บทที่ ๔-๑ : เจ้าแม่เพชรพลอยหลงยุค
ภายในห้องรับแขกกว้างขวางโอ่อ่าของบ้านสไตล์โคโลเนียล ศิลปะประยุกต์แบบตะวันตก หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘ตึกฝรั่ง’ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์รูปแบบโบราณ ไม่ว่าจะเป็นตู้ โต๊ะ เก้าอี้ นาฬิกาตั้งพื้น รวมถึงโคมไฟ โซฟาตัวนุ่มสบายขาไม้สักฝังมุกลวดลายสวยงามตั้งอยู่กลางห้อง เด่นเป็นสง่า กลมกลืนไปกับผนังตีซ้อนเกล็ดสีขาวครีมงาช้าง
ท่านหญิงจอมเพิ่งเสด็จกลับมาพร้อมบ่าว หลังพบปะบรรดาหม่อม ๆ เช่นทุกวัน ตกพระทัยทันที่บุตรชายกับหลวงนิธิฯ หญิงสาวหน้าตาสะสวยในสภาพไร้สติ พากันกลับบ้านก่อนเวลาที่ควรจะเลิกงานตามเวลาราชการ
“มีเรื่องกระไรกัน? คุณชาย คุณหลวง เอ๊ะ แม่หนูนี่ใคร?”
สองหนุ่มปะทะกันทางสายตาเบา ๆ ชายหนุ่มที่คิดคำตอบมาตลอดทาง พูดจาไพเราะอ่อนหวาน “ท่านแม่ หล่อนเป็นเพื่อนลูกแต่สมัยเรียนอังกฤษ...”
“ไม่ใช่เพื่อนขอรับกระหม่อม..”
“.. อ้ายคุณหลวง” ภายใต้สีหน้าเย็นยะเยือกที่ลอบขบกรามกรอดมองท่าทีเฉยชากวนประสาท แต่ก็ไม่กล้าต่อความหลวงนิธิฯที่ยังคงหงุดหงิด เพราะเงินพนัน 100 บาท! ซึ่งเจ้าตัวได้ควักให้เขาทันทีที่ลงจากรถยนต์
ท่านหญิงจอมจับความไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต้องเนตรอยู่กับใบหน้าสดสวยซีดเซียวรับเรียวปากอวบอิ่มงามก็เกิดความเอ็นดู ก่อนจะมีท่าทีร้อนพระทัย
“ไปทำลูกสาวบ้านไหนตกน้ำตกท่าเข้า คุณชาย” ตรัสกับบ่าว “แม่แช่มจ๊ะ มียาลมก็เอามาให้หล่อนสักหน่อย”
ในความหมายของท่านหญิงจอมคือตกลงรับคำขอเป็นที่เรียบร้อย คนลูกยิ้มหน้าระรื้น “เป็นพระคุณกระหม่อม ท่านแม่น่ารักที่สุด”
วงแขนกว้างกำยำค่อย ๆ วางร่างเปียกชื้นลงบนเก้าอี้โซฟาหุ้มเบาะหนังอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ รับขันน้ำ และยาหอมจากบ่าวมาไว้บนหน้าตัก
“เดี๋ยวฉันดูแลหล่อนเอง ป้าแช่ม”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
พอบ่าวลับตาดี มือหนาบรรจงปัดปอยผมดำขลับยาวสลวยชุ่มชื้น แตะผ้าหมาดลงบนแก้มนวลไล่ไปถึงบริเวณลำคอเพรียวระหง ร่างอรชรที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบอกว่าคราวนี้ไม่ใช่ความฝัน เธออยู่ตรงหน้าเขา..
เป็นที่สงสัยของคนในบ้านเมื่อทุกกริยาความทะนุถนอมบอกถึงความโหยหาล้ำลึก ในวงเนตรของท่านหญิงจอม และสายตาของหลวงนิธิฯ ก็ว่าประหลาดอยู่ ผู้เป็นมารดาหรือจะนิ่งเฉย
“แม่แลเห็นว่าไม่น่าจะใช่ เป็นเพื่อนกันแน่ฤา?”
ไม่มีสุ้มเสียงใด ท่านหญิงจอมจึงสะบัดพักตร์ไปเอาคำตอบจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “คุณหลวง ไหนตอบแม่มาเดี๋ยวนี้ ว่าอย่างไร?”
หลวงนิธิฯอยากฟ้องอยู่แล้วก็ฟ้องจนได้ “กระหม่อมหาได้รู้จักคุณผู้หญิงเป็นการส่วนตัว รู้เพียงว่าคุณชายอาการเป็นเอาหนัก กระหม่อม”
“แม่ชักใคร่อยากรู้ ถึงแลเห็นอยู่ว่าอาการหนักราวกับบ้าเป็นอย่างไร”
“ถ้าจะว่ากันโดยจริง คุณชายมีอาการเช่นนี้ ตั้งแต่โรงเรียนนายเรือขอรับกระหม่อม อย่างกับไปรักกันมาแต่ชาติปางไหน แต่คุณผู้หญิงคนสวยซี...” เสียงที่เงียบไป ไม่ละวางตาไปจากคนทั้งสอง ท่านหญิงจอมมีประสงค์จะรู้ความนี้อยู่หลายเท่า ตั้งแต่มีลมหายใจมาหล่อนไม่เคยทอดเนตรแลเห็นว่าลูกชายจะสนใจใคร
“จะเล่า ก็เล่ามาเสียให้หมด” ยกหัตถ์ปรามบุตรชายที่กำลังจะอ้าปาก “คุณชายไม่ต้องพูด สักคำเดียว”
ด้วยหลวงนิธิเตชจินดาเป็นบุตรคุณหญิงจัน ท่านหญิงจอมเอ็นดูมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่มีทางที่จะนำความเท็จมากล่าวกับผู้อาวุโส ต่างจากคุณชายอินทรีที่ถ้าหากว่าได้ถามอะไรแล้วล่ะก็ คงต้องหาเรื่องโป้ปดเป็นแน่
หลวงนิธิฯยังรักษาน้ำใจเพื่อนอยู่ ยิ่งอีกคนมองมาทางเขาปานจะกินเลือดเนื้อ
“เงียบทำไมเล่า? คุณหลวง”
“คือกระหม่อม..”
ท่านหญิงจอมหรี่เนตรเรียวเล็กที่มีร่องรอยตามชันษาจนเหยียดตรง โอษฐ์ว่าทำแน่ “หรือแม่ควรจะนำความไม่ดีไม่งาม ที่แอบไปไหนต่อไหนกันมา ไปฟ้องคุณหญิงจัน”
หลวงนิธิฯลอบกลืนน้ำลายลงคอ ได้แต่ขอโทษสหายผ่านทางสายตา ก่อนจะตัดสินใจเล่าความโดยละเอียด
“เมื่อช่วงเวลาบ่าย สักบ่ายหนึ่งนาฬิกาเศษ กระหม่อมกำลังหารือกับคุณชายอยู่สักประเดี๋ยวหนึ่ง ได้เรื่องจากนักเรียนนายเรือว่ามีคนจมน้ำ กระหม่อมกับคุณชายจึงตามไป ถึงได้พบคุณผู้หญิง หล่อนเองได้สติมารอบ ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก เป็นลมไปเสียอย่างนั้น”
“ตกลงรู้จักกัน ฤาไม่รู้จักกัน?”
“กระหม่อมคิดว่า... ไม่แน่ใจ ขอรับ... ท่านแม่” เสียวสันหลังวูบวาบยามรู้สึกถึงสายตาคู่คมกริบราวมีดเฉือนของคนหนึ่ง และสุรเสียงข่มขู่
“คุณหลวง..”
“หามิได้ขอรับกระหม่อม สหายคุณชาย กระหม่อมรู้จักทุกคน!”
หลวงนิธิฯละล่ำละลักตอบตามความจริง ท่านหญิงจอมจึงแย้มโอษฐ์ แม้ไม่ได้ความอะไรมากมายก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย
ฉับพลันที่เปลือกตาขาวภายใต้ขนตางามงอนยาวเป็นแพกระพริบถี่ ๆ พลอยพิลาปรือตาพร่ามัวมองเพดานสีขาวครีมงาช้างของบ้านโบราณสไตล์โคโลเนียล มีสีหน้างุนงงชนิดว่าน่าจะเป็นลมได้อีกสักรอบ
คุณชายอินทรีคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น หันมองไปยังคนในฝั่งตรงกันข้าม
“ท่านแม่ ลูกจะพาหล่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน กระหม่อม”
“ไปเถอะ คุณชาย เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันเรียบร้อยดีค่อยมาเจรจา นั่งหัวเปียกไป จะพาลป่วยเอา”
“ลูกคงต้องรบกวน เสื้อผ้า.. ท่านแม่..” ในความเกรงใจมารดา ดวงตาคู่คมว่าเป็นห่วงเป็นใยหล่อนนักหนา ท่านหญิงจอมทอดเนตรมองใบหน้านวลผ่องที่เอาแต่มองซ้ายมองขวา ยังกับไม่เคยเห็นบ้านคน ค่อยแย้มโอษฐ์
“ตามแต่ใจลูกเถิด แม่ไม่ใช่คนหวงสมบัติอะไร แม่ชักอยากเห็นอยู่เหมือนกันว่าหล่อนใส่เสื้อผ้าแม่ตอนสมัยสาว ๆ จะงามสักเท่าไร”
“เป็นพระคุณ กระหม่อม” สิ้นคำ เจ้าของร่างสูงมองไปทางคนตัวเล็กที่ยังตกใจ ผายฝ่ามืออุ่นให้จำต้องยอมรับน้ำใจของสุภาพบุรุษ เพราะด้วยการลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของตัวเองง่าย ๆ คงเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับพลอยพิลาในตอนนี้
คำถามมากมายอยู่ในหัวสมองน้อย ๆ ไม่สามารถเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ได้ สัมผัสของกระเบื้องเย็นใต้ฝ่าเท้าในทุก ๆ ย่างก้าวบอกว่าไม่ใช่ความฝัน! เธอจำได้ว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ยืนอยู่หน้ากระจกสำรวจความงามตัวเองในห้องน้ำของเพนท์เฮ้าส์ จำได้แม้แต่แรงกระชากหนัก ๆ ในวินาทีที่วูบไป
แรงกระชาก... จากอะไร?
เธอมาอยู่ปีพ.ศ.2455 ได้ยังไง.. จมน้ำตั้งแต่เมื่อไร?
“อย่าเพิ่งคิดมากมายเลย แม่พลอย” เสียงเข้มขัดคนที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ร่างสูงในชุดข้าราชการเปียกชื้นหยุดย่างก้าวลงหน้าห้องห้องหนึ่ง เชยปลายคางมนขึ้นด้วยปลายนิ้ว ริมฝีปากคู่งามกระจับจึงเผยอเล็กน้อย
สองสายตาสบประสานเพียงครู่ คนหนึ่งโหยหาลึกซึ้ง อีกคนหนึ่งใจเต้นโครมครามไม่ทราบสาเหตุ
“แม่พลอยของพี่”
เขี้ยวขาวคมเผยขึ้นตรงมุมปากหนาหยักได้รูปเพราะความตื้นตันใจ ไม่มีความหมายอะไรให้อีกฝ่ายต้องคิดมากตามที่ลั่นวาจา ก่อนที่เขาจะหมุนกายจากไป
หญิงสาวตกอยู่ในความนิ่งงัน ถึงเจ้าของน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะจากไปแล้ว ปลายนิ้วอุ่นร้อนประหนึ่งไฟฟ้าสถิตไม่ได้หายจากความรู้สึกไปง่าย ๆ แก้มร้อนผ่าวกลายเป็นสีแดงระเรื่อจนต้องยกมือทั้งสองขึ้นประคอง
แกต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ยัยพลอย!
นั่นมัน.. หนุ่มในสเปค!
“ทำอะไรอยู่เจ้าคะ? คุณ..”
พลอยพิลามองขวับตาม “คะ?”
“ตามดิฉันมาทางนี้เจ้าค่ะ” แช่มเรียกอีกครั้ง คนที่กำลังงุนงงสงสัยแปลกใจกับความรู้สึกประหลาดจึงเดินเข้าห้องที่เปิดประตูอ้าไว้ สติที่ไม่อยู่กับเนื้อตัวกลับมาในอีกไม่ช้า เมื่อกวาดสายตามองไปรอบกายอย่างพิจารณา
ห้องแต่งตัวกว้างขวาง ระเบียงกว้าง เสาสีพาสเทล ไม้ฉลุทรงขนมปังขิง
หญิงร่างท้วมผมบ๊อบ ดัดข้างหลังโค้งเข้าหาต้นคอ สวมเสื้อผ่าอกตัวยาวหลวม ๆ แขนยาวเสมอข้อศอกนุ่งผ้าซิ่น ฟันดำคล้ายรับประทานหมาก บ่าวสมัยนี้แต่งตัวดีกว่าที่พลอยพิลาเคยเห็นผ่าน ๆ ตาในละครโทรทัศน์มาก เธอคิดว่าน่าจะเป็นยุคหลังเลิกทาสไปแล้ว
“ปีพ.ศ. 2455 งั้นรึ?” พึมพำกับตัวเอง ยกปลายนิ้วขึ้นแตะคาง ในสีหน้าครุ่นคิดกับเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยอยู่ในหัวของนักธุรกิจแม้แต่น้อย
“พระพุทธศักราช 2455 มีกระไรฤาเจ้าคะ?” บ่าวหันไปถามเสียก่อนจะได้ไปเลือกเสื้อผ้าสวย ๆ เป็นใครก็คงต้องแปลกใจ ขณะที่อีกคนหัวเราะกลบเกลื่อน
“เอ่อ.. วังสวยนะคะ ส้วยสวย..”
“ท่านจอมโปรดให้เรียกว่าบ้านเสียมากกว่าเจ้าค่ะ” บ่าวไม่ลืมแนะนำตัว “ดิฉันชื่อแช่ม เป็นบ่าวของท่านหญิงจอม รับใช้ท่านมานาน สักประมาณ 45 ปีได้ สักประมาณ รศ. 91 ได้กระมังเจ้าคะ”
รศ.91! พลอยพิลาทั้งตกใจและโล่งใจในขณะเดียว บุญคุ้มกะลาหัวเท่าไรได้มาโผล่บ้านท่านหญิงคุณชาย ไม่หลุดไปยุคสมัยก่อนหน้านี้ที่มีระบบศักดินา คนสวย ๆ อย่างเธอ ไม่ถูกจับไปเป็นทาสสาวคงได้ตกเป็นเมียไอ้โหดที่ไหนแน่ ๆ
“คุณทำหน้าตื่นตะลึงเสียขนาดนั้น ตกอกตกใจกระไรเจ้าคะ?”
“ไม่มีกระไรค่ะ ป้าแช่ม” หญิงสาวเลียนแบบถ้อยคำและท่าทางของผู้คนที่นี่ ชนิดว่าปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเข้ากับสถานการณ์ยิ่งเสียกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เพราะความรักตัวกลัวความลำบากซึ่งเซเลบตัวแม่อย่างเธอขยาด
“ป้าแช่มเรียกฉันพลอย ได้นะคะ”
“เจ้าค่ะคุณพลอย รอสักประเดี๋ยว ดิฉันจะหาเสื้อผ้าสวย ๆ ให้เปลี่ยนเจ้าค่ะ” บ่าวยิ้ม ก่อนจะตรงไปยังตู้ไม้ตู้ใหญ่ ทว่าความเป็นคนช่างสอดรู้ จึงคอยลอบมองอยู่เป็นระยะด้วยความรู้สึกว่าคุณผู้หญิงมีท่าทางแปลก ๆ
ตู้ไม้สักโบราณมีเสื้อผ้ามากมายหลายสิบ ๆ ชุด เสื้อระบายลูกไม้สมัยเก่า คอลึก แขนยาวเสมอศอก แขนไม่พองมาก ผ้าแพร ผ้าพลอยดอก ผ้าซิ่น สไบ โจงกระเบน พับวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ กระทั่งเสื้อฝรั่ง หรือเครื่องแต่งกายตามแบบตะวันตก เรียกได้ว่าแทบจะมีเสื้อผ้าทุกอย่างทั้งในแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ห้าและรัชกาลที่หก
มือเรียวยกขึ้นป้องปาก เบิกตากว้างมองหญิงร่างท้วมที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เท่านั้น
“เป็นกระไรเจ้าคะคุณพลอย? ยังกับเห็นผีเป็นตัว ๆ บอกให้ดิฉันรู้ด้วยสักคน คนแก่จะได้วิ่งหนีผีทัน”
“เอ่อ.. ไม่มีผีค่ะ ป้าแช่ม ฉันแค่คิดอะไรเพลิน ๆ ค่ะ” แก้ตัวไปให้อีกฝ่ายเลิกสงสัย บ่าวหยิบเสื้อผ้าได้ชุดหนึ่งทาบเสื้อลูกไม้ระบายสีขาวและผ้าคาดเอวชายพริ้วสีโอรสบนเรือนร่างอรชรแทนที่เดรสเอวสูงสไตล์คุณหนู ซึ่งตอนนี้เกือบจะแห้งดี
“ชุดนี้ดีไหมล่ะเจ้าคะ? น่าจะเหมาะสมกับผิวสวย ๆ ของคุณ” ในสายตาชื่นชมของบ่าว “สวยถูกใจคุณชาย อ๊ะ.. ท่านจอมแน่ ๆ เจ้าค่ะ”
พลอยพิลายิ้มอ่อน ในความคิดเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้ตัว บ่าวบ้านนี้ตาดีรู้มากดีจริง ๆ
“ขาดเหลืออะไร เรียกดิฉันนะเจ้าคะ ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” แม่แช่มส่งชุดให้หญิงสาวที่เดินหายเข้าห้องน้ำไป
ประตูที่ปิดลงเบา ๆ พาเสียงถอนหายใจหนัก หญิงสาวก้มหน้าลงมองชุดสุดแสนจะโบราณในมือ เพราะไม่เคยใส่ชุดไทยแม้สักครั้ง
เธอล่ะอยากเป็นลมอีกสักรอบ! แต่ถ้าหากว่าเป็นลมอีกคราวนี้ ต้องตื่นมาเจอสภาพเดิมเช่นทุกครั้งที่ลืมตาคือสีหน้าเป็นกังวลของคุณชายแปลกหน้าที่จะต้องพบเขาเป็นคนแรกเสมอ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นลมอ่อยคุณชายไปเพื่ออะไร
หรือว่าเขาจะเป็นคนดึงเธอมายุคนี้กันแน่?
ใช่... เขารู้ชื่อเธอได้ยังไง?
‘แม่พลอย.. แม่พลอยของพี่’