บทที่ ๔-๒ : เจ้าแม่เพชรพลอยหลงยุค
เสียงทุ้มกังวานยังดังก้องในหัว วงหน้าหวานขมวดมุ่นครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะพบกระจกบานใหญ่ ในห้องน้ำที่มีอ่างน้ำลอยตัวเข้ากับบ้าน ดวงตาคู่กลมโตเพ่งมอง
ของโบราณชิ้นหนึ่ง นอกจากต่างหูและแหวนเพชร เธอแทบจะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่กระเป๋าสะพายที่กำลังถืออยู่ ตอนออกจากห้องน้ำเพ้นท์เฮ้าส์
สร้อยเส้นนี้แน่ ๆ !
และถ้ามันหายไปโดยบังเอิญหรือจะด้วยอะไรก็ตาม เธอคงไม่ได้กลับบ้าน พลอยพิลาถอดสร้อยทับทิมอย่างระวัง นึกขึ้นได้ว่าชั้นในของเธอยังเปียกชื้น พอถอดบราเซียร์ออกจึงคว้าผ้าขนหนูมาคลุมพาดรอบอก ออกไปถามอย่างอาย ๆ
“ป้าแช่มคะ.. คือ.. ฉันไม่มีเสื้อใน...”
“อุ๊ย.. ดิฉันลืมไปได้อย่างไร?” อุทานเบา ๆ แช่มกวาดสายตามองเสื้อชั้นในฝรั่งเนื้อผ้าเบาสบายดูราคาแพงที่พาดอยู่บนท่อนแขนเรียว แน่ใจว่าหญิงสาวคงใส่ยกทรงขนาดเดียวกับเจ้าของบ้านไม่ได้
“ดิฉันจะลองไปถามลูกสาวนะเจ้าคะ” แช่มเดินตรงไปเปิดประตู พบชายร่างสูงใหญ่กำยำโผล่มาไม่ให้ซุ่มเสียง “พุโธ่ พุถัง! คุณชาย ทำไมมาเงียบ ๆ เจ้าคะ?”
“เสร็จแล้วรึ?” ท่าทางดีอกดีใจใคร่รู้ของร่างสูงในชุดราชปะแตนนุ่งโจงกระเบนม่วง ชะเง้อคอมองข้างในห้อง เจอเข้ากับผิวขาวละเอียดราวแพรไหมบนบ่ามนของคนที่วิ่งไปหลบอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าไวเสียยิ่งกว่าวิ่งหนีผี
“เสื้อชั้นในเปียกล่ะสิ ของแม่เย็นใส่ไม่ได้หรอก เล็กไปหลายขนาด เดี๋ยวฉันจะขับรถไปซื้อให้”
บ่าวตะลึงงันกับคำพูดมีนัยชายหนุ่มที่หายไปอย่างรวดเร็วจนกลับเข้าห้อง ใบหน้าสดสวยแดงก่ำโผล่พ้นจากบานประตู พยายามปกปิดเรือนกายไว้ให้มิดชิดด้วยผ้าซิ่นในตู้ชุดหนึ่ง ป่าวประท้วง
“ฉันกับคุณชายไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ป้าแช่ม”
“ดิฉันยังไม่ทันจะได้พูดกระไร...”
“แหม... ป้าแช่มไม่พูด ก็ต้องคิดแหละค่ะ” พลอยพิลายิ้มเจื่อน ยิ่งบ่าวรู้มากหลุบยิ้มมองมายังเธอด้วยสายตามีลับลมคมใน เธอจึงหยิบผ้ามาคลุมตัวไว้หลาย ๆ ชั้นหลบอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้า อย่างไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หลังจากที่คุณชายอินทรีไปซื้อของจำเป็นสำหรับผู้หญิงด้วยตนเอง ยังทูลขอความอนุญาตจากมารดาให้ช่วยเหลือดูแลหญิงสาว อยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาชั่วคราว เหตุด้วยหล่อนกำลังเดือดร้อนด้วยเหตุผลบางประการ ไม่สามารถที่จะเดินทางกลับบ้านได้ในตอนนี้
ท่านหญิงจอมถึงจะเป็นผู้ใหญ่หัวโบราณ กลับไม่ได้ตรัสว่า เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่หญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้ปรากฏตัว กลายเป็นบุญหล่นทับของท่านหญิงจอมเสียมากกว่า จนบุตรชายอายุปูนนี้ ยังไม่เคยพาผู้หญิงเข้าบ้าน หรือแนะนำให้มารดารู้จักสักคนยังไม่มี
ไหนจะท่าทางแปลก ๆ ว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ ครั้นจะไม่ให้อยู่ด้วยกันที่นี่ บุตรชายก็มีฐานะอยู่พอประมาณ มีทรัพย์สิน มีบ้านอยู่หลายหลัง สู้ให้หญิงสาวอยู่ในสายตาตลอด เป็นเรื่องดีเสียกว่า
ในห้องรับประทานอาหารจึงมีแขกมาเพิ่มถึงสองคน หลวงนิธิฯกำลังนั่งชะโงกคอรอหญิงคนงาม ขณะที่เจ้าของร่างบางในเสื้อลูกไม้ระบายสีขาวเหนือผ้าคาดเอวชายพริ้วสีโอรส ผ้านุ่งซิ่น ในสายตาของคุณชายอินทรี ดูจะหวงแหนหล่อนเป็นนักหนา กระทั่งว่าดวงตาคู่คมคอยมองอยู่ไม่ห่างทุกก้าวขั้นลงบันได
“ฝีมือการเลือกเสื้อผ้าของแม่แช่มไม่เป็นรองใครจริง ๆ” ท่านหญิงจอมตรัสชมบ่าวผู้จงรักภักดี เสียงมาก่อนแม้รั้งท้ายหลังอยู่
“ไม่ใช่ดิฉันคนเดียวมังคะ ท่านจอม..” และก็ถูกขัด!
“สวัสดีเพคะ ท่านหญิง” สองมือยกขึ้นประนมไหว้งามช้อย ก่อนจะก้าวไปหาหญิงวัยหกสิบห้าชันษาที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะรับประทานอาหาร ด้วยความที่ยืนสูงกว่า จึงนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
แน่ว่านักธุรกิจอย่างเธอพอจะเคยทำการค้ากับบรรดาเจ้านายอยู่บ้าง
“หม่อมฉันมัวแต่ตกใจ เพราะไม่เคยตกน้ำเลย ไม่ได้ไหว้ท่านหญิง ขอประทานโทษเพคะ”
ในความเงียบที่ต่างคนมีสีหน้าฉงนสงสัย เว้นแต่คุณชายอินทรีที่ขยิบตาให้แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ
“สวัสดี แปลว่ากระไรรึ?” ท่านหญิงจอมตรัสถามเสียก่อน ด้วยรู้สึกต้องชะตาวงหน้างามชม้อยและแววตาใสซื่อ
พลอยพิลาถึงจะไม่ได้เก่งวิชาประวัติศาสตร์มาก เธอดันท้อปภาษาไทย!
“สวัสดีมาจากคำในภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต โสตฺถิ หรือ สวัสติ สะ-วัด-ติ แปลว่า ขอความดีความงามจงมีแก่ท่าน เพคะ”
“เป็นความหมายที่ดีทีเดียว ฉันได้ยินคำนี้จากคุณชายกับหล่อน แค่สองคนในพระนครนี่แหละ” แย้มโอษฐ์กว้างก็ถามให้แน่ “หล่อนชื่อกระไร?”
“หม่อมฉันชื่อ พลอยพิลา เพคะ”
ท่านหญิงจอมสดับ ดวงเนตรเบิกกว้างตกพระทัยไปครู่ ก่อนจะตรัส “ลุกขึ้นมาเถอะจ้ะ แม่พลอย จะเรียกฉันท่านหญิง ท่านจอม ฤาท่านแม่ ตามแต่สะดวกใจหล่อนเถิด” หากได้เป็นท่านแม่คงสมพระทัยท่านหญิงจอมมากกว่า ด้วยความที่โปรดจะได้สุณิสาสักคนมาแสนนาน ทรงดำริได้อีกเรื่อง
“เสื้อผ้าเปียกซะหมด หล่อนเอาชั้นในที่ไหนใส่” แต่กลับส่งแววเนตรคมกริบไปทางบ่าวรักจึงต้องให้คำตอบ
“คุณชายเป็นธุระให้เพคะท่านจอม พอดียังกับตาเห็นเพคะ”
“ฉันแค่คะเนเอาด้วยสายตา” ชายหนุ่มแย้ง
“ดิฉันสายตาดีอยู่ คะเนไม่ถูกเทียวเจ้าค่ะ” และได้รับรอยแย้มโอษฐ์จากท่านหญิงจอมที่เมตตาต่อบ่าวผู้นี้เป็นหนึ่ง เสมือนสหายรัก
“ขอบใจที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ฉันจ้ะ แม่แช่ม” หากแต่วงเนตรเรียวรีจนเหยียดตรงมองไปทางบุตรชาย “อย่าให้รู้เชียว...”
มีคนหนึ่งที่หัวเราะหึหึในลำคอคือหลวงนิธิฯ อยากจะตบรางวัลให้แม่แช่มพอ ๆ กับเจ้าของบ้าน ท่านหญิงจอมชักชวนทุกคนไปนั่งรับประทานอาหาร แลยังจับเนตรอยู่กับหญิงสาวที่ดูแล้วไม่น่ามีจริตมารยามาก เพราะแค่ทักเรื่องชั้นใน ยังได้อายจนก้มหน้าก้มตางุด ๆ
บนโต๊ะรับประทานอาหาร บ่าวเริ่มทยอยอาหารมา อาหารทุกอย่างเป็นฝีมือของแม่แช่มและลูกสาว ต้นตำรับชาววังโดยแท้ ถูกปากแขกเหรื่ออยู่เสมอ แกงคั่วหัวตาล แกงเนื้อ ข้าวแช่ชาววัง เมี่ยงคำ ยำใหญ่ ส่งกลิ่นหอมชวนรับประทาน ท่านหญิงจอมเชื้อเชิญแขก ทั่วทั้งวงพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส
“ทำตัวให้สะดวกสบายนะแม่พลอย อยู่เป็นเพื่อนกันอีกสักคน ผู้เฒ่าอย่างฉันจะได้หายเหงาเทียว คุณหลวงอยากมาเมื่อใดก็มา ถ้ามีโอกาสละก็ อย่าลืมชวนคุณหญิงจัน จะได้นั่งสนทนาไป รับประทานอาหารไป”
“ครับท่านแม่ หากไม่เป็นการรบกวน กระหม่อมจะมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ” รอยยิ้มยั่วเย้าบนวงหน้าหล่อเหลากระตุกโทสะชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะคนพูดปาว ๆ ไม่แม้แต่จะมองหน้า แต่กลับชะม้ายชายตาไปทางสาวคนงาม
“คุณหลวงเคยมาหาเพื่อนอย่างฉันบ่อย ๆ ด้วยรึ? ให้ฟ้าผ่าสิ เห็นอยู่ว่าออกจะชอบงานเต้นรำ รับประทานอาหารตาม เร็สตอรังต์[1] ดูละคร ดูสาวมิใช่ฤา”
“คุณชายก็ชื่นชอบเช่นเดียวกับฉันมิใช่ฤา?”
เมื่อใดสองชายหนุ่มได้ยอกย้อนต่อคารมกัน ไม่มีทางจบง่าย ๆ เจ้าคุณพิพิธฯกับหลวงนิธิฯก็เป็นแบบนี้ เดี๋ยวดี เดี๋ยวทะเลาะ ท่านหญิงจอมชายเนตรคมกริบเป็นเชิงปรามไปทางฝั่งซ้าย และขวาที่บุตรชายนั่งอยู่ถัดจากหญิงสาว ก่อนจะตรัสถาม
“แม่พลอยเป็นลูกเ**กหรืออย่างไร ผิวขาว ๆ สวย ๆ ดูว่าจะใช่อยู่ ใช่ไหม?”
“คะ?” ลูกเ**ก! สีหน้าตกใจหายไปในอีกครู่หนึ่ง เธอกำลังตั้งใจฟังภาษาไทยรุ่นทวดเพื่อซึมซับวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่โดยที่ยังไม่ได้แตะอาหารอะไร พอตั้งสติได้ก็รีบกลั่นกรองคำพูดออกมาให้พอเหมาะพองาม
“หม่อมเป็นลูกชาวจีน พ่อแม่ของหม่อมฉันเป็นพ่อค้าเพคะ”
ท่านหญิงจอมหทัยกว้างขวางแย้มโอษฐ์ “ฉันเข้าใจว่าหล่อนคงมีเรื่องไม่สะดวกใจจะพูดเรื่องครอบครัวนัก ก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่อยากจะให้เบื่อหน่ายกันไปเสียก่อน ฉันจึงอยากรู้ว่าหล่อนชอบทำอะไร เผื่อจะได้หาอะไรสนุก ๆ ทำด้วยกัน”
[1] เร็สตอรังต์ = ร้านอาหาร