บทที่ ๓-๒ : สร้อยทับทิม
“ตัวเย็นเฉียบครับท่านเจ้าคุณ คุณหลวง กระผมว่าท่าทางไม่น่าจะรอด”
นักเรียนนายเรือคนหนึ่งบอกด้วยท่าทางร้อนรน ขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองตกอยู่ในอาการนิ่งงัน เจ้าคุณพิพิธและหลวงนิธินั้นถูกเรียกมาจึงมาถึงได้ไม่นาน พวกเขาอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด
“แม่พลอย...” เสียงทุ้มสั่นพร่า นัยน์ตาคู่คมเอ่อคลอจับจ้องวงหน้าซีดขาวงามรับเรียวปากกระจับของร่างไร้ลมหายใจที่เปียกน้ำชุ่มโชกโทรมกายเบื้องหน้า ไม่มีทางที่เขาจะลืมผู้หญิงคนนี้แม้สักวินาที
ในความทรงจำแตกกระจายประกอบเป็นรูปร่างชัดเจน แต่แรกพบสบตาจนวันสุดท้ายของร่างลมหายใจ ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...
‘หล่อนจะตายไม่ได้.. ไม่!’
“พลอยพิลา!” ตะคอกดัง ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้เธอไปจากเขาได้อีก! ชายร่างกำยำคุกเข่าลงบนพื้นหญ้าเพื่อที่จะปฐมพยาบาลให้ทันท่วงที พร้อมกันนั้น
ขนตางามงอนเป็นแพกระพือขึ้นเบา ๆ เผยให้เห็นดวงตาคู่สวยระยับพร่างพราว ฉับพลันกับที่ร่างบางลุกพรวดขึ้นนั่งสำรอกน้ำออกมาชุดใหญ่
คุณชายอินทรีโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง พยายามควบคุมลมหายใจหอบสั่นให้เป็นปรกติทั้งโกรธทั้งกลัว อยากดึงหญิงตรงหน้ามากอดปานขาดใจ ทว่าในวินาทีนี้เขาฉลาดพอที่จะรับรู้ได้ว่าอาจเป็นเพียงคนแปลกหน้า...
“ไม่เป็นไรแล้วนะหล่อน..”
ไม่มีคำตอบใด สองสายตาสบประสานกันเพียงครู่ จู่ ๆ เธอก็ล้มตึงไปต่อหน้าต่อตา
ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา “ตาย ตาย แค่นี้ถึงกับเป็นลม ปอดจริง” มือคว้าสร้อยทับทิมเงาวับจับตามาพิจารณาครู่หนึ่ง แน่ว่าเขารู้จักมันเป็นอย่างดี
ขณะที่บุคคลทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กลัวทั้งความผิด กลัวผีหลอกก็กลัว หนุ่มนักเรียนนายเรือคนหนึ่งว่าเสียงสั่น
“ผม.. ผมสาบานได้ขอรับ ท่านเจ้าคุณ คุณหลวง หล่อนไม่หายใจ.. ทำไม?”
“ช่างเถอะ ฉันจะไม่เอาความ พวกเอ็งมีเรียนก็รีบไป” อาจารย์นายเรือคงต้องยกความผิดให้ โดยเฉพาะนักเรียนอีกคนที่อยู่ในสภาพเปียกปอน
“ไปเปลี่ยนชุดเสียด้วย.. ชื่ออะไรน่ะ?”
“จ้อยครับ”
“ขอบใจนะ นายจ้อย” เป็นไปได้ยากที่คุณชายอินทรีจะเอ่ยปากขอบคุณใครหากมิใช่สหาย และเขายังยิ้มด้วยอีกต่างหาก พอนักเรียนนายเรือแยกย้ายกันไป จึงเหลือเพียงคุณหลวงที่ยังคงสงสัย ก่อนจะมีสีหน้าตื่นตะลึง
“เอ๊ะ! คุณผู้หญิง... คนนี้?”
เจ้าของวงหน้าหวานงามหมดจดที่นอนสลบไสลคือคนเดียวกันกับหญิงสาวในภาพวาด ถึงจะแตกต่างไปเพราะเสื้อผ้าไม่ใช่อย่างที่เคยเห็น
ในเสื้อผ้าประหลาดจากเมืองฝรั่ง เดรสสีขาวคอกว้างลึกมีกระดุมอยู่สามเม็ด เหนือกระโปรงทรงเอวสูงเข้าสัดส่วน เปียกปอนจนมองทะลุผ่านผิวขาวละเอียดไปทั่วทั้งตัว รับต่างหูเพชรเม็ดงาม และสร้อยทับทิมโบราณ สวยสะโอดสะองเช่นนางฟ้าตกสวรรค์ก็มิปาน
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าบอก “เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ คุณหลวง ฉันเห็นสมควรว่าจะได้ไปรบกวนท่านแม่สักหน่อย”
“ก็แล้วแต่คุณชายจะพอใจ คงลำบากอยู่ไม่น้อย หากว่าพาไปห้องพยาบาลในสภาพนี้ เสือสิงกระทิงแรดได้ออกมาวิ่งทั้งโรงเรียน”
มองหน้ากันครู่เดียว ชายร่างสูงใหญ่กำยำกว่าโน้มตัวลงตวัดข้อพับขาวเนียน โดยไม่สนว่าหยดน้ำที่เกาะอยู่ทั่วเรือนร่างงามจะเปียกเครื่องแบบของเขาไปด้วย
ดวงตาสีนิลสนิทเอ่อคลอหลุบมองใบหน้างาม ยามสลบใหลอยู่บนอกของเขาด้วยหัวใจสั่นระรัว ชายหนุ่มอีกคนคงอยากรู้จนตัวสั่น
“คุณชาย.. รูปนั่น..?”
“ไว้ฉันจะบอกคุณหลวงทีหลัง ตอนนี้ ฉันมีความจำเป็นจะต้องลางาน ส่วนคุณหลวงต้องเป็นคุณสารถีแล้วล่ะ” เขาแน่ใจว่าจะต้องถูกซักไซร้ไม่เลิกรา ก้าวไปข้างหน้าไว ๆ หลวงนิธิฯก็ตามติด ๆ
“เอ้า! นี่ คุณชาย ไม่ปรึกษาฉันก่อน ทำไมฉันจะต้องเป็นสารถีขับรถ?”
“ก็จะเป็นไรไป แค่เป็นสารถีสักวัน”
“เป็นก็เป็น นี่แน่ะ...” มิวายยื่นมือไปปัดปอยผมยาวดำขลับสลวย ด้วยหวังดีว่าจะเกะกะ ทว่าร่างอรชรในอ้อมแขนแข็งแรงกลับถูกสะบัดไปอีกทางหนึ่ง ตาคมกริบมองประหนึ่งว่าหลวงนิธิฯเป็นผู้ร้าย
แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอินทรีเคยหวงอะไรกับมิตรสหายเสียที่ไหน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้หญิงที่ใครชอบพอใครก็ไม่เคยมีเรื่องวิวาท ที่น่าตกใจกว่าคือนางในฝันโผล่มาจากน้ำได้อย่างไร
หลวงนิธิฯค่อนข้างประหลาดใจ ยิ่งเจ้าตัวต่อว่า
“ชักช้า เสียเวลา”
แล้วเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คนรั้งท้ายจึงต้องวิ่งไล่จับกันไป ท่ามกลางสายตาเสือสิงกระทิงแรดอย่างที่ว่า จะอย่างไร ปากต่อปากพูดไปยิ่งเร็วเสียกว่า เรื่องมีคนตกน้ำในโรงเรียนนายเรือ และนายจ้อยเป็นผู้ช่วยเหลือหญิงสาว ซึ่งเป็นผู้หญิงของเจ้าคุณพิพิธฯ ดังกระฉ่อนในเวลาไม่กี่นาที
อาจารย์นายเรือต้องเลิกงานเร็วกว่าปรกติ จึงแวะสั่งงานนักเรียนครู่เดียว มือคว้าสูทฝรั่งตัวใหญ่ที่พาดอยู่บนเก้าอี้ คลุมร่างเปียกปอนไว้เพื่อบรรเทาความหนาว ก่อนจะพาคนในอ้อมแขนออกจากห้องไป มีนายสมุห์บัญชีเดินตามไปถึงลานจอดรถยนต์
หลวงนิธิฯหายใจหอบเหนื่อย หลังเดินตามชายร่างสูงใหญ่กำยำที่เดินตัวปลิว ทั้งที่อุ้มผู้หญิงทั้งคน
“คุณชาย บอกฉันก่อนซี..”
“รู้สิ.. รู้ก็คือรู้ ทำไมต้องถามมาก” สิ่งที่ถูกเก็บงำมาตลอดชีวิตแฝงอยู่ในรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ยังไงเขาก็ไม่บอกเรื่องนี้
“ถึงฉันจะบอกคุณหลวงไปเสียทุกเรื่อง ใช่ว่าคุณหลวงจะรู้ทุกเรื่องของฉัน”
“อ้าว ๆ เพื่อนจะมาซุกซ่อนหญิงงามจากสายตาฉันได้ยังไง” ในท่าทีเอาเรื่องคนที่ยังเอาแต่ยิ้ม สีหน้ามีความสุขอยู่ตลอด ขนาดว่าตอนออกคำสั่งก็ยังยิ้ม
“นายสารถี เปิดประตูแล้วไปขับรถได้แล้ว ประเดี๋ยวหล่อนจะไม่สบาย เพราะนายมัวร่ำไร”
อย่างไรเสียหลวงนิธิฯก็เป็นสุภาพบุรุษมากพอ แถมยังถูกคนช่างแกล้งลดยศถาบรรดาศักดิ์ ฟึดฟัดไปคว้าพวงมาลัย คอยลอบมองคนข้างหลังผ่านกระจกข้าง
วงแขนกว้างกำยำโอบประคองบ่าหญิงสาวไว้ไม่ให้โอนเอนไปตามแรงกระแทกเบา ๆ ของถนนหนทาง คุณชายอินทรีคิดว่าสหายคงไม่ยอมแพ้ คงจะมีคำถามเป็นล้าน ๆ เขาเลยนึกเรื่องสนุกมากพอปิดปากคนได้
“คุณหลวงอยากได้เงินใช้ไหมเล่า?”
“อยากสิท่านเจ้าคุณ มีใครไม่ชอบเงินบ้างกัน”
ยิ่งบ้านเมืองเข้าสู่ยุคแห่งความเจริญ กลายเป็นสังคมเมืองสมัยใหม่ ใคร ๆ ก็ชอบ ‘เงิน’
“คุณหลวงมาพนันกับฉันสักตา ฉันว่าหล่อนตื่นมาคราวนี้ จะต้องลมจับ”
“ยังไงคุณชาย ที่พูดน่ะ ดูมันเข้าใจยากอยู่ ทำไมหล่อนจะต้องลมจับ?” หลวงนิธิฯบ่น แต่ก็อยากได้เงินสักหน่อย “เอา.. ก็ได้ ฉันวาง 5 บาท”
“10 บาท”
“ให้อีก 50 สตางค์นะ คุณชาย...”
“อะไรกัน? ยังไม่ถึงค่อนของเงินเดือนด้วยซ้ำ สัก 10 ตำลึงปะไร”
10 ตำลึงก็ 40 บาท เป็นเรื่องตลกขบขันที่ไม่น่าขันสักเท่าไร “ผีพนันเข้าสิงฤา? ฉันแลเห็นว่าหล่อนดูร่างกายแข็งแรงดีทีเดียว ฟื้นจากความตายมาได้ละลุกนั่งเร็วกว่านักเรียนนายเรือเสียอีก”
“50 บาท เอาไหม? คุณหลวง แต่ถ้าคุณหลวงรู้สึกกลัว ไม่เป็นไร”
“ดูพูดเข้าซี คุณชายอินทรีช่างใจร้ายใจดำ ฉันเป็นแค่นาวาโท เงินเดือนละ 340 บาท” คนอย่างหลวงนิธิฯหรือจะยอม! “50 บาท”
“ฉันก็ไม่ขี้ขลาดดอก 100 บาท เห็นจะดี”
หลวงนิธิฯถึงกับตาโต “100 บาท!”
ไม่บ้าก็เสียสติ สำหรับเงินจำนวนมากโข ในยุคที่รถยนต์ยุโรปหรู ๆ อย่างเชฟโรเลตของห้างบัตเลอร์แอนด์เว็บสเตอร์ราคาราว 2000 กว่าบาท สำรับอาหารอย่างดีโต๊ะไม้ละ 2 สลึง
“ตกลง 100 บาท ไม่คืนคำ ไม่มีมิตรสหายนะ คุณหลวง”
“ได้ซี ฉันรับเดิมพันท่าน..”
สองหนุ่มตกลงรับคำ พอดีกับที่หญิงสาวได้สติกลับมาสักครู่หนึ่ง หากแต่ยังสะลึมสะลืออยู่กับกลิ่นกายบุรุษอันแสนคุ้นเคย กระทั่งอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงทำให้ต้องหรี่ตาพร่ามัวมองเจ้าของใบหน้าหวานคมในชุดข้าราชการที่ยอมให้ยืมบ่าหนุนนอนต่างหมอน
พลอยพิลาจำได้ว่าพบหน้าชายแปลกหน้าครั้งหนึ่ง คล้ายว่าเธอกำลังอยู่ในฉากละครยุคเก่า พระปรางค์ข้างหลังขนาบแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ใช่อย่างที่เคยเห็นจนตกใจเป็นลมไป ตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่ารู้จักเขาหรือไม่รู้
“คุณ... ฉันรู้จักคุณ?”
ความเจ็บปวดสะท้อนอยู่ในแววตาคู่หวานคม ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ฉัน.. ทำงานอยู่ที่โรงเรียนนายเรือ หล่อนพลัดตกน้ำ ได้นายจ้อยช่วยเอาไว้ ฉันจึงพาหล่อนมา”
“ฉัน.. ตกน้ำ?” หญิงสาวมีสีหน้าฉงนสงสัย ไม่มีทันสังเกตรอยยิ้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะไม่ชมวิวรอบ ๆ เมืองกรุงก่อนรึ?”
ในคำชักชวน ฝ่ามืออุ่นร้อนยังคอยแตะบ่ามน โอบร่างเปียกชื้นไว้ในอ้อมแขนไม่ห่าง ขณะที่หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับการเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้คนแปลกหน้า เพียงปรายตามองไปรอบ ๆ กาย
ตัวเมืองกรุงเทพฯคราครั่งไปด้วยรถ รถม้าและเกวียนวิ่ง รถลากหรือรถเจ๊ก ยังมีรถยนต์รุ่นคุณปู่ทวดเป็นยานพาหนะที่กำลังนั่งอยู่! มันแล่นไปอย่างช้า ๆ บนถนนหนทางที่มีจำกัด ถนนโรยกรวดบ้างก็เรียบพอประมาณ
ผู้คนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสมัยเก่า ทั้งผ้านุ่งซิ่น ชุดราชปะแตน เสาไฟฟ้า พื้นถนน ทุกอณูพื้นที่ ไม่ต่างจากภาพขาวดำในนิตยสารเมืองกรุงฯยุคเก่าตีออกมาเป็นฟิล์มสี
“ฉันต้องฝันแน่ ๆ ..”
พลอยพิลาคิดว่าเธอน่าจะยังไม่ตื่น โดยไม่ได้รู้ตัวว่าสายตาคู่คมสองคู่กำลังฟาดฟันกันผ่านกระจกมองหลัง จนได้จังหวะที่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเกรอะใบหน้าหวานคมของคนที่รู้คำตอบเป็นอย่างดี
“หล่อนไม่ได้ฝันดอก นี่แหละกรุงเทพฯ พระพุทธศักราช 2455”
“อะ… อะไรนะ? ปีอะไรนะ..?”
ในน้ำเสียงเข้มขรึมจริงจัง “กรุงเทพฯ ปีพุทธศักราช 2455”
สิ้นคำเท่านั้น วงหน้างามก็ฟุบไป ไร้คำลา จนเกือบได้มีคนเอาหัวโขกรถเหล็กสักแผล หากยื่นมือไปรับไว้ไม่ทัน คุณชายอินทรีจับหน้าผากโงนเงนวางลงบนไหล่เช่นเดิม หัวเราะดังต่อเนื่องจนเหลือเสียงเบา ๆ ในลำคอ
“ฮึ! หนึ่งร้อยบาทนะ.. คุณหลวง”