมบ็อบตัดสั้น ถือถาดแก้วเข้ามาในห้อง
“คุณเจ้าคะ ดิฉันเอายามาให้เจ้าค่ะ”
พลอยพิลามีสีหน้างุนงง เมื่อเจ้าของหน้าตาสะสวยพลอยเดียวกับเลขาฯคนโปรดวางของในมือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง เพื่อเข้ามาช่วยพยุง
“คุณ... กช?”
“คุณกช.. ใครฤาเจ้าคะ? ชื่อประหลาดนัก ดิฉันชื่อเย็น เป็นลูกสาวแม่แช่มเจ้าค่ะ” บ่าวแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่ลืมบอก “คุณชายอินทรีขับรถไปซื้อยาฝรั่งกับยาหอมมาให้คุณพลอยแต่เช้า ท่านฝากดิฉันไว้เจ้าค่ะ”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นมองหน้าหญิงสาวที่เจอกันทุกวัน ขณะที่เธอต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่ “คุณ... เอ่อ คุณเย็น ไม่ต้องพูดเพราะกับฉันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ”
“คุณพลอยเป็นผู้หญิงของคุณชายอินทรี ดิฉันไม่กล้าเจ้าค่ะ”
‘หล่อนเป็นผู้หญิงของฉัน’ เสียงดุ ๆ ผุดเข้ามาในหัว อุณหภูมิสูงปรี้ดปรอทแตกดันพุ่งเข้าหน้าจนแก้มขาวผ่องกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
ใช่อะไร... เธอกำลังคิดว่าคุณพี่ในความฝันถอดรูปหน้ารูปเสียงมาจากคุณชายเปี้ยบ ฝันเป็นตุเป็นตะไปอีโรติก 20+ อีกต่างหาก!
แรก ๆ ก็ไม่ค่อยพอใจแต่ไป ๆ มา ๆ เธอว่าเธอไม่มีสิทธิไปโกรธเขา ผู้หญิงในยุคสมัยนี้อย่างไรก็ยังอยู่ในอำนาจของผู้ชาย พลอยพิลาคงไม่มีทางเลือกอะไรมาก ไม่ต้องอยู่ในฐานะบ่าวหรือถูกใครพาไปขายตามซ่องนับว่าดีอยู่เท่าไร ตอนนี้ที่ซุกหัวนอนยังไม่มี
“ฉัน เอ่อ.. ไม่ได้เป็น ขนาดนั้น.. มั้งคะ”
“ดิฉันทำงานที่นี่มานาน คุณชายไม่เคยเรียนท่านหญิงให้ทราบ เรื่องผู้หญิงของท่านเจ้าค่ะ” บ่าวบอกไปตามที่เห็น ยังช่วยอมยิ้มแทน “คุณพลอยรับประทานยาแล้วแต่งตัวเถอะเจ้าค่ะ คุณชายท่านรออยู่ข้างล่าง”
“ค่ะ คุณกช เอ้อ.. คุณเย็น”
“ดิฉันเป็นบ่าว คุณผู้หญิงเรียกดิฉัน เย็น เถิดเจ้าค่ะ”
เป็นเรื่องยากและไม่ชินเอามาก ๆ พลอยพิลาส่งยิ้มอ่อนให้คนที่ออกจากห้องไป จึงรับประทานยา วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ด้วยความรู้สึกเป็นสุขประหลาด ๆ
“คุณผู้หญิงเหรอ?” ถามตัวเองแล้วก็เผลอยิ้มออกมา ยามนึกถึงคุณชายแปลกหน้า แต่แรกพบสบตา น้ำหอมฝรั่งโบราณกรุ่นกลิ่นละมุนชวนอยู่ในห้วงคิดคะนึง น้ำเสียงทรงเสน่ห์ในถ้อยคำ ‘แม่พลอยของพี่..’
สติ... ยัยพลอย เธอต้องมีสติ! แกจะสวมนอพุ่งเข้าขวิดคุณชายไม่ได้!
แต่ฉันอยากได้เขา...
ไม่..! ไม่ได้.. แกต้องหาทางกลับบ้าน จะมาไล่ขวิดหนุ่มรุ่นปู่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!
ฝ่ายธรรมะเถียงชนะขาด พลอยพิลาจึงสะบัดหน้าแรง ๆ เตือนสติตนให้ไว้จริตหญิงสักหน่อย และจุดประสงค์ของเธอคือกลับบ้าน เธอลุกจากเตียงอย่างระวัง ใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ แต่งตัว สวมผ้านุ่งซิ่นมีลายเชิงงดงามตามพระราชนิยม เข้าคู่กันกับผ้าลูกไม้ฝรั่งปักเป็นลวดลายด้วยลูกปัดและไข่มุก คอเสื้อกว้างลึก
ท่านหญิงจอมฝากบ่าวนำเสื้อผ้ามาให้เธอแต่เช้าตรู่ โปรดเลือกทุกอย่างให้ด้วยองค์เอง ประหนึ่งว่าเป็นธิดาอีกคนหนึ่ง เป็นพระคุณของท่านหญิงจอมผู้เปี่ยมไปด้วยหทัยเมตตา คุณชายอินทรียังดูแลเธอเป็นอย่างดี..
การใช้ชีวิตในยุคนี้ไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดไว้ในคราวแรก เรียกได้ว่าการได้อยู่สังคมชนชั้นสูงได้รับความสะดวกสบาย มีที่นอนนุ่ม ๆ มีอ่างอาบน้ำลอยตัว เครื่องอำนวยความสะดวกอยู่บ้าง ถึงจะเป็นรุ่นดึกดำบรรพ์ มีไฟฟ้าใช้ ยังมีบ่าวคอยดูแลเป็นอย่างดี แค่ไม่มีโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต แค่นี้ก็นับดีถมถืด
หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มีเครื่องสำอางรุ่นโบราณวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เจ้าของใบหน้าหวานไม่แตะต้องอะไร เพ่งมองตัวหนังสือตัวโต ๆ อยู่ครู่เดียว ก็รีบลงไปห้องรับแขก เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรอนาน
ในห้องกว้างขวางที่มีเฟอร์นิเจอร์โซฟาบุหนังรุ่นโบราณ โต๊ะขาสิงห์ไม้สักสลักมุก ไม่รู้ว่าคนนัดหายไปอยู่เสียที่ไหน เธอจึงเริ่มสำรวจของในบ้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทุกอย่างไปเสียทุกอย่าง
เครื่องลายคราม เครื่องเบญจรงค์ เครื่องถ้วยจากประเทศอื่นในเอเชียในตู้กระจก สภาพใหม่กริ้บทั้งที่เป็นของเก่า แต่ละชิ้นงานดูประณีตบ่งบอกถึงความใส่ใจของช่างฝีมือ ตู้กระจกที่รวบรวมสารพัดของโบราณพารอยบุ๋มเล็ก ๆ ปรากฎตรงมุมปาก ขณะหยุดระดับสายตาอยู่กับอัญมณีหลากสี แฟนเพชรพลอยได้ตาลุกวาวอีกตามเคย
“แม่พลอย”
ได้ยินเสียงเรียกดังจากข้างหลัง ร่างบางสะดุ้ง ก่อนจะหมุนตัวไปยกมือไหว้ปลก ๆ “สวัสดีค่ะ คุณชาย”
เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดสูทฝรั่งก้มหน้าลงมองใบหน้าใสซื่อของหญิงสาวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ผ่อนลมหายใจออกครั้งหนึ่ง
“เลิกสวัสดีได้แล้ว หล่อนน่ะ ผู้คนเขาเริ่มใช้คำนี้กันในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ปีพุทธศักราช 2486”
“คุณชายรู้เรื่องนี้ได้ไงคะ?” ถามพลางขมวดคิ้วมุ่นมองคนที่พยายามสื่อสารกับเธอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ยังพูดจาไม่เหมือนผู้คนที่นี่ แต่ดูอย่างไรคุณชายอินทรีก็น่าจะเป็นบุคคลที่เกิดในศตวรรษนี้
“เอาเป็นว่าฉันรู้... ฉันจะเล่าหล่อนฟังทีหลัง เป็นยังไงบ้างล่ะ ยังปวดหัวอยู่ไหม?”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยฉัน ทั้งเรื่องยา เรื่องที่ฉันกลับบ้านไม่ได้”
ในคำขอบคุณอย่างจริงใจมีบางสิ่งที่มากกว่า แรงดึงดูด.. จะว่าอย่างนั้นก็ได้
แผงอกเป็นล่ำสันภายใต้เสื้อเชิ้ตฝรั่งสีขาวสะอาด บ่งบอกว่าหนุ่มนายทหารเรือมีวินัยในการออกกำลังกายเป็นประจำ พ่อคุณยังพกความสูงชะรูดกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไม่ต่างจากนายแบบแม็กกาซีนในยุคเธอ ผิวพรรณผุดผ่องละเอียดเนียนบนหลังมือ ไล่ไปถึงใบหน้าและลำคอ อย่างทหารชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่แค่ในออฟฟิศ
ไหนจะหน้าหล่อ ๆ หวาน ๆ มีเขี้ยวคมฝังอยู่ตรงมุมปากหนาหยักได้รูป ผู้ชายคนนี้เป็นสเปคเธอทุกตารางนิ้ว!
“นี่แน่ะ หล่อน.. มองฉันยังกับจะกินเข้าไป” ในน้ำเสียงราบเรียบ เขาเองก็นึกพอใจอยู่แต่มีความจำเป็นต้องปลุกบางคนจากภวังค์
“เอ่อ.. คือฉัน..” ไม่ทันได้พูด
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก แม่พลอย สร้อยทับทิมเส้นนั้น.. มันร้อน..”
เม็ดเหงื่อพร่างพรายบริเวณลำคอเพรียวระหง เสื้อลูกไม้ระบายเปียกชื้น ไม่ใช่ความร้อนจากอุณหภูมิห้อง ไม่รู้ว่าเธอควรเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะสร้อยหรือเปล่า แสงแห่งความหวังเปล่งประกายอยู่ภายในแววตาคู่หวาน
“พอจะบอกได้ไหมคะว่าฉันต้องทำยังไง?”
“หมั่นสวดมนต์ ทำสมาธิ รักษาศีล สร้างบุญสร้างกุศลเยอะ ๆ คิดดีทำดีเข้าไว้ให้มาก”
วงหน้างามยุ่งเหยิงกับคำถามเป็นล้าน “อย่าว่าฉันโง้นงี้เลยนะคะ คุณชาย ทำบุญนี้พอเข้าใจได้ แต่สวดมนต์นี่ฉันต้องสวดอะไร แผ่เมตตา ชินบัญชร หรือว่าฉันควรจะต้องสวดลูกประคำไปเลยไหม?”
“สวดมนต์วันละหนึ่งครั้งเพื่อให้จิตใจสงบ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อนมนุษย์ ผู้ที่ล่วงลับไป โดยเฉพาะบทพุทธคุณ และคาถาชินบัญชร อธิษฐานขอให้คาถาเหล่านี้เป็นเกราะป้องกันภัยไม่ให้พบเจอสิ่งที่ไม่ดี หล่อนไม่เคยสวดมนต์รึ? แม่พลอย”
คำเทศนาแนวว่าตำหนิของคนโบราณที่ไม่เข้าใจว่าอนาคตข้างหน้า ผู้คนเปลี่ยนไปได้มากขนาดไหน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวไม่พอใจ เธอก็แค่ตอบไปตรง ๆ
“ฉันเคยสวดมนต์ตอนเด็ก ๆ ค่ะ แต่พอโตมาก็ไม่ค่อยจะมีเวลา ปรกติฉันเลิกงาน กลับบ้าน ฉันจะทำงานจนหลับคางานไปเลย”
“ไม่มีคืนไหนจะว่างสวดมนต์สักคืน หรือว่าเป็นข้ออ้าง”
“ฉันไม่ได้อ้างค่ะ คุณชาย ฉันพูดความจริง ฉันเป็นเจ้าของบริษัทมาแปดปี งานกองเท่าภูเขา ยังมีงานของที่บ้านอีก ฉันทำงานถึงตีหนึ่งตีสองทุกวัน แล้วแต่ว่าจะน็อกไปตอนไหน”
เสียงหวานที่ค่อย ๆ อธิบายให้เข้าใจ ดูท่าทางแล้วเธอคงไม่ได้โกหกเป็นแน่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้เธอมาปรากฏตัวเอาตอนนี้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องช่วย
“มีเรื่องอีกมากมายที่หล่อนจำเป็นต้องทำ เปลี่ยนชีวิตเสียใหม่นะ หนูพลอย ถ้าไม่ทำ มันจะร้อนแบบนี้แหละ สร้อยเส้นนี้ ไม่ใช่ของดี”
“ไม่ใช่ของดียังไงคะ มันมีอะไร? ฉันไม่เข้าใจ”
“ใส่ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้จ้ะ หนูพลอย”
คำแนะนำของผู้มีประสบการณ์คงฟังขึ้น ถ้าเธอไม่ฉุกใจบางคำเมื่อสักครู่ “ปรกติคุณชายเรียกฉัน แม่พลอย หรือเปล่า?”
ท่าทางเป็นกันเองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ร่างสูงสง่ายกมือไพล่หลัง กดสายตาลงต่ำหาผู้น้อย “หล่อนอายุเท่าไร?”
ในน้ำเสียงนิ่งเรียบตอบ “สามสิบค่ะ”
“เกิดปีอะไร?”
พลอยพิลาเงียบไป ไม่แน่ใจว่าควรพูดความจริงหรือไม่ ขณะที่ริมฝีปากหนาหยักได้รูปผุดยิ้มร้าย
“หากนับในที่ที่หล่อนจากมา ฉันคงจะอายุมากกว่าร้อยปี หล่อนน่ะ เป็นแค่เด็กน้อยรุ่นเหลน ควรเคารพผู้หลักผู้ใหญ่นะ ยัยหนู”
สิ้นคำ อกผึ่งผายในระดับสายตาเคลื่อนเข้าหา หนึ่งก้าวของเจ้าของร่างสูงชะรูดคือทันทีที่ร่างบางถอยครูดจนแผ่นหลังเย็นวาบติดตู้กระจกใส แน่ว่าไม่เคยมีใครกล้าคุกคามเธอขนาดนี้ ต่อให้มีเธอคงจะฟาดหน้าให้สักที แต่นี่เธอดันอยากซุกหน้าเข้าไปในเสื้อหอม ๆ ของคุณชายปู่!
“ฉันเกิดปี พ.ศ. 2413 เท่ากับว่าฉันเป็นปู่ทวดของหนู ฉะนั้น หนูจะต้องเชื่อฟังฉันนะจ๊ะ หนูพลอย” ไม่เอ่ยเปล่า กรีดปลายนิ้วลงบนตู้กระจก ล้อมกรอบวงหน้าหวาน ตาคมลอบมองเนินอกใหญ่โตสมทรวดทรงองเอวกระเพื่อมเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ชุดลูกไม้ ด้วยสายตาหิวกระหาย
“อีกเรื่องหนึ่ง รักษาศีล อย่างน้อยขอให้ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด เหยียบมดสักตัว โกหกก็ห้ามนะ เข้าใจไหม? คำว่า ‘เคร่งครัด’ น่ะ หืม...?” เสียงหึ่ง ๆ ในลำคอทำให้คนที่กัดปากตัวเองแรง ๆ ต้องตอบ
“ค่ะ.. คุณชาย”