บทที่ ๔-๓ : เจ้าแม่เพชรพลอยหลงยุค

1552 คำ
บทที่ ๔-๓ : เจ้าแม่เพชรพลอยหลงยุค “หม่อมฉัน..” หายลงไปในลำคอ ด้วยยังนึกไม่ออกว่าตัวเองชอบอะไรแน่นอกจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำ และสะสมกระเป๋าแบรนด์ หรือเล่นเฟซบุ๊ค อินสตราแกรม ก็คงจะบอกออกไปไม่ได้ “ฮ้อบบี้น่ะ หล่อนชอบทำอะไร ลองว่ามาสักอย่าง...” คนถามไม่ได้หมายความไปในทางกดดัน แค่ให้เหตุผลว่า “เวลาฉันไปทำงาน จะได้ไม่เหงา อยากได้วัตถุดิบทำขนม หรือของอะไร ฉันจะเป็นธุระไปซื้อเอาไว้ให้” ท่านหญิงจอมทรงดำริขึ้นได้ “เพื่อนลูกชื่นชอบอะไร? ไม่รู้ฤา คุณชาย” “ไม่ได้เจอกันนานแล้วกระหม่อม นานโข นานเป็นชาติเทียว ใช่หรือไม่? แม่พลอย” น้ำเสียงในคำพูดมีนัยที่เผยเขี้ยวคมตรงมุมปาก พลอยพิลาชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนนึกเรื่องบางอย่างออก ทว่าพอสบแววเนตรเป็นประกายคนที่กำลังรอคอยคำตอบจากเธอ จึงไม่อยากให้ท่านคอยนาน “หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากทำงานหาเงิน ช้อปปิ้ง ทุกวันนี้ ตัวหม่อมฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าชอบอะไรแน่เพคะ” ท่านหญิงจอมไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจคำตอบในแววตาใสซื่อของหญิงสาว ดูแล้วว่าไม่น่าจะเป็นคนขี้เกียจอะไร “หล่อนว่าไม่ทำอะไรนอกเสียจากทำงาน หล่อนทำงานกระไร?” “หม่อมฉันเป็นแม่ค้าเพชรพลอยเพคะ” “นั่น.. ฮ้อบบี้หล่อนจะเป็นเรื่องอะไรไปเล่า ก็ต้องเป็นเรื่องเพชรเรื่องพลอย ไหนลองเล่าอะไรสนุก ๆ ให้ฉันฟังบ้างซี อย่างที่หล่อนใส่อยู่ ดูจะมีราคาไม่ใช่น้อย” ใบหน้าสดสวยก้มลงเล็กน้อย ไม่ให้เป็นการอวดตัวจนเสียมารยาท “เพคะ หม่อมฉันขออนุญาต” แล้วถอดต่างหูออกข้างหนึ่ง วางมันไว้ในอุ้งมือ ก่อนจะอธิบาย “ต่างหูเพชรนี้น้ำหนักสองกะรัต เป็นเพชรเบลเยี่ยม รัสเซียนคัท คือเจียระไนโดยช่างรัสเซีย ความสวย เป็นประกายของเพชร การเจียระไนเพชรเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด มิติและเหลี่ยมมุมของเพชร เพชรที่มีเกรดการเจียระไนในระดับดีมาก จะสะท้อนแสงภายในตัวเอง มีความสมดุลระหว่างความสุกใส ไฟ และความระยิบระยับ” เพชรงามระยับถูกขยับไปมาสะท้อนกับแสงโคมไฟแขวนบนเพดาน ต้องเนตรท่านหญิงจอมที่ดูตั้งพระทัยเป็นอย่างมากเสียกว่ามูลค่าของต่างหู คือภูมิฐานความรู้ของหญิงสาว “เพชรที่ดีจะงามได้ ช่างเจียระไนต้องมีฝีมือ การเจียระไนมีหลายแบบหลายรูปทรงเช่น รูปทรงสีเหลี่ยมมรกต สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงขั้นบันได ทรงหมอน ทรงหยดน้ำ ทรงไข่ บางรูปทรงได้รับการตั้งชื่อตามผู้คิดเช่นรูปทรงมาคีส์ เรียกตามชื่อ Marquise de Pompadour ซึ่งเป็นขุนนางในวังของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพคะ” หลวงนิธิฯผู้ไม่ได้มองเพชรเลย อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณพลอยเข้าใจภาษาฝรั่งเศสด้วยหรือครับ? ผมได้ฟังจากสำเนียงของคุณพลอยนับว่าเป็นผู้มีความรู้ เช่นตัวผมเองที่ร่ำเรียนมาบ้าง เมื่อคราวศึกษาอยู่เมืองอังกฤษ” “ฉันรู้เพียงเล็กน้อยค่ะ คุณ..” ลังเลไปครู่ “หลวงนิ..” “คุณหลวง!” ขัดในท่าทีไม่พอใจ “ด้วยความเคารพเถิด ไม่สนิทสนม หล่อนควรจะเรียกคุณหลวง” “นี่.. คุณชาย แม่กำลังตั้งใจฟังแม่พลอย” แย้มโอษฐ์อีกคราวยามสบวงหน้าหวาน “แหวนที่หล่อนใส่อยู่ล่ะ เรียกว่าทรงกระไร?” “แหวนรูปทรงนี้เป็นที่นิยมและสวยมาก เรียกว่างานฮาร์ทคัทเพคะ เป็นรูปหัวใจ หม่อมฉันเจียระไนเอง” “หล่อนเจียระไนเพชรเป็น?” ชายหนุ่มออกจะแปลกใจ หญิงสาวที่เขาเคยรู้จักในอดีตนั้นออกจะเก่งงานบ้านงานเรือนเสียมากกว่า บางทีเขาคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ “งานเพชรงานพลอยตั้งแต่ขุดจากดิน คัดเลือก เผา เจียระไน ฉันทำเป็นหมดค่ะ หากท่านหญิงโปรดเพชรพลอยงาม ๆ ฉันช่วยท่านหญิงเลือกได้ค่ะ คุณชาย” ‘เพชรเม็ดงาม’ ของท่านหญิงจอมอยู่ในแววเนตรเป็นประกาย หาได้มีใครรู้ว่าทรงดำริอะไร หากไม่ตรัส “นับว่ามีความรู้มากเท่าเจ้าแม่เพชรพลอย ดี พวกเพื่อน ๆ ฉันน่ะ ชอบอวดเพชรอวดพลอย หลายวันก่อน ท่านชายเอื้อเสด็จไปที่สมาคม ท่านโปรดเพชรพลอยมาก น่าเสียดาย ฉันน่าจะรู้จักหล่อนเร็วกว่านี้...” ‘ท่านชายเอื้อ’ บุตรชายเจ้านายกระทรวงต่างประเทศ เคยพบหน้ากันไม่กี่ครั้งที่สมาคมกับคุณชายอินทรี ทุกคนต่างรู้ว่าทั้งสองคนไม่ถูกชะตากันเท่าไรนัก “เห็นจะไม่งามกระหม่อม ท่านแม่จะพาแม่พลอยไปในฐานะอะไร?” “เป็นลูกแม่อีกคนเหมือนคุณหลวงยังไง แม่ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร” ท่านหญิงจอมเสวยเครื่องคาวสีพักตร์แย้มยิ้มดูจะไม่สนใจคำตอบของบุตรชาย “ถึงจะแต่งตัวดี กริยามารยาทดี ใช่ว่าควรพาไปเข้าสังคม หล่อนมาอยู่กับลูกแบบนี้ คงได้มีคนเอาไปนินทา เป็นเรื่องแน่นอนอยู่ ฤาท่านแม่ไม่กลัวคำครหา?” “ไม่ใช่ว่าลูกหวงหล่อนฤา?” วงหน้าหล่อเหลาเครียดเข้ม วางช้อนส้อมจนเกิดเสียงกระทบกันคล้ายไม่พอใจ ยังทำเหมือนกับข้าวไม่อร่อยไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่ปรกติแล้วเขาเป็นผู้ดีที่สำรวมกริยาอยู่ตลอด ตาคมมองเจ้าของวงหน้างามที่ลอบส่งสายตาให้ในความหมายอย่างไรไม่รู้แน่ “แน่ล่ะสิ.. ท่านเจ้าคุณยังโดนโจษว่าเจ้าชู้ เสียจริต ใยต้องสนใจคำคน ฉันแลเห็นเช่นท่านแม่ตรัส ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่คุณพลอยจะไป เข้าโซไซเอตี้[1]” หลวงนิธิฯได้ทีพูด ยังอดที่จะลอบมองอยู่ไม่ได้ ใบหน้าสดสวยไร้ที่ติราวภาพวาดนางในวรรณคดี ขนตางามงอนยาวเป็นแพสวย ครั้นกระพริบแต่ละที ชายทั้งพระนครมีได้สยบแทบเท้าโดยที่ริมฝีปากคู่งามอมชมพูระเรื่อราวกลีบกุหลาบไม่ต้องขยับเอ่ยถ้อยคำใด ๆ เลย “แม่พลอยของฉันสวยปานฉะนี้ ดั่งเพชรเม็ดงามที่ได้รับการเจียระไนโดยช่างฝีมือดี ไม่มีเหตุผลจะต้องเก็บไว้ในบ้านเหมือนบ้านคนครึบ้านอื่น ๆ ฉันจะพาหล่อนไป โช รอบพระนครเทียว” ท่านหญิงจอมชายเนตรไปทางหญิงสาว ตรัสสุรเสียงหวาน “แม่พลอย เราจะพากันไปเที่ยววันไหนดี?” ปีพ.ศ. 2455 จะมีอะไรให้เที่ยว? คำถามในใจของหญิงสาวคงไม่มีใครได้ยิน เว้นคุณชายอินทรีที่เหมือนอ่านใจเธอได้ยังงั้น “ไม่มีอะไรให้เที่ยวดอก กรุงเทพฯ พ.ศ. 2455” “เอ๊ะ คุณชายนี่พูดจาชอบกล แม่ถามแม่พลอย ไม่ได้ถามลูก” การนั่งเงียบไม่สุภาพอย่างแน่นอน พลอยพิลาเลือกที่จะตอบอย่างอ้อมค้อม “หม่อมฉันเป็นเพียงคนธรรมดา หาใช่เพชรงาม วันนี้หม่อมฉันตกที่นั่งลำบาก แทบเอาชีวิตไม่รอด เงินแม้สักสตางค์ก็ไม่ได้นำติดตัวมา หม่อมฉันจะอยู่ในโอวาทท่านหญิง เช่นเดียวกับคุณชาย ผู้มีพระคุณของหม่อมฉันเพคะ” ท่านหญิงจอมพักตร์เจือแววเอ็นดูหญิงสาวเป็นอย่างมาก “เห็นไหมเล่า? คุณหลวง หล่อนน่ะฉลาดเฉลียว รู้จักเอาตัวรอดได้ดี” “จริงอยู่ครับท่านแม่ คำตอบของคุณพลอยรักษาน้ำใจทั้งท่านแม่และคุณชาย หล่อนช่างเฉลียวฉลาด คงจะเป็นการดี ถ้าคุณพลอยจะได้แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ ๆ” หลวงนิธิฯให้ความเห็น สบแววตาคมกริบของเพื่อนอย่างท้าทาย “ฉันเผอิญได้ยินมาจากสาว ๆ พูดกันปากต่อปากถึงความ ปอปูลาร์ ความมี เอดูเคชั่น ของท่านชายเอื้ออยู่ทีเดียว” “แม่ลืมไปเสียสนิท ท่านจบประเทศอังกฤษเหมือนคุณชายกับคุณหลวงไงเล่า” ท่านหญิงเข้ากันได้ดีกับหลวงนิธิฯ ผู้เปรียบเสมือนบุตรชายอีกคนหนึ่ง “ท่านชายเอื้อชันษาเท่าไรนา? ท่านแม่” “สามสิบสองชันษาจ้ะ” “คุณพลอยล่ะครับ? ถ้ากระผมจะเสียมารยาท...” “เสียมารยาทมาก คุณหลวง ไม่จำเป็นก็อย่าถาม” เสียงขู่ฟ่อเล็ดรอดตามไรฟัน ไม่ปล่อยให้หญิงสาวมีโอกาสตอบ ฝ่ามือดื้อรั้นดึงวงหน้างามเข้าหา บีบกรามให้ฝืนอ้าปาก ตามด้วยเมี่ยงคำชิ้นหนึ่ง ในแววตาคู่หวานคมประกายกร้าวมองลูกไก่ในกำมือ ครั้นจะว่า ‘หล่อนเป็นเมียฉัน’ สติของเขายังเหลืออยู่มากพอขู่ “หล่อนเป็นผู้หญิงของฉัน ระหว่างอยู่ที่นี่ หล่อนจะทำอะไรก็ได้ ฉันไม่อนุญาตให้ไปพบปะผู้ชายเป็นอันขาด” ความขมอมเปรี้ยวอมหวานเช่นถ้อยคำของเขายังละมุนอยู่ในปาก แม้ฝ่ามือเกรี้ยวกราดผละออกไปจากเธอที่ควรโกรธ พลอยพิลากลับลอบยิ้มยอมรับคำสั่ง ซึ่งไม่มีใครทันได้เห็น เพราะกำลังมุ่งสายตาไปที่เจ้าของบ้านอีกคนหนึ่ง หลวงนิธิฯต่อว่าอย่างเอือมระอา “คุณชายขี้ริษยา ไม่น่าพาลโกรธเคืองคุณพลอย” “บ้า! เหลือสติกำลัง” ท่านหญิงจอมกริ้วขึ้นมา ด้วยถึงจะแกล้งหยอกเกินไปสักหน่อย ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องโมโหเป็นใหญ่โต วางกริยาไม่งาม แต่ในเมื่อชายหนุ่มไม่เลิกหงุดหงิด จึงต้องหาเรื่องสนทนาเรื่องอื่นกันไประหว่างรับประทานอาหาร [1] เข้าสมาคม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม